บทที่ 387 ความพลั้งพลาดเพียงชั่วขณะ + บทที่ 388 จี้หยกซึ่งตกอยู่ ณ มุมหนึ่ง

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 387 ความพลั้งพลาดเพียงชั่วขณะ

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” สายตาของเซียวอี้หลินแปรเปลียนเป็นเย็นชา

“ข้าหมายความอย่างไรน่ะหรือ เจ้าเดาเอาเองสิ”

นางไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเหตุใดตอนนั้นนางจึงหลงรักชายผู้นี้ได้ นางช่างตาบอดนัก

“ในเมื่อพูดดีๆ แล้วเจ้าไม่ยอมทำตาม เช่นนั้นคงมีแต่ต้องใช้กำลังแทนเสียแล้ว” เขาหันหลังเดินจากไป แต่การทรมานหลี่หลินเอ๋อร์นั้นกลับทวีความรุนแรงขึ้นยิ่งกว่าเดิม

เซียวอี้หลินขบคิดถึงคำพูดของหลี่หลินเอ๋อร์ตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากห้องใต้ดินมา คำพูดของนางหมายความว่าอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่

ความคิดนั้นทำให้เซียวอี้หลินรู้สึกคลางแคลงใจยิ่งนัก “ไปสืบดูว่าผู้ใดเข้ามาที่ห้องหนังสือก่อนนาง”

ในขณะเดียวกัน เซียวอี้หลินก็มุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพ

สีหน้าของเซียวอี้หลินแข็งกระด้างเมื่อเห็นหนานกงเยี่ยน สายตาของเขาดูแปลกไปยามเมื่อเห็นบุรุษผู้นี้

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“แล้วเจ้าล่ะมาทำอะไรที่นี่” หนานกงเยี่ยนมองเซียวอี้หลินอย่างเย็นชา ใครๆ ก็รู้ว่าเขาไม่ต้องการเจอหน้าเซียวอี้หลินมากเพียงใด

“ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องบางอย่าง”

“บุตรสาวและบุุตรเขยข้าอยู่ที่นี่ ข้ามาที่นี่แล้วจะมีปัญหาอะไรหรือ” หลานในอนาคตของเขาก็อยู่ที่นี่ เหตุใดเขาจะมาไม่ได้

เมื่อใดที่เขาเห็นเซียวอี้หลิน เขาก็พาลนึกถึงเซียวเฉิงหย่าขึ้นมาเสียทุกครั้ง แรงโทสะภายในจิตใจของเขาเพิ่มพูนขึ้นจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน

หนิงเมิ่งเหยารีบลากหนานกงเยี่ยนออกไปเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็ตวัดสายตาไปมองเฉียวเทียนช่าง

“เซียวอ๋อง ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด” หลังจากหนิงเมิ่งเหยาและหนานกงเยี่ยนออกไป เฉียวเทียนช่างจึงนั่งลงบนม้านั่งหิน เขามองเซียวอี้หลิน

“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของหลี่หลินเอ๋อร์บ้างหรือเปล่า” เซียวอี้หลินถามพลางขมวดคิ้วราวกับเห็นว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญ

เฉียวเทียนช่างยิ้มเยาะภายในใจ แต่บนใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ใดๆ “ไม่มี”

“จริงหรือ”

ตอนแรกเซียวอี้หลินต้องการมาหาข้อมูลจากเฉียวเทียนช่างและพวก แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลย

เขามองเฉียวเทียนช่างด้วยความสงสัย เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่และไม่มีความหมายอื่นเจือปนของเฉียวเทียนช่างแล้ว เขาจึงเลิกสงสัยในทันที

“เซียวอ๋อง หากท่านมาที่นี่เพียงเพราะเรื่องนี้ ก็เชิญกลับไปได้แล้ว” เฉียวเทียนช่างไร้ซึ่งความสุภาพ เขาไล่แขกกลับไปในทันที

สีหน้าของเซียวอี้หลินแข็งทื่อ เขามองเฉียวเทียนช่าง

“แม่ทัพเฉียว เจ้ากำลังไล่ข้าหรือ”

“เซียวอ๋องจะเห็นเป็นเช่นนั้นก็ได้” เฉียวเทียนช่างพยักหน้าโดยไม่รู้สึกอายเลยแม้แต่น้อย

เซียวอี้หลินพลันรู้สึกอับจนคำพูด เขาน่ารำคาญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

“ข้าไม่คิดว่าจะสามารถเผชิญหน้ากับท่านด้วยกิริยาเป็นมิตรได้ ในเมื่อท่านพรากชีวิตลูกของข้าไป” เฉียวเทียนช่างเอ่ยถากถางเมื่อเห็นเซียวอี้หลินคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว

สีหน้าของเซียวอี้หลินแข็งทื่อ เพราะเวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เขาจึงลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท

“เรื่องนี้…”

“อย่าบอกข้าเลยว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่าน ผู้ใดหรือจะมีอำนาจสั่งการองครักษ์ลับของจวนตระกูลเซียวได้อีก หากมิใช่ท่าน” เฉียวเทียนช่างมองเซียวอี้หลินคล้ายดูถูก ทำเอาเขาต้องกลืนคำพูดกลับลงคอ

เซียวอี้หลินคิดอยากจะอธิบาย แต่ตระหนักได้ว่าคำอธิบายเหล่านั้นคงจะไร้ประโยชน์

เขาหยัดกายขึ้นและจากไปอย่างเงียบๆ ภาพร่างอันอ้างว้างและหดหู่ของเซียวอี้หลินไม่ได้ทำให้เฉียวเทียนช่างรู้สึกสงสารเขาแม้แต่นิดเดียว แต่กลับรู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่คนอย่างเซียวอี้หลินสมควรได้รับแล้วซะด้วยซ้ำ

เซียวอี้หลินรู้สึกอับจนหนทางหลังออกจากจวนแม่ทัพ เขานึกเสียดายที่ให้ความช่วยเหลือเซียวจื่อเซวียนในครั้งนั้น

เรื่องเช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นหากไม่ใช่เพราะความพลั้งพลาดเพียงชั่วขณะของเขาเอง

เซียวอี้หลินเดินอยู่บนถนน จู่ๆ ก็ไม่นึกอยากกลับไปยังจวนของตน เขาพบว่าในตอนนี้ที่แห่งนั้นช่างเหน็บหนาวกว่าในยามปกตินัก ก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวอาจนำไปสู่หายนะได้

แต่แม้เขาจะมานึกเสียดายเอาตอนนี้ มันก็สายไปเสียแล้ว

เซียวอี้หลินกลับไปที่จวนของตนยามที่เมื่อท้องฟ้ามืดสนิท บนท้องถนนแทบไม่มีผู้ใดสัญจร

เมื่อนึกถึงจวนแม่ทัพอันมีชีวิตชีวา เซียวอี้หลินก็นึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง

หากไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น เขาอาจจะมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนจวนแม่ทัพบ้างในบางเวลาเหมือนกันใช่ไหม ไม่ว่าอย่างไรเสีย เขาก็เป็นถึงลุงของหนิงเมิ่งเหยา

หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ ไม่อาจทราบได้ว่าเซียวอี้หลินคิดเช่นนั้นอยู่ พวกเขาเพียงรู้สึกว่าการมาเยือนของเซียวอี้หลินนั้นช่างแปลกประหลาด และนั่นทำให้ทุกคนต่างรู้สึกว่าต้องระวังตัวเพิ่มขึ้น

“เทียนช่าง เจ้าคิดว่าจุดประสงค์ของเขาคือสิ่งใดกัน” หนิงเมิ่งเหยาเอนกายลงบนเตียง แต่ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้

“ราชโองการลับ”

บทที่ 388 จี้หยกซึ่งตกอยู่ ณ มุมหนึ่ง

หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว “ราชโองการลับหรือ”

“ใช่ ดูเหมือนว่ามันคงมีความเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของจวนตระกูลเซียวทั้งหมด เขาคงไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์จากหลี่หลินเอ๋อร์ จึงมาหาเราที่นี่ด้วยเหตุผลนั้น จุดประสงค์ของเขาคือมาดูว่าพวกเรามีเบาะแสอะไรหรือเปล่า” เขารู้เรื่องนี้มากกว่าหนิงเมิ่งเหยา ดังนั้นจึงสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของเซียวอี้หลินได้

หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วแล้วมองเฉียวเทียนช่างที่อยู่ข้างกายตน “แล้วเราก็เมินเขาไปเสียเฉยๆ เช่นนี้น่ะหรือ”

“ใช่แล้ว แต่ถึงเราจะรู้เรื่องนี้ชัดเจนกว่าฝั่งของเซียวอี้หลิน ทว่าชวี่เฟิงกับคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกว่ายังมีผู้อื่นอยู่เบื้องหลัง และคนผู้นั้นก็ยังไม่ได้เปิดเผยตัวออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงรอเพื่อจะจับปลาตัวใหญ่ตัวนั้นแทน”

หนิงเมิ่งเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”

“หลับเสีย อย่าเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลย ปล่อยให้ข้าจัดการดีกว่า” เฉียวเทียนช่างยกมือขึ้นปิดตาของหนิงเมิ่งเหยาพลางกระซิบข้างหู

หนิงเมิ่งเหยาขยับกายเข้าสู่อ้อมกอดของเฉียวเทียนช่าง แต่นางยังคงรู้สึกกังวลใจอยู่แม้เขาจะกล่าวเช่นนั้นก็ตาม

วันนี้เซียวอี้หลินกำลังวุ่นอยู่กับการจัดการงานราชการของตนภายในห้องหนังสือ หัวหน้าองครักษ์ลับยืนอยู่ข้างกายเขาและกำลังรายงานสิ่งที่ตนพบให้เขาฟัง เซียวอี้หลินขมวดคิ้วเข้าหากัน “เจ้าจะบอกว่าวันนั้นเซวียนเอ๋อร์กลับมาพอดีอย่างนั้นรึ”

