บทที่ 385 ความไม่ลงรอยกันระหว่างสองพี่น้อง + บทที่ 386 แบกรับความผิด

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 385 ความไม่ลงรอยกันระหว่างสองพี่น้อง

เมื่อเห็นว่าพี่สาวของตนปกป้องพวกเขาและเข้มงวดกับตนถึงเพียงนี้ ภายในใจของหลิ่วหานเยียนก็เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง หลิ่วหานรั่วอยากให้นางขอโทษเฉียวเทียนช่างกับหนิงเมิ่งเหยาก็จริง แต่นางไม่อาจทำเช่นนั้นได้ นางจึงเชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “พวกเขามีสถานะอันใดกันเล่า มีดีพอให้ข้าต้องขอโทษด้วยหรือ ไม่กลัวว่าชีวิตจะสั้นลงหรืออย่างไร”

หลิ่วหานรั่วไม่คาดคิดเลยว่านิสัยของเด็กสาวจะทำเช่นนี้ในสถานการณ์นี้

ต่อหน้าสายตาประชาชนนับไม่ถ้วน อีกทั้งหนิงเมิ่งเหยายังท้องอยู่อีก ไม่ว่าพวกนางจะพูดอะไร ฝั่งที่ถูกต้องและมีเหตุผลมากกว่าก็ยังเป็นฝั่งของหนิงเมิ่งเหยาอยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางโกหกออกมาหรือทำตัวกร่างเช่นนี้เลย นางไม่กลัวทุกคนจะคิดหรือว่าบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองเอาฐานะของตัวเองมาอวดเบ่ง ทำตัวหยิ่งยโส มิหนำซ้ำยังถือทิฐิเช่นนี้

“พอแล้ว เงียบปากเสีย” หลิ่วหานรั่วคำรามอย่างเย็นชาพร้อมกับทำสีหน้าหงุดหงิด

หลิ่วหานเยียนมองพี่สาวของตน รู้สึกโกรธขึ้นมาเมื่อเห็นว่านางปฏิบัติกับตนอย่างไร “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เป็นใครกันถึงสามารถมาบงการข้าได้”

“เจ้า…”

ใบหน้าของหลิ่วหานรั่วซีดเผือดเพราะคำพูดของหลิ่วหานเยียน นางทำเช่นน้ันลงไปเพื่อตัวหลิ่วหานเยียนเอง แต่นางไม่คาดคิดเลยว่าเด็กสาวผู้นี้จะไม่พอใจในการกระทำของนาง

“เจ้าคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่เพราะกำลังจะได้เข้าวังหลวงหรือ หา” หลิ่วหานเยียนเสียดสีอย่างไม่ไว้หน้า นางผลักหลิ่วหานรั่วไปด้านข้างแล้ววิ่งหนีไป

“ข้าขอโทษพวกท่านด้วย น้องสาวของข้าผิดเอง ข้าหวังว่าท่านท้ังสองจะให้อภัยนาง”

เฉียวเทียนช่างหรี่ตามองหลิ่วหานรั่ว และพูดอย่างเย็นชา “พวกข้าไม่รับคำขอโทษจากเจ้า เหยาเหยา ไปกันเถอะ เมืองบุปผาก็เพียงเท่านี้นั่นแหละ”

“อืม” ในตอนแรกนางนึกชอบสถานที่แห่งนี้อยู่พอตัว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะรู้สึกเฉยๆ กับมันไปเสียแล้ว

เพราะมีเด็กสาวไร้สัมมาคารวะผู้นั้นอยู่ คงจะดีกว่านี้มากนักหากพวกเขาไม่ได้บังเอิญพบกับนางเข้า ทว่าตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกขยะแขยงยิ่งนักเมื่อนึกถึงการพบเจอกันกับเด็กสาวผู้นั้นขึ้นมาได้

หลิ่วหานรั่วรู้สึกอับอายเมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ถนอมน้ำใจนางแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะทอดสายตามองร่างที่กำลังลับสายตาไป ดวงหน้าอันงดงามของนางบิดเบี้ยว

