บทที่ 389 เป้าหมายของเขา + บทที่ 390 เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 389 เป้าหมายของเขา

เซียวชวี่เฟิงวางป้ายลงในกล่อง เขาเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า “ภายในเมืองเซียวมีกองกำลังลับซ่อนตัวอยู่ กองกำลังนั้นถูกจัดตั้งโดยองค์หญิงใหญ่ที่เป็นผู้ก่อตั้งเมือง ไม่มีใครรู้ว่าทหารเหล่านั้นอยู่ที่ใด มีเพียงผู้ที่ถือครองป้ายนี้เท่านั้นจึงจะรู้ที่อยู่ของพวกเขาได้”

เซียวฉีเทียนรู้สึกงุนงง ดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจ “จะมีพวกนั้นไว้ทำไมกัน”

“พวกเขาคือปราการด่านสุดท้ายที่ปกป้องเมืองเซียวอยู่ ป้ายนี้ส่งต่อกันมาในฮ่องเต้แต่ละสมัย แต่ตอนที่ข้าขึ้นรับตำแหน่งนี้ ท่านลุงของพวกเรากลับฉกเอามันไปเสียก่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จวนตระกูลเซียวแข็งแกร่งขึ้นมาก มิหนำซ้ำยังทำตัวเหิมเกริมขึ้นอีกด้วย แต่เพราะพวกเขามีป้ายนี้อยู่ในมือ ข้าจึงไม่อาจลงมือกระทำการใดๆ กับพวกเขาได้” สายตาของเซียวชวี่เฟิงเย็นเยียบเมื่อนึกถึงความคับแค้นใจที่ตนต้องเผชิญมาตลอดช่วงสองสามปีนี้

เซียวฉีเทียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เป็นเช่นนี้นี่เอง แล้วป้ายที่อยู่ในมือหลิงอ๋องเล่า”

“มันเป็นของปลอม และคงจะใช้ทำการอันใดมิได้ หากป้ายจริงไปอยู่ในมือพวกมันเข้า ข้าเกรงว่าเมืองเซียวคงถึงกาลอวสานเป็นแน่”

เซียวฉีเทียนพยักหน้าตามอย่างนึกกลัวขึ้นมา “โชคดีที่พวกเราได้มันมาก่อน”

เซียวชวี่เฟิงพยักหน้า “จริงดังเจ้าว่า โชคดีที่มันหวนกลับมาอยู่ในมือของพวกเรา”

“ท่านพี่ หากหลิงอ๋องและพวกของมันรู้ว่าราชโองการลับเป็นของปลอม มันจะมีผลกระทบอะไรกับแผนการที่พวกเราวางไว้หรือเปล่า” เซียวฉีเทียนพลันรู้สึกกังวลขึ้นมา

“ไม่มีผู้ใดรู้ว่าราชโองการลับของจริงมีลักษณะเป็นเช่นไร ราชโองการอันนั้นก็หน้าตาเหมือนกับอันนี้ไม่มีผิดเพี้ยน นอกเสียจากคนจากกองกำลังลับนั้น คงไม่มีผู้ใดสามารถแยกได้ว่าอันไหนเป็นของจริงหรืออันไหนเป็นของปลอมกันแน่” นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้รู้สึกกังวลใจเท่าใดนัก

เซียวฉีเทียนมองเซียวชวี่เฟิง ทว่ายังคงไม่เข้าใจว่าเขาทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร

“ข้าคงเหมาะแค่ทำการค้าเพียงอย่างเดียว” เรื่องพวกนี้มันซับซ้อนเกินไป

เซียวชวี่เฟิงชะงัก ก่อนจะหัวเราะออกมา “โธ่ เจ้านี่นะ”

แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นน้องชายที่เขาเชื่อใจที่สุดก็ตามที แต่หากไม่ใช่เพราะเซียวฉีเทียนไม่มีความสนใจในเรื่องการเมืองแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่คิดที่จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ฟังแน่

“ท่านพี่ ท่านจัดการเรื่องนี้เถิด ส่วนข้าจะไปหาเงินมาใส่ในคลังหลวงให้พูนเอง” เขาสนใจความตื่นเต้นจากการหาเงินมากกว่า

“ไร้ความทะเยอทะยานนัก”