“ขอรับ ชายาซื่อจื่อกลับมาวันนั้น นางตรงไปที่ห้องของฮูหยินก่อนกลับไปยังห้องของตนขอรับ หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้ออกมาอีก ทว่ากลับมีคนเห็นชายาซื่อจื่อตอนที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่พวกเขาก็บอกว่าตัวเองอาจจะตาลายไปเองขอรับ” ในเวลานั้นคนอื่นๆ ต่างเข้าใจว่าเซียวจื่อเซวียนกลับไปนานแล้ว

“เจ้าหมายความว่านางไม่ได้กลับวันนั้น แต่ยังคงอยู่ที่จวนหรือ แล้วใครเป็นคนกลับไปกัน” เซียวอี้หลินขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม สีหน้าของเขาน่าเกลียดน่ากลัว

“เป็นข้ารับใช้ของนางขอรับ”

เซียวอี้หลินผุดลุกขึ้น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งในทันที ใบหน้าของเขาซีดเผือดและเต็มไปด้วยความตกใจ

แต่กระนั้น เซียวอี้หลินก็ยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้ มันอาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันก็ได้ เขาโบกมือเป็นการบอกให้องครักษ์ลับออกไป คิ้วของเซียวอี้หลินขมวดแน่นแทบจะตลอดเวลา เขาไม่อาจผ่อนคลายได้เลย

เขาเดินวนอยู่ภายในห้องหนังสือ นอกจากใบหน้าอันซีดเผือดแล้ว เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจเสียเหลือเกิน

ในเวลานี้ฮ่องเต้ยังไม่รู้ว่าราชโองการลับหายไป เขายังคงมีโอกาสที่จะค้นหามันได้อยู่ หรือไม่ก็…

เมื่อนึกถึงกลอุยายของเซียวชวี่เฟิง เซียวอี้หลินก็ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

ในวินาทีที่เซียวอี้หลินถูกความตื่นตระหนกครอบงำ พลันสายตาของเขาก็เคลื่อนไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของชั้นหนังสือ

เซียวอี้หลินหรี่ตาลงแล้วเดินเข้าไป เขาย่อตัวลงและหยิบพู่ประดับตรงมุมหนึ่งขึ้นมา มีจี้หยกเส้นหนึ่งแขวนอยู่กับพู่ ตัวหยกมีอักษรเล็กๆ เขียนว่า ‘เซียว’ อยู่บนนั้น

ก่อนหน้านี้เขาพยายามกล่อมตัวเอง พยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด และเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเซียวจื่อเซวียนได้อย่างแน่นอน

ทว่าบัดนี้ เขากลับเก็บจี้หยกของเซียวจื่อเซวียนได้ภายในห้องหนังสือของตน ไม่เพียงแค่นั้น มันยังตกอยู่ตรงทางเข้าห้องลับอันเป็นที่เก็บของชิ้นนั้นเอาไว้เสียด้วย

สายตาของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาดุจน้ำแข็ง เขาเริ่มนึกย้อนถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากราชโองการลับหายไป เขานึกได้แม้กระทั่งเบาะแสอันตื้นเขินหลายอย่าง และทั้งหมดนั้นชี้ชัดว่าหลี่หลินเอ๋อร์ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิดเดียว

นางไม่มีเวลาพอที่จะทำเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่น่าขันที่สุดคือการที่ตัวเขาดันตกหลุมพลางโง่เง่าเช่นนั้นได้

เซียวอี้หลินกุมจี้หยกในมือแน่น ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยไฟโทสะ เขาเลี้ยงดูเซียวจื่อเซวียนราวกับลูกในไส้ เขายังปกป้องนางแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่านางเป็นลูกของคนอื่น เขาไม่คิดเลยว่าเซียวจื่อเซวียนผู้นั้นจะตอบแทนเขาเช่นนี้ นางช่างเป็นคนอกตัญญูและเลี้ยงไม่เชื่องเสียจริง

เซียวชวี่หลินมองราชโองการลับภายในกล่อง ที่มุมปากของเขามีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่ ในที่สุดเขาก็ได้มันมาไว้ในมือ

เขาหยิบราชโองการลับออกมาจากกล่อง แม้มันจะดูเหมือนแผ่นป้ายธรรมดาๆ แต่กลับมีความสำคัญสำหรับเขามากนัก เพราะป้ายแผ่นนี้สามารถสั่งการขุนพลซึ่งเร้นกายอยู่รอบเมืองเซียวได้ทั้งหมด คนเหล่านั้นจะทำตามคำสั่งของผู้ที่ถือครองป้ายนี้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม

พลังเช่นนั้นมันทรงอำนาจมากเกินไป นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาพยายามหาวิธีเอามันกลับมาไว้ในครอบครองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

บางทีหลิงอ๋องและพรรคพวกอาจยังไม่ทันรู้ตัวว่าป้ายที่อยู่ในมือของพวกตนนั้นเป็นของปลอม

“ท่านพี่ ป้ายนี้ใช้ทำอะไรได้หรือ” เซียวฉีเทียนที่ปกติจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้กลับถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้เมื่อเห็นเซียวชวี่เฟิงทำท่าดีใจเสียขนาดนั้น