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้หลิ่วหานรั่วหมดอารมณ์จะเดินเล่นต่อ นางหันหลังและเดินกลับจวน

นางเพิ่งมาถึงจวนตอนที่ได้ยินหลิ่วหานเยียนคร่ำครวญเรื่องที่เกิดขึ้นให้บิดาและมารดาของตนฟัง สีหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของนางที่น่าอกสั่นพรั่นพรึงอยู่แล้วก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

“รั่วเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดน้องเจ้าจึงบอกว่าเจ้ากับคนอื่นๆ รังแกนาง” ฮูหยินหลิ่วขมวดคิ้ว

หลิ่วหานรั่วกัดฟันแล้วมองหลิ่วหานเยียนที่มีท่าทางพออกพอใจ นางเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทนว่า “ท่านแม่ ท่านรู้เพียงแค่การสอบปากคำข้าหรือ เหตุใดท่านไม่ถามนางเองเล่าว่านางทำอะไรลงไปในงานเทศกาลชมดอกไม้”

ฮูหยินหลิ่วมองคู่พี่น้อง หลังผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันไปมองหลิ่วหานเยียนแล้วถามขึ้น “พี่สาวของเจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“สองคนนั้นเป็นเพียงแค่สามัญชน เหตุใดนางจึงต้องบังคับข้าให้ขอโทษพวกเขาด้วย”

หลิ่วหานรั่วส่งเสียงหึในลำคอ สายตาที่นางมองหลิ่วหานเยียนนั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ถ้าเช่นนั้น จากนี้ไปหากเจ้าก่อเรื่องอะไรอีก อย่ามาตามหาข้าก็แล้วกัน” สองคนนั้นดูไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนี้นางไปกระตุกหนวดเสือเข้าเสียแล้ว

หลิ่วหานเยียนรู้สึกอึดอัดเมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาว แต่นางกลับเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำโหว่า

“ใครจะไปต้องการความช่วยเหลือของเจ้ากัน”

“จำสิ่งที่เจ้าพูดวันนี้ไว้ให้ดีล่ะ” หลิ่วหานรั่วไม่สนใจฮูหยินหลิ่วและคนที่เหลือ นางหันหลังกลับแล้วเดินออกไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า

นางมีความรู้สึกว่าการเดินทางเข้าวังหลวงคงจะไม่ราบรื่นอย่างที่นางคิดเอาไว้

และเป็นดั่งเช่นที่นางคิด หลังจากหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างกลับมายังเมืองหลวง พวกเขาต่างเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองบุปผาให้เซียวฉีเทียนฟังตอนที่เขาแวะมาเยี่ยมจวนแม่ทัพ

ใบหน้าของเซียวฉีเทียนดำทะมึนหลังจากฟังจบ คนเช่นนั้นน่ะหรือจะคู่ควรพอที่จะเป็นผู้หญิงของพี่ชายตนได้ คิดจะเป็นถึงฮองเฮาเลยหรือ มันเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันเท่านั้น

“เป็นแค่บุตรสาวเจ้าเมืองที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร แต่กลับกล้าปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนั้นเลยรึ” หนานกงเยี่ยนโกรธจนควันออกหูในทันทีเมื่อเขาได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น เขาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะแล้วกล่าวอย่างโกรธจัด

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกขบขันเมื่อเห็นบิดาของตนแสดงท่าทีเช่นนั้น นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ อย่าหัวเสียไปเลย ข้ายังสบายดีไม่ใช่หรือ”

“ถึงเจ้าจะสบายดี แต่เจ้าก็ถูกให้ร้าย” หากไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ทำไมพวกเขาจึงกลับมาเร็วขนาดนี้เล่า

“ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ จะว่าไป ช่วงสองสามวันที่พวกข้าไม่อยู่ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” หนิงเมิ่งเหยามองพวกเขาแล้วถามด้วยความสงสัย

บทที่ 386 แบกรับความผิด

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อวี้เฟิงและคนที่เหลือต่างก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “มีสิ จะไม่มีได้อย่างไร เซียวจื่อเซวียนเริ่มลงมือแล้ว และไม่ใช่เพียงแค่ลงมือธรรมดา นางยังโบ้ยความผิดทุกอย่างไปให้หลี่หลินเอ๋อร์อีกด้วย”

หนิงเมิ่งเหยางุนงง นางมองพวกเขาด้วยสายตาไม่แน่ใจ “ท่านพี่เขย ท่านตั้งใจจะบอกว่าเซียวจื่อเซวียนขโมยของไป แล้วนางก็ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าหลี่หลินเอ๋อร์เป็นผู้เอาไปอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว และตอนนี้เซียวอี้หลินก็กำลังจับตามองหลี่หลินเอ๋อร์อยู่ เขาคงไม่คิดว่าของจะถูกขโมยไปด้วยฝีมือของบุตรสาวสุดที่รักของตนกระมัง” อวี้เฟิงเยาะยิ้ม

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกว่าเซียวจื่อเซวียนได้ทำลายหนทางเอาตัวรอดของตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นางไม่คิดว่าหลิงหลัวจะนึกรักใคร่ในตัวเซียวจื่อเซวียนจริงๆ เขาเพียงแค่หลอกใช้นางเท่านั้น

มิหนำซ้ำนางยังปิดกั้นหนทางรอดของตนในจวนตระกูลเซียวไปเสียหมด ในอนาคต หากหลิงหลัวทอดทิ้งนางขึ้นมา นางคงหมดที่พึ่งเป็นแน่

ณ จวนตระกูลหลิง เซียวจื่อเซวียนมอบราชโองการลับที่ได้มาให้กับหลิงหลัว “นี่คือสิ่งที่ท่านพูดถึงใช่หรือเปล่า” เซียวจื่อเซวียนถามออกมาเมื่อเห็นหลิงหลัวมีท่าทีตื่นเต้น

หลิงหลัวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่สนใจว่าตอนนี้จะมีข้ารับใช้อยู่ด้วย เขาดึงเซียวจื่อเซวียนเข้ามากอดและจุมพิตนาง

การกระทำของเขาทำให้เซียวจื่อเซวียนรู้สึกเขินอาย

“ข้าจะไปหาท่านพ่อ เสร็จแล้วจะกลับมาอยู่กับเจ้า”

“อืม”

เมื่อมองร่างที่กำลังเดินจากไปของหลิงหลัวและคิดถึงรสจูบของเขาเมื่อครู่ เซียวจื่อเซวียนก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ความรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางกลับนั้นมลายหายไปจนหมดสิ้น

หลังจากออกมาจากห้องของเซียวจื่อเซวียน หลิงหลัวก็เร่งฝีเท้าไปยังห้องหนังสือของหลิงอ๋อง

“ท่านพ่อ ข้าได้มันมาแล้วขอรับ” หลิงหลัวหยิบแผ่นป้ายขึ้นมาขณะเอ่ยด้วยความตื่นเต้น สายตาของเขามองหลิงอ๋อง

ไม่ใช่แค่หลิงหลัวเพียงผู้เดียวที่รู้สึกตื่นเต้น แม้แต่หลิงอ๋องเองก็รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย เขากอบกุมราชโองการลับแน่นด้วยสองมือ “เยี่ยมมาก หลังจากนี้ไปเมืองเซียวจะต้องตกเป็นของตระกูลหลิงของเรา”

หลังจากดีใจจนเนื้อเต้น หลิงอ๋องก็เริ่มได้สติ เขามองหลิงหลัวแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “ช่วงนี้เจ้าต้องเกลี้ยกล่อมเซียวจื่อเซวียนให้ดี อย่าให้นางรู้อะไรเข้าโดยเด็ดขาด”

“ข้ารู้ว่าต้องทำอะไรขอรับ” หลิงหลัวพยักหน้าและไม่ได้ใส่ใจนัก

หลิงอ๋องพยักหน้าตามแล้วตัดสินใจไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง

“เหตุใดเราจึงปล่อยให้พวกเขาได้มันไปเช่นนั้นเล่า” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกประหลาดใจ นางถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเฉียวเทียนช่างไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

เฉียวเทียนช่างรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เขาหรี่ตาลงแล้วทอดสายตามองไปข้างหน้า “ข้าเชื่อว่าชวี่เฟิงและคนอื่นๆ เองก็คงรู้เรื่องนี้แล้ว แต่พวกเขาคงตั้งใจปล่อยสายเบ็ดเพื่อรอตกปลาตัวใหญ่แทนกระมัง ข้าเชื่อว่าราชโองการลับคงถูกสับเปลี่ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้วตอนที่เซียวจื่อเซวียนได้มันไป”

เซียวชวี่เฟิงไม่ใช่คนโง่ หลังจากจับตาดูจวนตระกูลเซียวมานานถึงเพียงนี้ หากเขาไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้คงสิ้นหวังแล้ว

หนิงเมิ่งเหยากะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วจู่ๆ นางก็เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเทียนช่าง “ทำไมข้าจึงรู้สึกว่าข้าพลาดอะไรไปหลายอย่างเหลือเกิน”

“ไม่มีอะไรหรอก”

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก นางมองเฉียวเทียนช่างอย่างไม่พอใจ “แต่ข้าเบื่อนี่”

“เด็กดี” เฉียวเทียนช่างลูบศีรษะหนิงเมิ่งเหยา

นางผลักมือที่วางอยู่บนศีรษะของตนออกไป หนิงเมิ่งเหยาตวัดสายตามองเขา “อย่ามาทำเหมือนข้าเป็นสุนัขตัวเล็กๆ นะ”

เฉียวเทียนช่างยิ้มแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

หนิงเมิ่งเหยาคิดเรื่องเซียวจื่อเซวียนขึ้นมาได้

การกระทำเช่นนั้นของเซียวจื่อเซวียนมีแต่จะนำนางไปสู่ความตาย

หากตัดสินจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ หลิงหลัวน้ันไม่ใช่คนดี เห็นทีเซียวจื่อเซวียนคงพาตัวเองเดินเข้าสู่กับดักที่ตนเป็นผู้วางไว้ด้วยตัวเองเป็นแน่

ในเวลาเดียวกัน เซียวอี้หลินยืนอยู่เบื้องหน้าของหลี่หลินเอ๋อร์ “ราชโองการลับอยู่ที่ใด”

หลี่หลินเอ๋อร์มองเซียวอี้หลินด้วยแววตาเยาะหยัน “ข้าไม่รู้”

“โบยนาง”

ราชโองการลับเป็นเครื่องรางคุ้มภัยของจวนตระกูลเซียว หากไม่มีราชโองการลับ เซียวชวี่เฟิงคงจะจัดการจวนตระกูลเซียวไปนานแล้ว

แต่ผู้หญิงที่เขาเฝ้าจับตามองกลับกล้าขโมยราชโองการลับออกไปจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาเลย

ยิ่งกว่านั้น เรื่องนี้ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับเซียวเฉิงหย่า เมื่อเชื่อมโยงเรื่องทั้งสองเข้าด้วยกัน เซียวอี้หลินจึงตระหนักได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิง หากเรื่องมันแย่ลงกว่านี้ เห็นทีจวนตระกูลเซียวคงถูกทำลายจนย่อยยับ

เมื่อได้ยินเสียงครวญครางอันฟังไม่ได้ศัพท์ของหลี่หลินเอ๋อร์ สีหน้าของเซียวอี้หลินก็มืดทะมึน

หลี่หลินเอ๋อร์หัวเราะเมื่อเห็นเซียวอี้หลินแสดงท่าทีเช่นนั้น “เซียวอี้หลิน เจ้ามันก็ไม่ได้เก่งอะไรนักหนานี่ ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ”