หลินเมิ้งหยาแกะผนึกออก หลังจากกวาดตาดูครู่หนึ่ง นางก็เก็บจดหมายฉบับนั้นไว้ในวงแขน
“ไม่มีอะไรหรอก หยุนจู๋ส่งข่าวมาแต่เพียงเท่านั้น ที่ร้านมีงานที่ข้าต้องไปจัดการ เสี่ยวอวี้ เจ้าให้พวกนางทั้งสามคนนำของที่ซื้อมาวันนี้ไปใส่ไว้ในรถม้าก่อน ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับชิงหู”
เสี่ยวอวี้สงสัยเล็กน้อยแต่ก็พาทั้งสามลงจากร้านไปอย่างว่าง่าย
“ตอนนี้เอาออกมาได้หรือยัง?”
คนอื่นไม่รู้แต่ชิงหูรู้ ของที่หลินเมิ้งหยาได้รับจะต้องเกี่ยวข้องกับเสี่ยวอวี้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอวี้เดินลับไปจากบันไดร้านแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมา
จดหมายฉบับนั้นไร้ซึ่งตัวอักษร มีเพียงดอกกุหลาบดอกหนึ่งเท่านั้น
อีกทั้งนอกจากกุหลาบแล้ว ยังมีหัวลูกศรสามแฉกอีกหนึ่งอัน
“นี่มัน…อะไรกัน?”
เพียงได้เห็นกุหลาบดอกนั้น หลินเมิ้งหยากับชิงหูก็รู้ได้ทันทีว่าใครส่งมา
แต่ชิงหูเพิ่งเคยเห็นลูกศรสามแฉกเป็นครั้งแรก
สีหน้าของหลินเมิ้งหยาไม่น่ามอง
“นี่คือลูกศรเฟยฮวงของสกุลหลิน เจ้าลองมองหัวลูกศรให้ดี มันมีอักษรคำว่าหลินเขียนอยู่”
ซินหลีเป็นคนส่งของชิ้นนี้มา
ความหมายนั้นคาดเดาได้ไม่ยาก หากเสี่ยวอวี้กล้าบุ่มบ่ามลงมือ คนแรกที่จะซวยคือสกุลหลิน
ซินหลีเองก็รู้ ข้างกายหลินเมิ้งหยามีแต่ยอดฝีมือ
เป็นเรื่องยากที่จะทำร้ายนาง
เขาจึงนำความปลอดภัยของท่านพ่อและท่านพี่มาข่มขู่
คนคนนี้ต่ำทรามยิ่งนัก แต่ในขณะเดียวกันก็นับว่าซินหลีมองจุดอ่อนของนางได้เด็ดขาด เขารู้ว่าควรหยุดนางเช่นไร
“คนในกองทัพมีมากมาย หากเขาคิดจะทำอะไร เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก เท่าที่ข้าดู เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
การวิเคราะห์ของชิงหูใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
หัวลูกศรอันนี้เป็นเพียงคำขู่เท่านั้น
“แต่เขามิใช่คนเมืองนี้ด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดจึงรู้เรื่องระหว่างข้ากับเสี่ยวอวี้ดียิ่งนัก?”
ด้วยการปกครองของนาง จวนอวี้แข็งแกร่งขึ้นมากจนแทบจะไร้จุดอ่อน
อย่าว่าแต่แอบเข้ามาสืบข่าวของนางเลย แม้แต่จะเร้นกายเข้ามาในจวนยังยากลำบาก
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด แต่กลับไม่พบคำตอบ
“หากเขามายังต้าจิ้นได้ แสดงว่าเขามิได้มาเพื่อหยุดหลินจงอวี้อย่างเดียวแน่นอน เจ้าอย่าลืมว่าคนที่สนับสนุนเขาคือคนของสกุลซิน”
คำพูดของชิงหูทำให้หลินเมิ้งหยายิ่งสงสัยมากขึ้น
หากกล่าวว่าเสี่ยวอวี้เป็นลูกหลานสกุลซิน เช่นนั้นสกุลซินก็ไม่ควรกระทำเช่นนี้ อีกทั้งยังต้องยับยั้งซินหลีเสียด้วยซ้ำ
หากคนทั้งตระกูลล้วนอยู่ข้างซินหลี เช่นนั้นใครจะปกป้องเสี่ยวอวี้กัน?