“จะให้ทะเยอทะยานอะไรเล่า เป้าหมายของข้าคือการเอาชนะเมิ่งเหยา ถึงเป้าหมายนี้ดูจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไปหน่อยก็เถอะ” เซียวฉีเทียนโบกมืออย่างอับจนหนทาง

หนิงเมิ่งเหยานั้นช่างเยี่ยมยอดนัก เขาคงเอาชนะนางได้ก็ต่อเมื่อนางยอมหลีกทางให้เท่านั้น

เซียวชวี่เฟิงรู้สึกขบขันขณะส่ายหน้าไปมาเมื่อเห็นว่าผู้เป็นน้องชายกำลังทำเป็นพูดทีเล่นทีจริงอยู่เช่นนั้น “เอาล่ะ เลิกพูดเล่นได้แล้ว เจ้าควรเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองดีที่สุด”

“เข้าใจแล้วน่า ท่านพี่ ข้าขอตัวกลับก่อนล่ะ ข้าจะไปดูเสียหน่อยว่าเทียนช่างกับคนอื่นๆ เตรียมการอะไรไว้ นี่มันก็เกือบจะถึงวันแต่งงานของหนานอวี่แล้ว”

“เจ้าไปเถอะ” เซียวชวี่เฟิงโบกมืออย่างไม่ค่อยพอใจนัก

เซียวฉีเทียนหัวเราะขณะเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร หลังจากกลับออกมา เขาจึงยกมือขึ้นลูบใบหน้าอันแข็งเกร็งของตัวเอง เขาไม่เหมาะกับสถานที่แห่งนั้นจริงๆ

งานแต่งงานของชิงซวงกับหนานอวี่เป็นไปตามกำหนดการที่ตั้งไว้ ยิ่งวันสำคัญนั้นใกล้เข้ามาเท่าใด ชิงซวงก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น แม้แต่หนานชีที่อยู่ในสภาพมอมแมมก็ยังรีบรุดกลับมาให้ทันก่อนถึงพิธีเริ่มถึงสองวัน ที่สำคัญเขายังเอาข่าวจากหนานเจียงกลับมาด้วย

หนานชีมุ่งตรงไปหาเฉียวเทียนช่างโดยไม่คิดจะหยุดพักหายใจ “นายท่าน มีการเคลื่อนไหวมากมายภายในหนานเจียงขอรับ หลังจากปีที่พวกข้าหนีออกจากหนานเจียงมา เห็นว่ามีคนไม่ต่ำกว่าสิบคนถูกส่งไปเพื่อเป็นผู้สืบทอดแทนขอรับ ในจำนวนน้ัน มีอยู่ผู้หนึ่งที่มีพลังเทียบเท่ากับฮ่องเต้ของหนานเจียงเลยทีเดียว”

“ให้ส่งคนมากมายถึงเพียงนั้นไปภายในครั้งเดียวหรือ ฮ่องเต้แห่งหนานเจียงตั้งใจจะทำอะไรกันแน่” เฉียวเทียนช่างพึมพำ

หนานชีส่ายหน้า “ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ เพียงแต่รู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่”

“ไม่ชอบมาพากลเอาการเลยเชียวล่ะ ข้าจะแจ้งเรื่องนี้ให้ชวี่เฟิงรู้เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เจ้าไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยเสียเถอะ อีกสองวันจะถึงวันแต่งงานของพี่ชายเจ้าแล้ว เจ้าจะดูไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้ไม่ได้”

หนานชีหัวเราะในลำคอ ก่อนออกจากห้องหนังสือแล้วกลับไปยังห้องของตน

ตอนที่เขาได้ยินว่าพี่ชายของตนกำลังจะแต่งงานนั้น เขาถึงกับพลัดตกจากเก้าอี้เลยทีเดียว แต่เขามีความสุขมากนัก ในที่สุดพี่ชายของเขาก็จะได้มีครอบครัวเป็นของตัวเองเสียที

หลังจากหนานชีกลับไป ใบหน้าอันผ่อนคลายของเฉียวเทียนช่างกลับกลายเป็นเคร่งเครียดยิ่งนัก

นอกจากบัณฑิตที่สิ้นใจในกำมือของพวกเขาแล้ว คนที่เหลือที่มาจากหนานเจียงมุ่งหน้าไปที่ไหนกันแน่ พวกเขาเกี่ยวข้องกับเมืองหลิงอย่างไรกัน

ความสงสัยแวบขึ้นมาในหัวของเฉียวเทียนช่าง เขาเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

บทที่ 390 เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น

เฉียวเทียนช่างพยายามเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ดู ตั้งแต่การมาถึงของหนานกงเช่อและหนานกงเยว่ จากนั้นก็เป็นการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ การที่องค์หญิงกลับกลายเป็นองค์ชาย และเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมา

แต่ละเหตุการณ์ดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่เมื่อมาทบทวนอีกทีตอนนี้กลับพบว่าระหว่างเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีความเชื่อมโยงอันไม่สามารถลบล้างได้อยู่หนึ่งอย่าง

ความคิดหลายอย่างฉายวาบขึ้นในดวงตาของเขา “ดูเหมือนว่าการส่งหนานชีออกไปจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วสินะ”

เฉียวเทียนช่างแอบออกจากจวนแม่ทัพ เขาไม่ได้บอกใครและมุ่งหน้าไปยังวังหลวงในทันที จากนั้นเขาจึงเข้าพบเซียวชวี่เฟิงที่อยู่ในห้องทรงพระอักษร

“หนานชีกลับมาแล้ว เขาเอาข่าวที่ไม่ค่อยดีสำหรับพวกเรานักมาด้วย”

การกลับมาของหนานชีเป็นสัญญาณบอกว่าวันแต่งงานของหนานอวี่ใกล้มาถึงแล้ว เช้าวันนั้นชิงซวงถูกคนอื่นๆ พาตัวออกไปแต่งหน้าแต่งตา ก่อนจะลบเครื่องสำอางออกแล้วแต่งใหม่อีกครั้ง การกระทำนั้นทำเอานางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

แม้ว่าจากสายตาคนอื่นนั้นพวกเขาทั้งสองจะเป็นเพียงแค่ลูกน้องและข้ารับใช้ แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์อันไม่น่าดูชมอันใดเกิดขึ้น ความมีชีวิตชีวาของงานแต่งทำให้แขกที่มาร่วมงานต่างยิ้มแย้มแจ่มใสไปตามๆ กัน

จวนแม่ทัพทุ่มเทและใส่ใจกับงานนี้มาก ทั้งที่เป็นเพียงแค่งานแต่งของข้ารับใช้ แล้วถ้าหากเป็นงานแต่งของเจ้านายเล่า.

ทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้า ดังนั้นสุดท้ายแล้วเจ้านายของชิงซวงจึงรับหน้าที่เป็นตัวแทนพ่อแม่ให้กับพวกเขาทั้งสอง

หนานชียืนอยู่ด้านข้างขณะมองพี่ชายและพี่สะใภ้ของตนทำพิธีแต่งงาน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

หลังจากเจ้าสาวกลับไปที่ห้อง หนานชีจึงแวะไปดื่มกับหนานอวี่ มิหนำซ้ำยังช่วยกันไม่ให้คนอื่นมาร่วมดื่มฉลองกับเขาด้วยอีกทางหนึ่ง และนั่นทำให้หนานอวี่หลบออกจากโต๊ะดื่มฉลองไปได้

หลังงานแต่งของชิงซวงและหนานอวี่ บรรยากาศภายในเมืองหลวงดูเหมือนจะเคร่งเครียดขึ้น

หลังจากยืนกรานไม่เห็นด้วยในตอนแรก สุดท้ายเซียวอี้หลินจึงก็คนไปบอกให้เซียวจื่อเซวียนกลับมาที่จวน

เซียวจื่อเซวียนตกตะลึงตัวแข็งไปทั้งร่างหลังจากรู้เรื่องนั้น นางมองผู้นำสาส์นด้วยท่าทางเคลือบแคลงใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านพ่อจึงอยากให้ข้ากลับไป”

“ข้ารับใช้เช่นข้าหารู้ไม่ขอรับ”

เซียวจื่อเซวียนนิ่วหน้า จากนั้นนางจึงโบกมือให้คนผู้นั้นออกไป

หลิงหลัวมองสีหน้าอันเป็นกังวลของเซียวจื่อเซวียนแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อตาอาจมีเรื่องบางอย่าง ถึงได้เรียกเจ้ากลับไป”

เซียวจื่อเซวียนฝืนยิ้มออกมา “ข้าก็หวังเช่นนั้น”

หลังเตรียมตัวอยู่ครู่หนึ่ง เซียวจื่อเซวียนจึงเดินทางกลับไปพร้อมกับสาวใช้ของนาง

แทนที่เซียวจื่อเซวียนจะได้พบกับเซียวอี้หลินที่ห้องโถง นางกลับถูกพาไปยังห้องหนังสือของเขาแทน

หลังจากถูกนำตัวมายังห้องหนังสือ หัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นส่ำ นางสังหรณ์ใจไม่ดีนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าเซียวอี้หลินรู้อะไรบางอย่างเข้าแล้ว

หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ นางก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ หากเขารู้แล้วจริงๆ เช่นนั้นเขาก็น่าจะเรียกตัวนางมาตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงรอมาจนถึงเวลานี้แทนเล่า

เซียวจื่อเซวียนปลอบใจตัวเอง แต่ความรู้สึกอันหนักอึ้งนั้นก็ยังไม่หายไป

นางเคาะประตูที่หน้าห้องหนังสือของเซียวอี้หลิน หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว เซียวจื่อเซวียนจึงผลักประตูและเดินเข้าไป

“ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงเรียกตัวข้ากลับมาหรือ” เซียวจื่อเซวียนพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อเขายอมมองข้ามรอยยิ้มอันแข็งทื่อของนางไป

เซียวอี้หลินหมุนตัวกลับมามองเซียวจื่อเซวียนที่มีท่าทางกระสับกระส่าย แล้วชี้มือไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเขา “นั่งก่อนสิ”

เซียวจื่อเซวียนมองเซียวอี้หลินแต่อ่านสีหน้าของเขาไม่ออก นางยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้นเมื่อเห็นเช่นนั้น

“ท่านพ่อ…”

“นั่งลงก่อน พ่อเพียงแค่อยากจะคุยกับเจ้า” เซียวอี้หลินพลันเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นไม่ได้ทำให้ใจของเซียวจื่อเซวียนสงบลงได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้นางรู้สึกกลัวหนักขึ้นไปอีก

เซียวจื่อเซวียนกลืนน้ำลายลงคอ นางมองเซียวอี้หลินด้วยความประหม่า “ท่านพ่อ ท่าน…”

“เซวียนเอ๋อร์ ที่ผ่านมาพ่อปฏิบัติกับเจ้าเช่นใดหรือ” เซียวอี้หลินยิ้มขณะมองเซียวจื่อเซวียน เขามีสีหน้าอันอ่อนโยนเฉกเช่นในอดีต

เซียวจื่อเซวียนชะงัก แล้วนางจึงก้มหน้าลง “ท่านพ่อดูแลเซวียนเอ๋อร์ดีมากๆ”

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ ถ้าเช่นนั้น เซวียนเอ๋อร์ พ่อจะถามเจ้าอีกครั้ง หากเจ้าต้องเลือกระหว่างพ่อกับหลิงหลัว เจ้าจะเลือกผู้ใด” เซียวอี้หลินหรี่ตาลง เขามองเซียวจื่อเซวียนด้วยสายตายากจะเข้าใจ

เซียวจื่อเซวียนสะดุ้ง “ท่านพ่อ ข้าจะเลือกได้เช่นไร”

“ทำไมเจ้าจึงเลือกไม่ได้เล่า”

สีหน้าของเซียวจื่อเซวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางมองเซียวอี้หลินอย่างกระวนกระวายใจ “ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดท่านจึงถามเรื่องนั้นกับข้า”

เซียวอี้หลินมองเซียวจื่อเซวียนตรงๆ สายตาของเขาไร้ซึ่งความอ่อนโยนที่ปรากฏอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้มันช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน

“เซวียนเอ๋อร์ จี้หยกของเจ้าอยู่ไหนหรือ” สายตาของเซียวอี้หลินและสายตาของเซียวจื่อเซวียนสบประสานกัน

เซียวจื่อเซียนเผลอจับเอวของตน สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ข้าคงลืมเอามันมาด้วยตอนออกจากจวนตระกูลหลิง”

“ลืมเอามาด้วยหรือ”

“ใช่”

“เช่นนั้น เซวียนเอ๋อร์ เจ้าช่วยบอกพ่อหน่อยว่าสิ่งนี้คืออะไร”