“นายหญิง นายหญิง รีบมาดูนี่เร็วเข้าเจ้าค่ะ มนุษย์หิมะมีชีวิต!”
ป๋ายจื่อรีบวิ่งเข้าไปเรียกหลินเมิ้งหยา นางไม่แม้แต่จะให้โอกาสหลงเทียนอวี้ร้องเรียกเลยแม้แต่น้อย
ลากป๋ายจีมาพร้อมกัน หลงเทียนอวี้ยื่นมือออกไปข้างหน้า
แต่เขาคว้าได้เพียงแค่เงาของป๋ายจื่อ
มนุษย์หิมะมีชีวิต? ที่ไหนกัน?
มองซ้ายมองขวา มิรู้ว่าที่ป๋ายจื่อหมายถึงคือตัวเขาเอง
เย่มองเจ้านายตนเองโดยไม่พูดอะไร เหตุใดทุกครั้งที่ได้เจอกับคนในตำหนักของพระชายา ท่านอ๋องมักจะหัวทึบเช่นนี้ตลอด?
ยกมือขึ้น ปัดเกล็ดหิมะบนร่างของหลงเทียนอวี้ด้วยสายลม ส่ายหน้า ก่อนจะหมุนตัวหายไป
“ไอหยา ร้องโหวกเหวกโวยวายเรียกข้าทำไมกัน?”
หลินเมิ้งหยาที่กำลังคลุกไก่กับแป้งเดินออกมา มือหนึ่งถือมีด อีกมือถือน่องไก่
ราวกับเป็นคนละคนกับหญิงสาวที่มักจะแต่งกายอย่างสวยงาม บางทีอาจเพราะกลัวจะทำชุดเปื้อน นางจึงสวมใส่ผ้ากันเปื้อนสีฟ้าน้ำทะเล
บนศีรษะโพกไว้ด้วยผ้าสีฟ้า เมื่อเทียบกับยามที่นางอยู่ในฐานะพระชายาตามปกติแล้ว หลินเมิ้งหยาในเวลานี้มิต่างอะไรจากแม่ครัวในโรงครัว
หลินเมิ้งหยามองตามนิ้วของป๋ายจื่อที่ชี้ออกไป แต่กลับเห็นเป็นหลงเทียนอวี้ที่กำลังยืนนิ่งอึ้ง
“ท่าน…ท่านอ๋อง…”
หลินเมิ้งหยากระตุกป๋ายจื่อ นอกจากหลงเทียนอวี้แล้วก็ไม่มีมนุษย์หิมะที่ใดอีก
“แต่เมื่อกี้ยังอยู่ที่นี่อยู่เลย…ถวายคำนับท่านอ๋องเพคะ”
ทันทีที่ป๋ายจื่อมองเห็นหลงเทียนอวี้ นางรีบถวายคำนับทันที
“โอ้ ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้ากำลัง…ทำอะไร?”
ท่าทางของหลินเมิ้งหยาในเวลานี้ช่างน่าขันยิ่งนัก
หลงเทียนอวี้ยังไม่เคยเห็นท่าทางของนางเช่นนี้มาก่อน แม้จะดูยุ่งเหยิงไปเสียหน่อย แต่กลับน่ารักเหลือเกิน
“หม่อมฉันกำลังทำไก่ทอดเพคะ หม่อมฉันเคยดูซีรี่ส์…เอ้ย เคยได้ยินคนเล่าว่าในวันที่หิมะแรกตก อาหารที่เหมาะที่สุดคือไก่ทอด ท่านอ๋องอยากลองชิมดูหรือไม่เพคะ?”
หลินเมิ้งหยาหมุนตัวกลับเข้าไปในครัว สาวใช้ทั้งหมดเองก็กลับเข้าไปในตำหนักหลิวซินเช่นเดียวกัน
ส่ายหน้า สุดท้ายเขาเดินตามเข้าไป
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าสาวใช้ของหลินเมิ้งหยาปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาอยู่บ้าง
ช่างเถิด สาวใช้ของหลินเมิ้งหยาไม่เหมือนสาวใช้ที่อื่น
เมื่อเหยียบเข้ามาในสวนตำหนักหลิวซิน หลงเทียนอวี้รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง
ด้านนอกอากาศหนาวเหน็บอย่างโหดร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างดูราวกับจมอยู่ภายใต้หิมะ
ทว่าภายในสวนตำหนักหลิวซินแตกต่างออกไป แม้ดอกไม้ต้นไม้จะถูกหิมะทับถม แต่กลับบานสะพรั่งงดงาม
ด้านนอกตกอยู่ในบรรยากาศเงียบสงบ แต่ภายในตำหนักหลิวซินกลับครื้นเครงทั้งนายและบ่าว
นั่งลงในศาลา มองดูบรรยากาศโดยรอบ หลงเทียนอวี้รู้สึกว่าหัวใจของเขาสงบลงมาก
“เป็นอะไรไป? มาหาหาเจ้าเด็กน้อยของข้าด้วยเหตุอันใด?”
ชิงหูจ้องมองหลงเทียนอวี้ด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร คนเดียวในจวนแห่งนี้ที่กล้าแสดงสีหน้ากวนประสาทใส่เขาคงมีเพียงยอดนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋คนนี้คนเดียว
“นางเป็นชายาของข้า ข้ามาที่นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?”
หลงเทียนอวี้มองชายตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา แม้ชิงหูจะได้รับอนุญาตจากเขาให้อยู่ที่จวนแห่งนี้
แต่สิ่งที่หลงเทียนอวี้คาดไม่ถึงก็คือความสนิทสนมระหว่างหลินเมิ้งหยากับเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คนนี้
เจ้าเด็กน้อยของข้ากระนั้นหรือ? หลินเมิ้งหยาเป็นชายาของเขาต่างหาก!
“ฮึ เพิ่งจะรู้ตัวว่านางเป็นชายางั้นหรือ? ไม่สายไปหน่อยหรืออย่างไร?”
ชิงหูส่งเสียงเยาะเย้ย
เจ้าเด็กน้อยได้รับบาดเจ็บที่หัวใจอย่างรุนแรง หมู่เฟยของเจ้านี่มีส่วนต้องรับผิดชอบ
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้พระสนมเต๋อเฟยชอบหาเรื่องเจ้าเด็กน้อยเสมอ เขาน่าจะรับรู้ทุกอย่างมิใช่หรือ
“แต่ก่อนนางเป็นชายาของข้า ตอนนี้ก็ใช่ อนาคตก็ยังใช่!”
หลงเทียนอวี้สวนโดยไม่ลังเล
แม้แต่ตัวของเขาเองยังตกตะลึง
มองมือทั้งสองข้างของตัวเองนิ่ง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาคิดอยากขังหลินเมิ้งหยาเอาไว้ข้างกาย?
หรือเป็นเพราะว่านางเป็นศิษย์ของป๋ายหลี่รุ่ย หรือเพราะว่านางเป็นลูกสาวของหลินมู่จื่อ?
ถ้าหากมิใช่เพราะเหตุผลเหล่านี้ เช่นนั้นเขา….
“เข้ามาชิมข้างในเถิด ข้าทำเป็นครั้งแรกเลยนะ หากไม่อร่อยก็ไว้หน้าข้าด้วย”
เสียงของหลินเมิ้งหยาดังขึ้น ทั้งสองหันไปมองร่างบางที่อยู่ในห้องครัวพร้อมกัน
ใบหน้านวลเปรอะเปื้อนไปด้วยแป้งสีขาว
กลิ่นน้ำมันหอมๆ ของอาหารประจำบ้านเตะจมูก
หลินเมิ้งหยาในเวลานี้งดงามเหลือเกิน แม้แต่ความงามของหญิงสาวทั้งโลกก็มิอาจเทียบได้
ราวกับว่าร่างกายถูกโจมตี หลงเทียนอวี้มิอาจละสายตาได้
“เจ้าเด็กน้อย ถูกลวกหรือไม่?”
ชิงหูรีบกระโดดไปหา พลิกมือหลินเมิ้งหยาซ้ายทีขวาที
ผลปรากฏว่าที่มือของนางมีรอยแดงเล็กๆ อยู่สองที่
“ไอหยา ข้าบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้ให้ทางโรงครัวทำเอง ป๋ายจี ไปเอายามาเร็ว”
ชิงหูตะโกนเสียงดังจนทุกคนหันมามอง
ขณะที่ทุกคนกำลังสาละวนกับการหายาให้กับหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้กลับหยิบกล่องเคลือบเล็กๆ ออกมา
“ข้าทำเอง”
ดึงมือของหลินเมิ้งหยา ใช้นิ้วป้ายเนื้อยาจากล่องเคลือบแล้วทาลงบนบริเวณรอยแผล
หลินเมิ้งหยานิ่งอึ้ง จ้องมองหลงเทียนอวี้ราวกับคนโง่ นางคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเอาใจใส่ตนเองถึงเพียงนี้
“ข้าจะไปดูไก่ทอดก่อน เดี๋ยวพวกเจ้าจะแอบกินหมด”
เบนสายตาไปทางอื่น ชิงหูผลักพวกสาวใช้ให้เข้าไปในห้องครัว
ภายในสวนจึงเหลือเพียงหลงเทียนอวี้ที่กำลังกุมมือหลินเมิ้งหยา
เขานวดยาลงบนรอยแผลอย่างแผ่วเบา
“ยังเจ็บหรือไม่?”
เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนเปล่งออกมา
หลินเมิ้งหยารู้สึกเหมือนคนมึนเมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสติพอที่จะส่ายหน้า
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านางจะสูญเสียการควบคุมเพียงเพราะได้ยินเสียงของเขา
“ต่อจากนี้ไปก็ระวังหน่อย ของพวกนี้ให้คนรับใช้ทำก็ได้”
หลงเทียนอวี้เริ่มรู้สึกว่าคนรับใช้ในตำหนักนี้อาจจะน้อยเกินไป
เช่นนั้นเขาควรหามาเพิ่มด้วยตนเอง
ได้ยินมาว่านางชอบไปที่ร้านหรูอี้ ถ้าอย่างนั้นเขาควรไปคุยกับเจ้าของร้านแล้วขอซื้อตัวพ่อครัวมา
หากทำเช่นนี้นางจะยอมอยู่ที่จวนนี้ต่อใช่หรือไม่?
“ท่านแม่ของหม่อมฉันเคยบอกว่าหากคิดอยากจับหัวใจของผู้ชายให้ได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นจะต้องจับกระเพาะของเขาให้ได้เสียก่อน ฉะนั้นหม่อมฉันจึงเรียนทำอาหารตั้งแต่นั้นมา”
เมื่อพูดจบ หลินเมิ้งหยาแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาด
นางต้องการจะสื่ออะไรกันแน่!
ชักมือกลับมาจับชายเสื้อ ไม่กล้าเงยหน้ามองหลงเทียนอวี้
“เช่นนั้นหัวใจของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไร?”
ไม่แม้แต่จะคิด เขายื่นมือไปกุมมือหลินเมิ้งหยาแล้ววางที่แผงอกของตนเอง
เสียงหัวเราะเบาๆ บาดลึกเสมือนไวน์ที่ถูกบ่มมาเป็นเวลานาน ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ท่านอ๋องกำลังยั่วหม่อมฉันหรือ?”
เงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายระคนขี้เล่นจ้องมองทางเขา ขนตางอนยาวกระพือขึ้นลง ท่าทางของนางน่ารักเหลือเกิน
แม้จะพูดเช่นนั้นออกไป ทว่าหลงเทียนอวี้กลับรู้สึกขวยเขินเล็กน้อย
เบือนหน้าหนีแล้วเดินไปยังตำหนักหลิวซิน ทว่าก่อนจะไปเขาเอ่ยทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค
“เจ้าเป็นชายาของข้า”
ฉะนั้นนี่หาใช่การยั่วยวนไม่
หลินเมิ้งหยาเอียงคอ มองตามหลงเทียนอวี้
หมายความว่าอย่างไร?
หรือกำลังจะสื่อว่านางเป็นหญิงสาวที่แต่งงานออกเรือนแล้ว ฉะนั้นจึงสามารถทำเช่นนี้ได้?
“นี่! อธิบายให้หม่อมฉันฟังก่อนสิเพคะ”
หลินเมิ้งหยารีบวิ่งตามไปดึงแขนของหลงเทียนอวี้
แต่ร่างบางหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ทั้งที่ออกแรงดึง แต่ดูแล้วเหมือนถูกเขาลากเข้าไปในตำหนักเสียมากกว่า
สาวใช้ทั้งสี่ที่อยู่ในสวนต่างฉีกยิ้มร่า ไก่ทอดตรงหน้าไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ยัดไก่ทอดลงไปเต็มกระเพาะ แม้จะไม่มีเบียร์ แต่ป๋ายจีได้ตระเตรียมชาดอกเก็กฮวยเอาไว้ล้างกระเพาะให้แล้ว
ฝีมือของนาง….อืม ไอ้สิ่งดำๆ ด่างๆ ดั่งถ่านหินนั่นเรียกว่าไก่ทอดได้หรือไม่?
หากมิใช่เพราะสัญชาตญาณในการกินของป๋ายจื่อ เกรงว่าทุกคนคงหมดสนุกกับไก่ทอดเหล่านี้แล้ว
“ท่านอ๋อง ไก่ทอดอร่อยหรือไม่?”
มิรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากหลงเทียนอวี้มาที่ตำหนักแห่งนี้ ท่าทางขององค์ชายที่เคยเคร่งขรึมเริ่มจางหายไป
สาวใช้ทั้งสี่ของนางไม่กลัวหลงเทียนอวี้อีกแล้ว
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม บางทีที่เป็นเช่นนี้อาจเพราะพวกนางได้รับผลกระทบจากตนเองก็เป็นได้
หลงเทียนอวี้วางกระดูกไก่ลงด้วยท่าทางสง่างาม ทั้งที่เป็นน่องไก่เหมือนกัน แต่เนื้อสัมผัสของไก่มีความกรอบนอกนุ่มใน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยาไปเอาสูตรทำน้ำจิ้มเปรี้ยวหวานมาจากที่ใด แน่นอนว่ารสชาติถูกปากยิ่งนัก
มองดูรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย หลงเทียนอวี้รู้ได้ทันทีว่านางกำลังแกล้งเขา
ไม่ส่งเสียงอันใด แต่กลับยื่นมือล้วงไปหยิบธนบัตรออกมา
เขารู้อยู่แล้วว่านางไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะปล้นเขาไปง่ายๆ
ทั้งที่เขาปล่อยให้นางดูแลเงินทั้งหมดของจวนแล้วแท้ๆ
ขี้เหนียวจริงๆ เลย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ชอบมองท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องใจของนางหลังจากได้รับเงินของเขาไปแล้วเหลือเกิน
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง ป๋ายซ่าวมานี่ซิ เอาเงินรางวัลไปแบ่งกัน”
หลินเมิ้งหยายิ้มตาหยี หัวเราะคิกคักแล้วรับธนบัตรไป
คิดไม่ถึงเลยว่าไก่ทอดเพียงไม่กี่ชิ้นจะทำกำไรได้มากมายถึงเพียงนี้
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง ขอบพระทัยเพคะพระชายา”
สาวใช้รีบคุกเข่าลงพร้อมเอ่ยคำขอบคุณ จากนั้นรับเงินไปอย่างไม่เกรงใจ
หลงเทียนอวี้มองตามเหล่าสาวใช้อย่างช่วยไม่ได้ พวกนางอยู่กับใครก็เป็นเหมือนคนๆ นั้น
หลินเมิ้งหยาเลี้ยงดูสาวใช้จนนิสัยพวกนางมิต่างอะไรจากนางเลย
เฮ้อ ดูท่าเงินทั้งหมดของเขาจะไปอยู่ในคลังเก็บเงินของหลินเมิ้งหยาเสียแล้ว
ทุกคนกินไก่ทอดด้วยความเบิกบานหัวใจ ขณะที่กำลังจิบชาพลางพูดคุยเรื่องเงิน จู่ๆ เสียงของพ่อบ้านเติ้งพลันดังขึ้นที่ด้านนอก
“ท่านอ๋อง องค์ชายเจ็ดเสด็จพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าจะมีเรื่องด่วน”
หลงชิงหาน? หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น นานแล้วที่นางไม่ได้ยินชื่อของเขา
เสียงของพ่อบ้านเติ้งเปี่ยมไปด้วยความกังวล หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา?