บทที่ 69.1 แม่มดน้อยผู้ทรงพลัง (1)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

เซียวเอี๋ยนเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดที่ทรงพลัง และเมื่อเขาทุ่มเทใช้ทักษะนี้ด้วยชีวิต ทุกคนจึงสามารถจินตนาการถึงพลังที่แท้จริงของมันได้ แน่นอนว่าแม้แต่หญิงสาวชุดดำที่มีระดับพลังเหนือกว่าเขาก็ยังไม่อาจรับมือกับสิ่งนี้ได้ง่ายๆ ถึงอย่างไรอาจารย์ของเซียวเอี๋ยนก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเฟยหลี่ ผู้ทรงพลังระดับราชา!

เมื่อเซียวเอี๋ยนปลดปล่อยมณีสวรรค์ทั้ง 10 ดวงของเขาออกมา สีของมณียุทธ์ก็ถูกบดบังไปด้วยสีของมณีธาตุโดยสิ้นเชิง ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ธาตุไฟ มณีธาตุของเขาคือทับทิมแดงดารา เมื่อเปรียบเทียบกับทับทิมทั่วๆ ไปแล้ว ทับทิมแดงดาราจะให้แสงเป็นประกายและเจิดจ้ามากกว่า นั่นแสดงให้เห็นถึงความงดงามของดวงดาวสีแดง และนั่นก็คือที่มาของชื่อ ‘ทับทิมแดงดารา’

ทับทิมแดงดาราทั้ง 5 ดวงดูเหมือนจะระเบิดออกจนลุกเป็นไฟอยู่ด้านหลังนกฟีนิกซ์เพลิง อุณหภูมิที่ร้อนระอุขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้อากาศในรัศมีร้อยเมตรเกิดระลอกคลื่นความร้อนขึ้น

“ฝนดอกฝูหรงสีน้ำเงิน!” หญิงสาวชุดดำฟาดดาบสีเทาดำไปข้างหน้าพร้อมกับร้องตะโกนออกมา

ดอกฝูหรงขนาดยักษ์เรืองแสงสีฟ้าและเบ่งบานออกมาอย่างรวดเร็วจากด้านหลังของเธอ แสงสีฟ้าสาดกระจายออกมาย้อมท้องฟ้าเหมือนละอองหยาดฝนหยดเล็กๆ ดูนุ่มนวลและอ่อนโยน แต่เมื่อพวกมันไหลทะลักออกมาพร้อมกัน คลื่นความร้อนที่แผ่ออกมาในอากาศก็ถูกระงับเอาไว้จนต้องหยุดชะงัก

เสียงอื้ออึงดังออกมาในขณะที่เกิดภาพแปลกประหลาดขึ้น ขณะที่หยดแสงสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าพัวพันกับเปลวไฟลูกใหญ่ มันก็ตรงเข้าต่อสู้กับนกฟีนิกซ์เพลิงที่กำลังบินเข้าหาหญิงสาวด้วย

ต้องรู้ว่านกฟีนิกซ์เพลิงนี้สร้างขึ้นจากพลังปรานบริสุทธิ์และมีอุณหภูมิสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าตอนนี้มันกลับถูกแสงสีน้ำเงินที่แสนเปราะบางควบคุมเอาไว้ได้! ในเวลาเดียวกัน ใบมีดสีเทาของหญิงสาวชุดดำก็พุ่งแหวกอากาศออกไปข้างหน้าในแนวโค้งทันที

เกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่บรรยากาศจะมืดครึ้มลงเมื่อร่างของนกฟีนิกซ์เพลิงแตกกระจายกลายเป็นประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกันดอกฝูหรงสีน้ำเงินก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ

“ถึงกับใช้เปลวไฟแห่งชีวิตของตนเองโจมตีข้าจริงๆ งั้นรึ! แม่มดน้อยจะโกรธแล้วนะ!” หญิงสาวชุดดำเม้มริมฝีปาก จากนั้นร่างทั้งร่างก็หายวับไปในพริบตา

ก่อนหน้านี้เปลวไฟแห่งชีวิตที่เซียวเอี๋ยนปลดปล่อยออกมานั้นได้รับการกระตุ้นด้วยพลังปราณธาตุแสงจากทักษะ ‘แสงพิสุทธิ์สวรรค์และโลกา’ ของขี้เมาเป่า แม้ว่าหญิงสาวชุดดำที่เรียกตัวเองว่าแม่มดน้อยจะมีพลังมาก แต่การปะทะกันนี้ก็ส่งผลต่อพลังของเธออยู่บ้างเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หลังจากเซียวเอี๋ยนสลบเหมือดไปแล้ว สถานการณ์ของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็ยิ่งเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันคนที่ยังสามารถต่อสู้ได้คือ หลินเทียนอ้าว สี่น้อย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และอู่หยา

อนิจจา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทักษะเปลี่ยนร่างเป็นหมอกควันของแม่มดน้อย การโจมตีทางกายภาพของพวกเขาจึงใช้ไม่ได้ผลมากนัก หัวใจของพวกเขาพลันรู้สึกหนักอึ้ง ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องจะจบลงเช่นนี้ หลังจากยืนหยัดต่อสู้มาเป็นเวลา 3 วัน พวกเขาไม่ได้ถูกฝูงอสูรสวรรค์รุมฆ่าตาย แต่กลับต้องตกตายด้วยน้ำมือของหญิงสาวเพียงคนเดียว

เมื่อหมอกสีดำรวมตัวกันอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของมันคือหลินเทียนอ้าว เงาพร่ามัวของใบมีดสีเทาปรากฏขึ้นวูบวาบท่ามกลางหมอกสีดำ ราวกับคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายที่กำลังมองหาและรอคอยโอกาสโจมตีเหยื่อในช่วงเวลาที่พวกมันอ่อนแอ

หลินเทียนอ้าวยังคงมีท่าทีนิ่งสงบเหมือนเคย ใบหน้าของเขาดูเย็นชาและไม่ยินดียินร้าย โล่ประสานศาสตรามณียุทธ์กระแทกลงกับพื้นอีกครั้งขณะมณีธาตุทั้ง 5 ซึ่งบรรจุอยู่ตรงกลางโล่สว่างวาบขึ้นพร้อมกัน พวกมันแผ่พลังออกปกคลุมร่างกายของเขากลายเป็นชุดเกราะหินหนาเตอะ

จู่ๆ หลินเทียนอ้าวก็หลับตาลง โล่ขนาดใหญ่ขยับหมุนวนไปรอบๆ ร่างของเขากลางอากาศ ขณะที่เขาขยับเท้าช้าๆ เตรียมรับการโจมตีของแม่มดน้อยอย่างมั่นคง

*ตึ้ง* *ตึ้ง* เสียงแหลมบาดหูของโลหะปะทะกันดังออกมา หลินเทียนอ้าวยังคงระดมโจมตีหมอกสีดำ ทว่ามันก็ยังสามารถกระจายตัวและรวมเข้าด้วยกันขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องคำรามดังออกมาจากอีกฝั่ง ก่อนหน้านี้สี่น้อยพยายามฟื้นฟูพลังของเขาอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้เขาจึงร่อนลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงินหนาทึบ ทำให้ทั้งร่างดูเหมือนบอลแสงสีเงินขนาดใหญ่ เพียงพริบตาเดียวเขาก็เข้าร่วมวงต่อสู้โดยการปรับการเคลื่อนไหวให้เร็วถึงขีดสุด

สี่น้อยถือมีดเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ปีกของเขากระพือขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เขาควบคุมการเคลื่อนไหวในอากาศก่อนจะโฉบลงไปโจมตีและบินหนี ร่างทั้งร่างของเขาดูเหมือนพายุหมุนสีเงินที่หมุนวนไปรอบๆ เกี่ยวกระหวัดเข้ากับหมอกสีดำและโผเข้าโจมตีด้วยความเร็วสูง

แม่มดน้อยอาจเพิกเฉยต่อการโจมตีทางกายภาพได้ แต่เธอก็ยังต้องสนใจการโจมตีของสี่น้อยเพราะมันเต็มไปด้วยปราณธาตุมิติจำนวนมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีพลังเสริมที่ได้รับจากขี้เมาเป่าก่อนหน้านี้มาเพิ่มด้วย แม้ว่าจุดสนใจหลักของเธอยังคงเป็น หลินเทียนอ้าว แต่การโจมตีก่อกวนจากสี่น้อยก็ส่งผลกระทบต่อเธอเช่นกัน

เวลานี้อู่หยาเองก็ลงมือเช่นกัน เมื่อรู้ว่าการโจมตีระยะประชิดที่ทรงพลังของเธอไร้ประโยชน์กับกลุ่มหมอกควัน ในที่สุดเธอก็เผยมณีธาตุของเธอออกมาเป็นครั้งแรก

เช่นเดียวกับเซียวเอี๋ยน มณีธาตุของอู่หยาคือทับทิมแดงดารามณีธาตุไฟ ทว่าในแง่ของทักษะกักเก็บ เธอกลับไม่ได้มีทักษะประเภทโจมตีที่ทรงพลัง แต่เป็นประเภทสนับสนุนทั้งหมด! ถึงกระนั้นเธอก็จะแสดงให้เห็นพลังที่แท้จริงของเส้นทางที่เธอเลือก

ขวานในตำนานขนาดมหึมาทั้ง 2 ชิ้นได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และเห็นได้ชัดว่าขวานคู่นั้นพันอยู่กับโซ่สีแดง โซ่นั้นยาวประมาณ 10 เมตร ภายใต้การควบคุมของอู่หยา พวกมันจึงถูกเหวี่ยงขึ้นลงราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมือ สามารถเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็วและตวัดเฉือนลงบนควันสีดำได้จากมุมต่างๆ

ถึงตอนนี้ขวานในตำนานได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงแล้ว จุดแข็งของอู่หยาคือการต่อสู้ระยะประชิด และทักษะของเธอทั้งหมดก็กักเก็บมาเพื่อเพิ่มพลังให้กับสิ่งนั้น ทักษะธาตุไฟของเธอล้วนแต่เป็นทักษะสนับสนุนที่หายากและแน่นอนว่าพวกมันก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้บ่อยนัก สำหรับโซ่นั้น จริงๆ แล้วมันเป็นศาสตรามณียุทธ์ ความสามารถของมันคือใช้เชื่อมต่อและควบคุมขวานในตำนานนั่นเอง

สิ่งที่อู่หยาใช้อยู่นี้คือหนึ่งในวิชาขวานลับของเผ่าอีกาทอง การโจมตีสลายหมื่นอสูร วิชาขวานนี้ถูกใช้โดยบรรพบุรุษของพวกเขาเพื่อให้สามารถฆ่าอสูรสวรรค์จำนวนมากๆ ได้ วิชานี้ใช้ได้ทั้งการต่อสู้ระยะใกล้หรือระยะไกล อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพมากด้วย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เองก็ลงมือบ้างเช่นกัน คราวนี้เธอเก็บคันธนูและลูกศรเอาไว้และปลดปล่อยศาสตรามณียุทธ์ชิ้นที่ 2 ของเธอออกมา สิ่งนั้นก็คือรองเท้าวายุประสาน

เมื่อมีรองเท้าคู่นี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีความว่องไวขั้นสุดยอดก็เหมือนกับลมพายุที่พัดกรรโชกแรงด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง ขณะที่วิ่งอยู่นั้น เธอก็ส่งกงจักรวายุขนาดใหญ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ละชิ้นยังประกอบด้วยกงจักรวายุขนาดเล็กๆอีก 7 ชิ้น แม้ว่าเธอจะไม่มีทักษะบีบอัดกงจักรเหล่านี้เข้าด้วยกันเช่นเดียวกับบอลอัคคีของเซียวเอี๋ยน แต่กงจักรวายุขนาดเล็กทั้ง 7 นั้นก็อยู่ใกล้กันมาก ทั้งยังพุ่งไปข้างหน้าในเวลาเดียวกันคล้ายกับบอลอัคคีผสาน แม้ว่าพลังในการโจมตีของมันจะไม่มาก แต่ก็ยังเพียงพอที่จะทำร้ายแม่มดน้อยได้

แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะมีมณี 3 ชุดเท่านั้น แต่ด้วยความสามารถของรองเท้าวายุประสานและพลังที่เค้นขึ้นมาจนถึงขีดสุด ความเร็วของเธอจึงเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าเสียอีก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากทุกทิศทางเช่นนี้ แม่มดน้อยย่อมไม่อาจรับมือกับเธอได้ง่ายๆ

ในช่วงเวลานั้นเอง สมาชิกที่เหลืออีก 4 คนของกลุ่มก็ได้ล้อมรอบแม่มดน้อยเอาไว้และร่วมกันโจมตีเข้าใส่เธอจากทุกมุมด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา ทุกคนรู้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้าย หากแม่มดน้อยสามารถโค่นคนในกลุ่มลงได้อีก 1 คน โดยเฉพาะคนที่สำคัญอย่าหลินเทียนอ้าว พวกเขาที่เหลือก็คงจบเห่แล้ว

เมื่อพวกเขาทั้ง 4 คนเค้นพลังออกมาใช้อย่างเต็มที่ร่วมกับพลังเสริมธาตุแสงจากทักษะ ‘แสงพิสุทธิ์สวรรค์ และโลกา’ ของขี้เมาเป่า การโจมตีครั้งนี้จึงถือเป็นการผสมผสานที่อันตรายอย่างยิ่ง แม้แต่อสูรสวรรค์ระดับเทวะก็ไม่สามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม แม่มดน้อยก็แสดงให้พวกเขาเห็นว่าจิตใจของมนุษย์นั้นซับซ้อนกว่าอสูรสวรรค์ทั่วๆ ไป อย่างน้อยก็มนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษเช่นเธอ ผู้ซึ่งเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลัง

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของทั้ง 4 คน แม่มดน้อยกลับไม่ได้มีท่าทีกระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นหมอกควันสีดำก็กลายเป็นของแข็ง เผยให้เห็นร่างเดิมของเธออีกครั้ง และฝ่ามือซ้ายของเธอก็ฟาดเข้าใส่โล่ของหลินเทียนอ้าวทันที

เสียงระเบิดดังขึ้นจนหูอื้อ และสีหน้าของหลินเทียนอ้าวก็เปลี่ยนไปทันที เขาต้องเซถอยหลังไป 3 ก้าวโดยไม่สมัครใจ บนโล่ของเขาปรากฏรอยประทับฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ลึกกว่าครั้งก่อนหน้ามาก! ขณะที่หลินเทียนอ้าวกลับมา ทรงตัวได้ เขาก็ต้องต่อสู้กับไอปีศาจที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกายของเขาอีกครั้ง ไม่นานรอยมือที่ประทับอยู่บนโล่ก็ระเบิดออกมาทันที การระเบิดในครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะเจาะมาก ไม่เพียงแต่ทำลายการโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ยังทำให้หลินเทียนอ้าวกระเด็นถอยหลังไปอีก 5 ก้าวและทำให้เขากระอักเลือดออกมาหลายคำ ร่างกายของเขาเย็นเฉียบขนะที่ใบหน้าซีดเซียวลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากฟาดฝ่ามือใส่หลินเทียนอ้าวจนเขากระเด็นออกไป แม่มดน้อยก็ไม่ได้หยุดชื่นชมผลลัพธ์ของตนเอง เธอขยับตัวต่อเนื่องอย่างรวดเร็วโดยปราศจากความลังเล มีดสั้นสีเทาในมือของเธอสะบัดออกไปเหมือนสายฟ้าฟาดจำนวน 13 ครั้ง การโจมตีแต่ละครั้งปะทะเข้ากับขวานในตำนานของอู่หยา มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแสงสีแดงเพลิงรอบๆ ตัวขวานค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ เมื่อแสงสีเทาโผล่เข้ามาปะทะ ไม่นานมันก็ถูกแสงสีเทาโอบล้อมเอาไว้ได้ในที่สุด แต่แสงสีเทาก็ยังคงเคลื่อนที่ต่อไป มันไหลวนผ่านโซ่ลงมาถึงร่างของอู่หยา แม้แต่พลังปรานทั้งหมดที่อู่หยาผสมเข้าไปในโซ่ก็ไม่สามารถหยุดการรุกคืบของแสงสีเทาได้ ไม่นานขวานในตำนานก็ตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรงขณะที่อู่หยาสูญเสียการควบคุมร่างกายของตนเองไปทันที

ในขณะเดียวกัน แม่มดน้อยก็หมุนเท้าจนกลายเป็นพายุหมุนสีดำเข้าโจมตีสี่น้อยด้วย หลังจากปะทะกันอย่างรวดเร็ว สี่น้อยก็ส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมาขณะที่ถูกกระแทกกระเด็นออกไปไกลเกือบ 20 ฟุต ร่างของเขาหยุดชะงัก มีเลือดจำนวนมากไหลทะลักออกจากปากของเขา ปีกศาสตรามณียุทธ์ที่อยู่ด้านหลังพลันสลายหายไปทันที ใบหน้าของสี่น้อยซีดเซียวจนไร้สี และพลังเสริมจากทักษะ ‘แสงพิสุทธิ์สวรรค์และโลกา’ ที่ได้รับจากขี้เมาเป่าก็ถูกกำจัดไปด้วยทันที

ในช่วงเวลาสั้นๆ แม่มดน้อยสามารถเอาชนะสมาชิกในกลุ่มไปได้แล้วกว่า 3 คน ทว่าใบหน้าที่งดงามของเธอก็เริ่มขึ้นสีแดงก่ำเช่นกัน เมื่อแสงสีน้ำเงินสุกใสค่อยๆ แผ่ขยายออกไป ดอกฝูหรงสีน้ำเงินก็ลอยขึ้นมากลางอากาศอีกครั้ง

ในขณะนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยายามจะถอยกลับ แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอถูกล้อมรอบไปด้วยม่านพลังที่เย็นยะเยือก ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอช้าลงหลายเท่า ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนอง ร่างกายของเธอถูกแสงสีฟ้ากลืนกินและแช่แข็งทันที

แม่มดน้อยลอยไปรอบๆ ร่างของเธอเป็นครึ่งวงกลม ใบมีดสีเทาในมือของเธอฟาดลงไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ฉับพลันนั้นแสงสีเทาก็ดูเหมือนจะผ่าแยกอากาศตรงเข้าหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างเกรี้ยวกราด หากครั้งนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกโจมตีเข้าตรงๆ เธอจะต้องตายอย่างแน่นอน