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด นางจำต้องคุยกับคนที่หนุนหลังเสี่ยวอวี้อยู่
“ข้ารู้สึกว่าตนเองกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในวังวนที่หาทางออกไม่พบอีกครั้งแล้ว”
หลินเมิ้งกระซิบเสียงเบา
“เจ้าหาใช่คนธรรมดา แน่นอนว่าเรื่องราวที่ต้องเจอย่อมแตกต่างจากผู้อื่น”
ชิงหูดีดหน้าผากของหลินเมิ้งหยา ดวงตาเผยให้เห็นความเอ็นดู
ยิ่งนางใส่ใจมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งถลำลึกมากขึ้นเท่านั้น
ทุกเรื่องที่นางเข้าไปเกี่ยวข้องล้วนเกี่ยวพันกับความเป็นความตาย นางจะต้องเดินหมากอย่างละเอียดรอบคอบ
“ทิ้งเรื่องนี้ไปสักประเดี๋ยวก่อนเถิด พวกเราออกไปเดินเล่นกันดีกว่า”
จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็เอ่ยออกมา ชิงหูชะงักไป
“ได้เลย ต่อให้เจ้าอยากไปสุดขอบหล้า ข้าก็จะพาเจ้าไป”
รอยยิ้มกลับมาปรากฏบนใบหน้าของชิงหูอีกครั้ง
ร่างกายของนาง…หลินเมิ้งหยามองแก้วในมือ ครุ่นคิดในใจ
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่นางกลับรู้ดี
หลังจากวันที่พี่เยว่ถิงจากไป หัวใจของนางบาดเจ็บหนัก พิษที่เคยถูกสะกดเอาไว้ออกฤทธิ์อีกครั้ง
หากมิใช่เพราะทุกเดือนนางกินยาพิเศษ ป่านนี้นางคงตายไปนานแล้ว
นางต้องเดินหน้าหายาอีกสองสามชนิดที่เหลือเหล่านั้น
นางมีอาการง่วงตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นนี่ก็ยังเป็นสัญญาณดี
แต่ถ้าหากนางหายาถอนพิษไม่เจอ เกรงว่า…นางอาจจะหลับไม่ตื่นอีกต่อไป
ยังมีเรื่องอีกมากมายที่นางยังไม่ได้ลงมือทำ ยังมีคนอีกมากมายที่นางต้องปกป้อง ฉะนั้นนางจะล้มตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ครู่ต่อมา หลินเมิ้งหยาวูบหลับไป
รอยยิ้มของชิงหูหายไปทันที สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความกังวล
อุ้มเจ้าเด็กน้อยขึ้นจากเก้าอี้ เสียงแก้วร่วงเมื่อครู่ไม่ทำให้นางตกใจตื่น
เขาเห็นนางยังคงหลับสนิท
ภายในรถม้า คนทั้งสี่นั่งรออยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว
มองดูเขาที่อุ้มหลินเมิ้งหยาเข้ามา สีหน้าเผยให้เห็นความกังวล
“หลับอีกแล้วเหรอ? ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วของเดือนนี้”
หลินจงอวี้มองพี่สาวของตนเองนิ่ง
“หากไม่อยากให้นางต้องเหนื่อย เจ้าจงจัดการเรื่องของตัวเองให้ดี อย่าทำให้นางต้องเป็นกังวล”
ชิงหูเอ่ยเตือน เขาไม่กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้านาง
“เรื่องของข้า…ข้าจัดการเองได้”
หลินจงอวี้ไม่เข้าใจความหมายของชิงหู แต่เขาคิดว่าต้องเป็นเรื่องของกลุ่มหลิวเย่
“ข้าจะกำจัดพวกหลิวเย่ให้เจ้า แต่เรื่องอื่นอย่าได้นำมาข้องเกี่ยวกับนางอีก”
ชิงหูพูดเปิดประเด็น ทว่าหลินจงอวี้กลับยังไม่เข้าใจ
ตกลงมันคือเรื่องอะไรกันแน่? หรือคนพวกนั้นยังมีอะไรปิดบังเขา?
คนทั้งหมดพากันกลับจวน สาวใช้ทั้งสี่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หลินเมิ้งหยาและปล่อยให้นางนอนหลับพักผ่อน
หลับสนิทจนฟ้าเกือบมืด ในที่สุดนางก็ตื่นขึ้น
สาวใช้ทั้งสี่มิได้อยู่ในห้อง
แปลกจริง เมื่อก่อนต่อให้เป็นเวลาเที่ยงคืน พวกนางก็ยังอยู่ข้างกายตน
เสียงหัวเราะดังลอดเข้ามาในห้อง
หลินเมิ้งหยาค่อยๆ แหวกผ้าม่านออก สายลมเย็นพัดเข้ามากระทบร่าง เกล็ดหิมะปลิวมาพร้อมสายลม
ด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
“หิมะตกแล้ว”
เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นางเป็นคนทางตอนใต้ ดังนั้นจึงมีความทรงจำเกี่ยวกับหิมะน้อยมาก
จับเสื้อคลุมแน่น นางยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ เพื่อมองดูโลกแห่งหิมะ
สาวใช้ทั้งสามและหลินจงอวี้ รวมถึงเหล่าคนรับใช้กำลังเล่นหิมะกันอย่างสนุกสนาน
หลินเมิ้งหยาเองก็อยากไป แต่สายลมหนาวเหน็บข้างนอกทำให้ฝีเท้าของนางหยุดชะงักลง
“จะออกมาเล่นหิมะก็ต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆ หน่อยสิ”
จู่ๆ เสื้อตัวใหญ่ก็คลุมลงบนร่างของนาง
ผินหน้าไป เห็นเป็นชิงหูที่สวมใส่เพียงชุดบางๆ
เสื้อคลุมตัวใหญ่สีฟ้าน้ำทะเลมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ติดอยู่
“เจ้าใส่น้อยชิ้นเช่นนี้มิกลัวเจ็บป่วยหรืออย่างไร?”
ชิงหูยื่นมือออกไปกระชับเสื้อของนางให้ดี
ทว่าใบหน้าของเขากลับแสร้งแสดงท่าทางรังเกียจ
“พวกข้าเป็นเหล่าจอมยุทธ์ ความหนาวแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ไม่เชื่อเจ้าก็ลองจับร่างกายของข้าดูเถิดว่าอุ่นขนาดไหน”
พูดจบก็ดึงมือของหลินเมิ้งหยาเข้าไปใต้เสื้อของตนเอง ก่อนจะวางไว้บริเวณแผงอก
“ไอหยา อุ่นจริงๆ ด้วย”
หลินเมิ้งหยาคิดว่าชิงหูหลอกนาง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าร่างกายของเขาจะอบอุ่นเช่นนี้
“แน่นอนอยู่แล้ว”
มือของเจ้าเด็กน้อยเย็นมากขึ้นทุกที
กุมมือของนางเอาไว้ คิ้วของชิงหูขมวดเข้าหากันแน่น
แม้เขาจะไม่รู้เรื่องการแพทย์ แต่ก็รู้ว่ามือของคนเราไม่ควรจะเย็นเฉียบขนาดนี้
ตกลงร่างกายของเจ้าเด็กน้อยย่ำแย่ขนาดไหนแล้ว เขาอดที่จะตกใจไม่ได้
“นายหญิง เหตุใดท่านจึงตื่นแล้วเล่า รีบกลับเข้าไปพักในห้องเถิด”
ป๋ายจื่อท่าทางเหมือนกระต่ายน้อย ใบหน้าขาวนวลแดงระเรื่อ วิ่งเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
“อะไรกัน พวกเจ้าเล่นหิมะได้ ส่วนข้าแค่มองก็มิได้อย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเบะปาก
ป๋ายจื่อลูบศีรษะ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางลังเล
“ก็ได้ เช่นนั้นท่านต้องสัญญากับข้าว่าจะต้องนั่งมองอย่างสงบเสงี่ยม ห้ามทำให้ตัวเองเหนื่อยเด็ดขาด”
“จู้จี้จุกจิกจริงๆ เลย ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะนั่งดูอยู่ที่นี่ นี่เป็นหิมะแรก ถ้ามีไก่ทอดกับเบียร์คงดีไม่น้อย”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยา ดวงตาของชิงหูเปล่งประกาย
ช่วงนี้เจ้าเด็กน้อยไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าที่ควร
ไก่ทอดกับเบียร์? แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ดูเหมือนจะเป็นของกิน
“เจ้าเด็กน้อยลองบอกมาซิว่าไก่ทอดกับเบียร์ทำอย่างไร?”
ท่าทางน้ำลายไหลของชิงหูทำให้หลินเมิ้งหยาสนใจขึ้นมา
พวกสาวใช้ไม่มีวันยอมใหนางไปเล่นหิมะอย่างแน่นอน เช่นนั้นนางไปทำไก่ทอดเพื่อเสพบรรยากาศดีกว่า
“เช่นนั้นพวกเราไปห้องครัวกันเถิด ข้าจะทำให้เจ้ากินเอง”
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เคยลิ้มรสฝีมือของเจ้าเด็กน้อยเลย
รีบเดินตามหลังหลินเมิ้งหยาไปที่ครัว
ยืนอยู่หน้าประตู หลงเทียนอวี้ลังเล
ตั้งแต่กลับจากตำหนักหยาเสวียน เขายุ่งมากจนไม่มีเวลามาเจอหลินเมิ้งหยา
หิมะสีขาวตกลงจากท้องฟ้า เขารู้ว่านี่เป็นหิมะแรก
และยังเป็นฤดูหนาวแรกที่หลินเมิ้งหยาได้อยู่กับเขา
ที่ต้าจิ้นแห่งนี้ ทุกครอบครัวมักมีการเฉลิมฉลองในวันหิมะตก
ทางฝั่งพระสนมเต๋อเฟยส่งคนมาเชิญเขาสามรอบแล้ว ทว่าเขาอยากใช้เวลานี้กับหลินเมิ้งหยา
แต่เขาที่เคยเดินเข้าออกตำหนักหลิวซินเป็นปกติ เวลานี้กลับลังเลที่จะก้าวขาเข้าไป
เย่ยืนอยู่ด้านหลังหลงเทียนอวี้ไม่ไกล เขามองมายังท่านอ๋องของตนเองโดยไม่พูดอะไร ท่านอ๋องยืนอยู่หน้าประตูสวนของตำหนักพระชายากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว
เกล็ดหิมะสีขาวใกล้จะถมทับร่างของท่านอ๋องจนมิด แต่ไม่รู้ว่าท่านอ๋องกำลังคิดอะไร เขายังคงยืนอยู่กับที่ไม่ไหวติง
“แกร๊ก” เสียงดังขึ้น ประตูสวนหลิวซินที่ถูกปิดสนิทถูกเปิดออกจากภายใน
ป๋ายจีและป๋ายจื่อถือตะกร้าไม้ไผ่สองใบ ทั้งสองหัวเราะร่าเริง ไม่รู้ว่าพวกนางกำลังจะทำอะไร
ทันทีที่หลงเทียนอวี้เห็นคนในตำหนักเดินออกมา เขาคิดอยากเข้าไปสอบถามว่าหลินเมิ้งหยากำลังทำอะไรอยู่
แต่เขาไม่รู้ว่าร่างของเขาที่ยืนนิ่งมานานถูกทับถมไปด้วยหิมะจนดูราวกับมนุษย์หิมะไม่มีผิดเพี้ยน
“คือว่า…”
เสียงดังขึ้นจากมนุษย์หิมะ
ป๋ายจื่อตกใจจนขวัญหาย นางรีบร้องตะโกน
“นายหญิง แย่แล้วเจ้าค่ะ มนุษย์หิมะมีชีวิต!”
พูดจบนางก็อุ้มตะกร้าไม้ไผ่ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนที่มืออีกข้างจะคว้ามือของป๋ายจีแล้ววิ่งกลับเข้าไปในตำหนัก