ฮูหยินจิ้งหนานปั๋วโยนไม้เท้าในมือออกพร้อมด่าทอ “เจ้าไม่ต้องใช้คำพูดเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างเลย! แม่เฒ่าอย่างข้าจะไปจวนเหยาประเดี๋ยวนี้! ตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าของพวกเขาสู่ขอบุตรีตระกูลพวกเราไป ตระกูลเหยาของพวกเขา หากไม่มีท่านกั๋วกงของพวกเราคอยช่วยเหลือ พวกเขาจะมีวันนี้ได้อย่างไร! วันนี้พอเห็นพวกเราตกอับ อยากจะใช้ขาถีบพวกเราไปไกลๆ กระนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”
“เตรียมรถม้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้งหนานปั๋วมีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว หลังจากโยนไม้เท้าทิ้ง แม้นท่ายืนของนางจะไม่ได้ดูมั่นคง ทว่ากลับสาวเท้าอย่างว่องไวราวกับโบยบินได้ ท่าทางของนางดูดุดัน
จิ้งหนานปั๋วฮูหยินหัวคิ้วกดลึกพลางมองฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเดินออกไปด้านนอก จึงอดถอนหายใจไม่ได้ นางไปเยือนจวนคนอื่นเยี่ยงนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการฉีกหน้ากัน! ทว่าเหยาหย่วนจือเป็นคนที่ยอมคนอื่นง่ายๆ เสียที่ไหนเล่า
แน่นอนว่าเหยาหย่วนจือไม่ใช่ผู้ที่ยอมโดนรังแกง่ายๆ ทว่าเขาก็คงไม่จำเป็นต้องมากลุ้มใจกับเรื่องไร้แก่นสารเช่นนี้ ภรรยาของเขาหวางฮูหยินเป็นผู้ที่คอยควบคุมการงานทุกอย่างในจวน หากปัญหาเหล่านี้ยังไม่อาจจัดการได้ เช่นนั้นตำแหน่งนายหญิงของตระกูลคงต้องหลีกให้ผู้อื่นเสียแล้ว
หวางฮูหยินเหมือนมีลางสังหรณ์ว่าคนของจวนจิ้งหนานปั๋วต้องมาเยือน จึงเชิญหลี่ฮูหยินที่เป็นพี่สะใภ้ของนาง สตรีผู้ที่เป็นภรรยาของจือจ้าวแห่งเจียงหนานหวางเคอจง หลี่ฮูหยินเองก็รู้เรื่องอย่างกระจ่างแจ้ง แค่บอกว่านางมาเยี่ยมไข้หวางฮูหยิน แท้จริงแล้ว อาการปวดตรงตำแหน่งหัวใจของหวางฮูหยินไม่ใช่ที่เกิดขึ้นแค่ในวันสองวันนี้เท่านั้น
ทว่าหลี่ฮูหยินบอกจะมาเยี่ยนเยียนน้องสาว ตอนมากลับพาคนมาไม่น้อย หากสังเกตมองอย่างละเอียด ผู้ที่ติดตามมาล้วนเป็นบ่าวผู้หญิงที่มีรูปร่างกำยำเจ็ดแปดคน ส่วนบ่าวผู้ชายแต่ละคนก็ดูคึกคักก้าวร้าว ดูเหมือนไม่ใช่บ่าวไพร่ทั่วไป
แม้นจวนจิ้งหนานปั๋วบอกว่าตระกูลของพวกเราคือตระกูลกั๋วกง ทว่าพอถึงรุ่นของจิ้งหนานปั๋ว ก็ไม่ได้ครอบครองตำแหน่งนั้นอีกต่อไป
บุรุษในตระกูลไม่ฝึกฝนวิชาใดๆ ทายาทแต่ละรุ่นยิ่งอยู่ก็ยิ่งย่ำแย่ ตำแหน่งปั๋วที่บรรพบุรุษทิ้งไว้กลับไม่อาจรักษาไว้ ซ่งเหยียนชิงเองไม่ร่ำเรียนหนังสือ จึงมิอาจสอบคัดเลือกขุนนาง เขาจึงมีเพียงเปลือกนอกที่แลดูงดงามเท่านั้น
