ตอนที่ 197 กรุณาฟ้าเวทนาคน (2)

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

จ้าวหงเสียงบ้าแล้ว “ผู้กำกับอวี๋ คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? หานักแสดงอาวุโสมาแสดงร่วมผมเข้าใจได้ แต่หน้าใหม่…แถมยังมาแสดงร่วม? นี่จะต้องล้อเล่นแน่ๆ ใช่ไหมครับ?”

“สองท่านอย่าตื่นตูมนักสิครับ นี่แค่ลองกล้องเอง ยังไม่ได้ถ่ายจริง พวกคุณมาดูผล ไม่ได้มาดูฉบับเต็มหลังตัดต่อเสร็จแล้วนี่ครับ? แน่นอนถ้าพวกคุณมีเวลาเยอะก็อยู่ที่นี่ได้ ผมรับรองว่าเร็วสุดสามวันจะมีนักแสดงอาวุโสมาที่นี่ แต่ว่าด้วยประสบการณ์ของผม ไม่แน่ว่าพวกคุณอาจได้เห็นสิ่งที่พอใจ” อวี๋กว่างเจ๋อพูดอย่างจริงใจ ความจริงเขาไม่ได้หวังอะไรกับฟางเจิ้งมากนัก เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่มีคนจริงๆ แต่ก็ยังมีหวังอยู่นิดๆ ไม่ว่ายังไงฟางเจิ้งเป็นหลวงจีนจริงๆ แสดงตามธรรมชาติยังไงก็ดีกว่าหาชาวบ้านมาสมทบให้ครบจำนวนไหม?

อวี๋กว่างเจ๋อเคยคิดว่าจะแสดงเองเหมือนกัน แต่ว่าข้างหลังเขายังมีคนแสดงได้อยู่ ถ่ายไปไม่เข้ากับบท มีนักแสดงร่วมสองคนจะไม่โดนด่าเหรอ? ที่สำคัญที่สุดคืออวี๋กว่างเจ๋อใช้ฟางเจิ้งในกรณีฉุกเฉินจริงๆ แค่จะไล่ไอ้เทพแห่งโภคทรัพย์สองคนนี้ตรงหน้าไป จากนั้นค่อยเชิญนักแสดงผู้อาวุโสมา

อวี๋กว่างเจ๋อเอ่ยแบบนี้ จ้าวหงเสียงกับหูเซี่ยวจึงพูดอะไรไม่ได้ เหล่าซ่งป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน นี่เป็นเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ เรื่องเร่งด่วนแบบนี้จะให้ทำยังไงได้?

หูเซี่ยวจึงเอ่ย “ผู้กำกับอวี๋ ถ้าอย่างนั้นลองดูครับ ถ้าไม่ได้จริงๆ พวกเรารอได้ เฮ้อ…”

จ้าวหงเสียงยิ้มแห้งๆ “ผู้กำกับอวี๋ เล่าให้ฟังทีครับว่าหลวงจีนหน้าใหม่ที่คุณหาจบจากคณะไหน?”

อวี๋กว่างเจ๋อยิ้มแห้งตาม “ไม่ได้จบคณะไหนทั้งนั้นแหละครับ เป็นเจ้าอาวาสวัดนั้น”

จ้าวหงเสียงได้ยินว่าไม่ได้เป็นนักเรียนดีเด่นจบจากคณะภาพยนตร์ก็ร้อนใจ นี่จะตบตากันรึเปล่า? พอได้ยินว่าเป็นเจ้าอาวาสวัดใกล้ๆ ก็สบายขึ้นไม่น้อย มองตามสายตาอวี๋กว่างเจ๋อไป เห็นเพียงวัดเล็กเท่าฝ่ามือสะท้อนเข้าไปในม่านตา จึงยิ้มเจื่อนๆ “ผู้กำกับอวี๋ ถ้าคุณไม่ชี้ผมคงมองไม่เห็นมันนะ”

ความหมายของคำพูดจ้าวหงเสียงชัดเจนมากว่าเขาไม่เชื่อ

หูเซี่ยวกล่าว “เอาล่ะ รองจ่ง ถ้าเป็นเจ้าอาวาสจริงๆ บำเพ็ญเพียรมาหลายปี แสดงตามธรรมชาติก็น่าจะไหวนะ อ้อ ผู้กำกับอวี๋ ให้พวกเราพบพระอาจารย์รูปนั้นหน่อยได้ไหมครับ?”

อวี๋กว่างเจ๋อได้ยินดังนั้น ในใจอยากจะวิ่งหนีไป เขาไม่อยากให้สองคนนี้มีความหวังนิดๆ แล้วผิดหวังทุกครั้ง แต่เจ้าสองคนนี้มักจะขุดหลุมกระโดดลงไป เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เห็นแววตาคาดหวังจะได้เห็นพระอาจารย์เต๋าอายุเยอะคู่นี้แล้วอวี๋กว่างเจ๋อจึงชี้ไปยังฟางเจิ้งที่กำลังมองกล้องถ่ายภาพด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ไกลๆ “เป็นไต้ซือท่านนั้น” ว่าจบ วินาทีที่จ้าวหงเสียงกับหูเซี่ยวหันไปมอง เขาก็รีบวิ่งไป คว้าตัวเหล่าเถาเข้ามา “นายรับมือด้วย ฉันจะไปเตรียมเรื่องอื่น”

พูดจบผู้กำกับอวี๋วิ่งไปอย่างเร็ว

เหล่าเถาเพิ่งเอ่ยก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความโมโหสองเสียงดังมาจากข้างหลัง “นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?”

“ผู้กำกับอวี๋ คุณล้อผมเล่นเหรอ? เณรนี่อายุยี่สิบรึยัง? นะ…นี่…คุณจะเลือกนักแสดงแค่หน้าตาอย่างเดียวไม่ได้! เจ้านี่อยู่บนสนามรบน่าเกรงขามขนาดนั้นจะต้องไม่เข้ากันแน่!”

จ้าวหงเสียงกับหูเซี่ยวหันไปมองถึงพบว่าอวี๋กว่างเจ๋อไปนานแล้ว แต่มาแทนด้วยเหล่าเถาที่จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้

จ้าวหงเสียงไม่ได้เกรงใจเหล่าเถาขนาดนั้น คว้าคอเสื้อเหล่าเถาไว้ “ผู้กำกับอวี๋ล่ะ? ไปไหน?”

เหล่าเถาตอบด้วยความขมขื่น “มีธุระต้องไปจัดการก่อนครับ”

“ธุระกับผีแกสิ หนีไปแล้ว…เอาเถอะ ฉันมองออกละว่าวันนี้ไม่มีคนจริงๆ ช่างเถอะ ดูหน่อยแล้วกัน ถ้าไม่ได้ก็คงต้องรอ…เฮ้อ” หูเซี่ยวเอ่ยด้วยหน้าเศร้า

จ้าวหงเสียงพูดด้วยความจำใจ “ดูอะไร? อาจจะต้องรอสามวันเลยนะ ฉันสงสัยว่าผู้กำกับอวี๋หาเณรที่ดูพึ่งพาไม่ได้นี่มาร่วมด้วยเพื่อให้พวกเรารอที่นี่รึเปล่า”

“ทั้งสองท่าน…”

“หุบปาก!” จ้าวหงเสียงกับหูเซี่ยวโกรธจัด เหล่าเถาอ้าปากจึงหากระบอกระบายความโกรธเจอพอดี ด่าไปทีหนึ่งแล้วจึงสบายขึ้น

เหล่าเถาคับแค้นใจอย่างยิ่ง เขาไปหาเรื่องใครยัง? เหล่าซ่งป่วยก็ไม่ใช่ฝีมือเขา เขาไม่ได้เป็นคนหาฟางเจิ้ง แต่เป็นหลินตงสือต่างหาก คนวางแผนก็อวี๋กว่างเจ๋อ ทำไมเรื่องซวยๆ ถึงมาตกที่เขา? แล้วช่วงนี้จะผ่านไปได้ไหมเนี่ย?

แต่ปากเหล่าเถากลับว่า “สองท่าน ถ้าไม่อย่างนั้นเชิญนั่งพักก่อนไหมครับ?”

สองคนจะพูดอะไรได้อีก ก็ต้องรอ เพียงแต่สองคนนั่งลง จะชำเลืองตามองเณรที่เดินไปเดินมาข้างนอกตลอดเวลา ไม่ว่ามองยังไงหลวงจีนนี่ก็ไม่เหมือนคนที่แสดงได้

“เฮ้อ สังคมสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม้แต่ผู้กำกับอวี๋ยังเริ่มหน้าไม่อาย” หูเซี่ยวว่า

“เณรนี่ดูสะอาด สุภาพนะ เจิดจรัสมากด้วย น่าเสียดายไม่เหมาะกับบทคนที่มีความกรุณาฟ้าเวทนาคนที่ต้องแสดง เฮ้อ…ไม่เข้ากัน ไม่เข้ากันเลย” จ้าวหงเสียงเอ่ย

สองคนคุยกันพลางวิจารณ์ฟางเจิ้งตลอด มองยังไงก็ดูไม่มีประสบการณ์ ดูเก้งก้าง…สรุป ฟางเจิ้งไม่ได้เลยสักอย่าง

ฟางเจิ้งที่ถูกคนวิจารณ์ย่อมรู้ แต่ไม่ได้สนใจ ปิดปากคนอื่นได้ หรือจะปิดใจคนอื่นได้? คนอื่นจะว่ายังไงก็เรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของเขา

กลับกันฟางเจิ้งสนใจอุปกรณ์สูงใหญ่ต่างๆ ในนี้มาก เคยเห็นของพวกนี้แต่ในอินเทอร์เน็ต ตอนนี้ได้เห็นของจริงย่อมอยากดูเยอะๆ เป็นปกติ

ตอนนี้เองหลินตงสือมาเรียกฟางเจิ้งไปอีกด้าน หยิบบทภาพยนตร์ออกมา “หลวงพี่ฟางเจิ้งครับ นี่บทที่ท่านต้องแสดง เนื้อหาข้างในคร่าวๆ เป็นแบบนี้ ท่านดูก่อน มีตรงไหนไม่เข้าใจค่อยมาถามผมนะครับ”

พูดจบก็ได้ยินเสียงคนเรียกหลินตงสือจากอีกด้าน หลินตงสือเลยได้แต่ขอตัวไปก่อน

พอเห็นฟางเจิ้งเพิ่งได้บท จ้าวหงเสียงกับหูเซี่ยวไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม นี่มันแก้ผ้าเอาหน้ารอดเกินไปแล้ว!

ทว่าพวกเขาไม่กล้าพูดกับอวี๋กว่างเจ๋อ ได้แค่งึมงำกับตัวเอง ส่วนหลี่เสวี่ยอิง เธอแต่งหน้าอยู่ตลอดเลยไม่มีเวลามาพบพวกเขา พวกเขาเข้าใจเหตุผลจึงรออย่างใจเย็น

ฟางเจิ้งหาหินมานั่ง เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าหนังเรื่องนี้เป็นยังไงกันแน่ แค่ฟังอย่างเดียวไม่ได้รู้สึกอะไร

มองแวบแรกฟางเจิ้งขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่บทธรรมดา พูดให้ถูกคือนี่มันนิยาย เค้าโครงนิยายมีความละเอียดมาก สรุปรวมๆ คือ เรื่องราวเกิดขึ้นสมัยเว่ยเหนือ ชนเผ่าเร่ร่อนทางภาคเหนือนามโหรวหรานรุกรานทางใต้ตลอด อำนาจรัฐเว่ยเหนือกำหนดให้ทุกครัวเรือนส่งบุรุษไปแนวหน้าบ้านละหนึ่งคน แต่บิดาของมู่หลันอายุเยอะแถมร่างกายไม่แข็งแรงป่วยบ่อย เลยไปสนามรบไม่ได้ น้องชายก็อายุยังน้อย ดังนั้นมู่หลันเลยตัดสินใจเป็นทหารแทนบิดา ตั้งแต่เริ่มเธอใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพถึงสิบกว่าปีจนไปทำสงครามที่ด่านชายแดน สำหรับบุรุษมากมายแล้วนี่เป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่มู่หลันต้องปิดบังฐานะ ทั้งยังต้องรบกับศัตรูร่วมกับสหาย นี่ถือเป็นเรื่องที่ยากกว่าทหารปกติ! ที่น่ายินดีคือสุดท้ายฮวามู่หลันทำภารกิจสำเร็จ ได้กลับบ้านในรอบหลายสิบปี ด้วยคุณูปการของเธอ ฮ่องเต้จึงอภัยโทษเธอ ขณะเดียวกันยังคิดว่าเธอมีความสามารถในราชสำนัก จึงแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง แต่ว่าฮวามู่หลันปฏิเสธเพราะยังมีบิดาต้องดูแล และขอให้ฮ่องเต้ให้ตนได้กลับบ้านเกิดไปทดแทนคุณและกตัญญูต่อบิดา