อย่าพูดถึงพวกเขาที่ด้อยกว่าตระกูลเหยาไปมากเลย แม้กระทั่งตระกูลหวางแห่งจวนจือจ้าวยังเทียบเทียมไม่ได้ ภายนอกหวางเคอจงอาจแค่ผลิตผ้าให้ตระกูลราชวงศ์ แท้จริงแล้วกลับเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ มิเช่นนั้น บุตรชายของเขาจะมีสิทธิ์สู่ขอบุตรีภรรยาเอกของติ้งโหวมาเป็นภรรยาได้อย่างไร
พวกนางที่เป็นคนในตระกูลผู้ให้กำเนิดเหมือนกัน น้องสะใภ้ของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเจอกับพี่สะใภ้ของหวางฮูหยิน ย่อมต้องลดความดุดันที่แผ่ซ่านออกผ่านเรือนร่างลง
ไหนลองว่ามาสิ พวกเจ้าจะเทียบเทียมอะไรกัน
หากเปรียบเทียบบ่าวไพร่ คนของเจ้าไม่ได้เยอะเหมือนของคนอื่น หากเทียบเงินทองความมั่งมี จวนจิ้งหนานปั๋วยิ่งอยู่ยิ่งย่ำแย่เข้ามาทุกที รายจ่ายในจวนนั้นเยอะกว่ารายรับ และถ้าหากเทียบอำนาจในราชสำนักล่ะ? หวางเคอจงเป็นหนึ่งในขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย ทั้งยังเกี่ยวดองกับจวนติ้งโหวอีก
หากเปรียบเทียบบรรพบุรุษล่ะ? ต้องขออภัยจริงๆ บรรพบุรุษของตระกูลเจ้าถูกกลบฝังในดินจนย่อยสลายเป็นขี้ดินไปแล้ว หากเจ้ามีปัญญาก็เอาป้ายชาตะมรณะของบรรพบุรุษออกมาสิ?
เกรงว่าคงไม่มีประโยชน์อันใดหรือเปล่า
ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้งหนานปั๋วเข้าประตูจวนข้าหลวงใหญ่ด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด พอเห็นหนิงฮูหยินน้อยและเจียงฮูหยินน้อยออกมาต้อนรับนาง ทว่ากลับไม่เห็นหวางฮูหยิน ไฟแห่งความเคืองแค้นในใจก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเข้าประตูเรือน ก็เห็นหวางเคอจงฮูหยินนั่งอยู่ด้านข้าง ไฟแห่งความเคืองแค้นนั้นดับลงอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
หลี่ฮูหยินนั่งจิบชาอย่างสง่างาม พร้อมส่งยิ้มจางๆ และกล่าวทักทายฮูหยินผู้เฒ่าจิ้งหนานปั๋ว ส่วนนางก็ทำได้เพียงคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยพูดจาเกรงใจกับหลี่ฮูหยิน หลี่ฮูหยินมาเยี่ยมไข้ ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้งหนานปั๋วก็มาเยี่ยมไข้เช่นกัน ทั้งสองพูดจาเกรงใจกันไปไม่กี่คำ เจียงฮูหยินน้อยก็บอกว่าท่านย่าเชิญฮูหยินผู้เฒ่าไปเรือนหนิงรุ่ย ฮูหยินผู้เฒ่าจิ้งหนานปั๋วหยุดวิพากษ์วิจารณ์พลางเดินจากไป
หลี่ฮูหยินเหยียดกายลุกขึ้นส่งนาง ท้ายที่สุดก็แสยะยิ้มอย่างเลือดเย็นพลางเดินกลับไปในเรือนนอนของหวางฮูหยินทันที
หวางฮูหยินพิงอยู่บนเตียง พอเห็นพี่สะใภ้มาเยือน จึงเปรยอย่างประหม่า “เรื่องไร้สาระในจวนเหล่านี้ ทำให้พี่สะใภ้คอยกังวลใจเสียแล้ว”
“ศีลธรรมที่มนุษย์ควรยึดถือนี้ หากมัวแต่หวาดกลัวกับเรื่องราวต่างๆ คงไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ต่อได้ นิสัยของเจ้าอ่อนปวกเปียกเกินไป น้องเขยเป็นปัญญาชนคนหนึ่ง กฎระเบียบนี้โน้นนั้นก็เยอะเกินไปหรือเปล่า!” หลี่ฮูหยินพยุงหวางฮูหยินให้นั่งลง นางเป็นบุตรีในตระกูลแม่ทัพ การมิอาจทนมองท่าทีที่อ่อนเปียกของเหล่าปัญญาชนจึงได้ฝังเข้าไปในสายเลือดของนางแล้ว
หวางฮูหยินพลันตบมือนางเบาๆ พร้อมเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้ม “เขาก็จนปัญญาจริงๆ หากเรื่องที่กระทำทารุณกรรมกับฮูหยินผู้เฒ่าถูกร่ำลือกันไปทั่วเมือง แล้วถูกผู้อื่นเล่นงาน นี่ก็คงจะพูดยากจริงๆ”
หลี่ฮูหยินพยักหน้า “เจ้าพูดได้มีเหตุผล ทว่าคงมิอาจปล่อยให้พวกนางโวยวายต่อไปเช่นนี้หรือเปล่า”
ตอนนี้หวางฮูหยินแค่หวังว่าพระราชโองการทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานงานสมรสของเหยาเยี่ยนอวี่ให้มาถึงในเร็ววัน ดังนั้นจึงถอดถอนหายใจ “ก็คงโวยวายได้อีกไม่กี่วันหรอก”
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนมีสิ่งตอบแทน หวางฮูหยินแอบครุ่นคิดในใจ ถ้าอยากใช้บุตรีอนุภรรยาคนนี้แสวงหาผลประโยชน์ได้มากกว่านี้ ใคร่อยากให้ตระกูลเหยาได้รับการให้ความสำคัญจากฮ่องเต้มากขึ้น บุตรชายสองคนทำงานในราชสำนักอย่างราบรื่น และมีโอกาสพัฒนาให้ก้าวไกลไปทีละขั้น ก่อนอื่นต้องปูทางเส้นนี้ให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ก่อน
อีกทั้งตอนนี้นางก็ไม่มีทางเลือก หากเหยาเยี่ยนอวี่เกิดเรื่องใดขึ้น อนาคตของบุตรชายคนรองคงสูญสิ้น นางยังอยากให้บุตรชายคนรองเข้าเมืองหลวง สองพี่น้องจะได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
ทางฝั่งนี้เกิดสถานการณ์วุ่นวาย ส่วนเหยาเยี่ยนอวี่กลับใช้ชีวิตอย่างอิสระในบ้านนา
วันนี้ทางโรงครัวตุ๋นน้ำแกงเป็ด เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้คนเอาเป็ดที่ถอนขนเสร็จมา บอกว่าจะช่วยเอากระดูกและลอกหนังออก คนในโรงครัวก็ไม่เข้าใจในสิ่งนี้ ท้ายที่สุดก็สั่งให้คนส่งเป็ดที่ล้างสะอาดมาสองตัว
เหยาเยี่ยนอวี่เรียกชุ่ยเวยและชุ่ยผิงมาตรงหน้า พร้อมเลิกแขนเสื้อล้างมือ จากนั้นก็เอามีดผ่าตัดมาพลางพูดขึ้น “พวกเจ้าสองคนดูการสาธิตจากข้า จากนั้นก็ทำเหมือนข้าหนึ่งรอบ”
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงพยักหน้าพลางรับคำ
เหยาเยี่ยนอวี่จับมีดผ่าตัดแล้วเริ่มผ่าจากน่องขาของเป็ด แล้วแล่เนื้อออกมาเป็นชิ้นๆ ด้วยความใจเย็น พอเวลาผ่านไปสองเค่อ[1] เนื้อที่มีความหนาเท่ากันถูกจัดวางไว้ในจาน และโครงกระดูกเป็ดหนึ่งตัวก็วางไว้บนเขียง
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงต่างมองอย่างตื่นตะลึง ผ่านไปสักพักก็พูดอะไรไม่ออก
เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้ามองทั้งสองคน พร้อมเอ่ยถามอย่างน่าขบขัน “มองอะไร พวกเจ้าสองคนลงมือพร้อมกัน ทำให้เป็ดตัวนั้นกลายเป็นเช่นนี้”
“อ๊า?” ชุ่ยเวยอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“ไม่ใช่หรอกกระมัง” ชุ่ยผิงตะลึงงัน
เหยาเยี่ยนอวี่วางมีดผ่าตัดในมือไว้ข้างๆ แล้วหันไปขานเรียกปั้นซย่า “ยกน้ำมาให้ข้าล้างมือที”
ปั้นซย่าและไม่ตงพลันยกน้ำและสบู่เหลวมาปรนนิบัติรับใช้เหยาเยี่ยนอวี่ล้างมือ คนหนึ่งยกกะละมัง อีกคนถือผ้าเช็ดมือและสบู่เหลวไว้ สายตาทั้งสองกลับจับจ้องโครงกระดูกเป็ด
“พอเถอะ เลิกดูได้แล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ล้างมือทุกซอกทุกมุมให้สะอาด แล้วยื่นผ้าเช็ดมือกลับไป พร้อมกล่าวขึ้น “พวกเจ้าสองคนไปฝึกผูกไหม”
ผูกไหมที่หมายถึง ก็คือผูกไหมผ่าตัดนั่นเอง
เหยาเยี่ยนอวี่เป็นศัลยแพทย์ที่เก่งกาจคนหนึ่ง นางอยากฝึกฝนให้คนข้างกายกลายเป็นผู้ช่วยที่มากฝีมือมาตั้งนานแล้ว ปั้นซย่าและไม่ตงเป็นสาวใช้ที่นางคัดเลือกมาเป็นพิเศษ ดังนั้นก็ต้องให้พวกนางได้รับการฝึนฝนงานสำคัญอยู่แล้ว
จุดเด่นที่โดดเด่นที่สุดของเหยาเยี่ยนอวี่ก็คือการไม่ปิดบังเรื่องใดไว้เป็นความลับ อีกทั้งการผ่าตัดใหญ่นั้นต้องการผู้ช่วยที่เก่งกาจคอยช่วยเหลือ นางก็ไม่อยากทำงานตามลำพัง แล้วทำให้ตนเองต้องเหนื่อยตาย
สำหรับพวกสาวใช้อย่างชุ่ยเวย การได้รับการอบรมสั่งสอนจากนายหญิง ก็ต้องตื่นเต้นดีใจเป็นเรื่องธรรมดา คนในยุคสมัยนี้ยังคงวิจัยแต่ตำรับสูตรยาลับ และคอยปรุงสูตรยาประจำตระกูล ทว่าเรื่องเหล่านี้ ผู้ที่เป็นบุตรีไม่มีสิทธิ์แตะต้อง เหยาเยี่ยนอวี่เปิดโอกาสให้พวกนางได้ฝึกฝน พวกนางจะไม่ตื้นตันใจได้อย่างไร
ดังนั้นตอนที่คุณหนูเหยาสั่งการ สาวใช้สองคนนี้พลันออกไปฝึกผูกไหมทันที
[1] เค่อ คือหน่วยบอกเวลา หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที