บทที่ 185 การกลับมาของท่านไป๋เริ่น

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ทั้งสองคนดื่มจนอิ่มท้อง

ซ่งชูอีหยิบถุงทองใบหนึ่งวางลงบนโต๊ะ ยิ้มเอ่ยน้อยๆ “ข้าคงมิได้อยู่รัฐปานาน ยังจะต้องไปดูรอบๆ นี่คิดเสียว่าเป็นของขวัญวันแต่งงานที่ข้ามอบให้เจ้า แม้จะหยาบไปบ้างทว่ามีประโยชน์”

จีเหมียนก็ไม่เสแสร้ง ยืดตัวประสานมือคำนับ “บุญคุณของหวยจินครานี้ ภายภาคหน้าหากอู้เม่ยมีโอกาสจะต้องตอบแทนแน่นอน”

“เจ้ากับหนานฉีช่วยข้าในรัฐเว่ย์ ข้าก็ต้องตอบแทนมิใช่หรือ?” ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “เดิมทีคิดแสร้งหลับหูหลับตาให้มันผ่านไปแล้ว”

“ฮ่า! เจ้าน่ะ!” จีเหมียนส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา

“เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าก็จะไม่เป็นแขกร่ำสุราน่ารังเกียจแล้ว” ซ่งชูอีเห็นว่าจี๋อวี่กับเว่ย์เจียงกลับมาแล้วก็ลุกขึ้นร่ำลา

“เมื่อใดจะได้พบกันอีก?” จีเหมียนถาม

เขายังพูดไม่ทันจบ ซ่งชูอีก็เดินออกนอกประตูใหญ่แล้ว ครั้นได้ยินดังนี้ก็โบกๆ มือโดยไม่หันกลับมามอง “มีวาสนาก็จะได้พบกัน”

เว่ย์เจียงเดินเข้าไปหาซ่งชูอี ค้อมคำนับเล็กน้อยพร้อมเอ่ย “ขอบคุณบุญคุณยิ่งใหญ่ของท่าน”

ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย ค้อมตัวเล็กน้อยคำนับกลับ “บุญคุณยิ่งใหญ่ไม่ต้องกล่าวขอบคุณ”

จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนจูงม้ามา สามคนพลิกตัวขึ้นขี่ม้า สองคนที่หน้าประตูยกมือคำนับ หวดแส้ขี่ม้าจากไป

เพิ่งจะจากไปเพียงไม่กี่สิบจั้ง จี้ฮ่วนเอ่ย “ท่าน เจ้าสัตว์ตัวนั้นยังตามมาน่ะ”

ซ่งชูอีหันกลับไปก็เห็นลูกสุนัขสีเหลืองตัวนั้นเดินตามอยู่ข้างหลังจริงๆ เมื่อครู่พวกเขาขี่ไม่ช้า ลูกสุนัขอ่อนแอตัวนี้สามารถตามทันก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว ซ่งชูอีพลิกตัวลงจากม้า อุ้มลูกสุนัขที่เหนื่อยหอบขึ้น ตะโกนหาจีเหมียนด้วยเสียงอันดัง “อู้เม่ย เพื่อช่วยเจ้าประหยัดอาหารในบ้าน ข้าจะพาสุนัขตัวนี้ไปก็แล้วกัน!”

พูดจบ ก็ไม่สนใจว่าเขาจะตอบหรือไม่ ขึ้นม้าไปทันทีแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า! คนอันธพาลอย่างเจ้าก็มีเวลาที่มองผิดเหมือนกัน นั่นมันหมาป่าภูเขาที่กำลังโตต่างหาก!” เสียงของ

จีเหมียนดังขึ้นจากด้านหลัง

ซ่งชูอีขมวดคิ้วมองสิ่งน้อยๆ ที่อยู่ในอ้อมแขน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าเป็นสุนัข จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “จีอู้เม่ย มารดาเจ้าเลวเกินไปแล้ว เลี้ยงหมาป่าให้เป็นหมาได้!”

ในทางตรงกันข้าม นางไม่ยอมรับว่าตัวเองดูไม่ออก

ม้าควบไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบรรยากาศพลบค่ำที่กลางคืนค่อยๆ ปกคลุม ยังคงสามารถได้ยินเสียงหัวเราะของจีเหมียนจากด้านหลังเลือนราง

เดินทางอยู่ประมาณสองเค่อ จี๋อวี่มองไปรอบๆ ภูเขาที่กว้างใหญ่ เอ่ยถาม “ท่าน ต่อไปพวกเราจะทำเยี่ยงไร?”

“คงทำได้เพียงค้างแรมคืนหนึ่ง” ซ่งชูอีชะลอความเร็วช้าลง ถอนหายใจเอ่ย

จี๋อวี่เงียบงัน ไม่มีที่ไปยังจะเดินทางอย่างสง่างามเพียงนั้น ในชนเผ่า แม้ว่าจะไม่พักในกระท่อมมุงจากของจีเหมียนทว่าอย่าน้อยก็ยังหาที่กำบังลมได้อยู่กระมัง?

“ท่านบอกว่าที่นี่ใกล้กับอูเฉิงมิใช่หรือ? เหตุใดจึงไม่ไปพักในเมืองเล่า?” จี้ฮ่วนถามไม่เข้าใจ

ซ่งชูอีเอ่ย “ข้าก็อยากไป ทว่าอูเฉิงไม่รับแขกในยามราตรี จอมเวทย์เหล่านั้นพิลึกพิลั่นเป็นอย่างยิ่ง ข้าไม่อยากไปกระตุ้นพวกเขา”

ในรัฐปา หากจอมเวทย์ไม่ให้ความสนใจก็นับว่าดีเหลือเกินแล้ว หากถูกจอมเวทย์เพ่งเล็งจึงจะกลายเป็นความขัดแย้งที่คลุมเครืออย่างแท้จริง อีกทั้งจอมเวทย์บางคนลึกลับยิ่ง ผู้ฟื้นคืนชีพเช่นซ่งชูอีไม่กล้าที่จะไปอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขา หากถูกเผาในฐานะแห่งความชั่วร้าย นางจะตะโกนเรียกหาใครได้

ลมภูเขายิ่งแรงขึ้นทุกที ทั้งสามคนจึงหาที่พักพิงที่สะอาดเพื่อพักผ่อน

จี้ฮ่วนไปเก็บกิ่งไม้แห้งมาได้กองหนึ่ง ตรวจสอบบริเวณโดยรอบอย่างง่ายๆ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอันตรายแล้วจึงก่อไฟ

ภายใต้แสงไฟ ซ่งชูอีคว้าลูกหมาป่าตัวนั้นขึ้นมาไว้ตรงหน้าแล้วมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ลูกหมาป่าตัวนั้นไม่ขยับเขยื้อน แม้แต่ดวงตาก็ไม่กะพริบ เหม่อมองซ่งชูอีทั้งอย่างนี้ราวกับว่ากำลังตกใจ แต่ก็ดูสงบจนขี้คร้านจะตอบสนอง

“ดูอย่างไรก็เป็นหมาชัดๆ” ซ่งชูอีมองซ้ายมองขวา อดที่จะบ่นพึมพำมิได้ “ว่ากันว่าหมาป่าภูเขามีจ่าฝูงประเภทหนึ่ง สีทองทั้งร่างกาย หรือว่าเจ้าก็คือจ่าฝูงของหมาป่าภูเขา?”

ซ่งชูอีหัวเราะฮี่ฮี่ พลิกตัวเจ้าลูกหมาป่า กดๆ ส่วนที่ยังไม่ชัดเจนส่วนนั้น “จุ๊ เป็นคุณชายนี่นา”

จี๋อวี่เพิ่งจะจับกระต่ายเจ็ดแปดตัวและไก่ภูเขากลับมา ครั้นเห็นกิริยาน่าสมเพชของซ่งชูอีดังนี้ ก็รู้สึกปวดศีรษะทันใด จากนั้นก็นั่งลงด้านข้างและจัดการกับเหยื่ออย่างเงียบๆ

ครั้นลูกหม่าป่าที่เหมือนท่อนไม้ตัวนั้นได้กลิ่นเลือดหนักหน่วงแล้วก็ขยับตัวเล็กน้อย

ซ่งชูอีเห็นดังนี้ก็ปล่อยมันลง

ลูกหมาป่าเดินเข้าใกล้จี๋อวี่อย่างหยั่งเชิง หยุดอยู่ตรงหน้าเขาครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะไล่ก็เขยิบเข้าไปข้างหน้าอีกนิด หยั่งเชิงเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็อ้าปากกัดเครื่องในสัตว์ที่วางอยู่ข้างจี๋อวี่ด้วยความกล้าหาญ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครห้ามก็เริ่มกลืนลงไปทันที ลักษณะที่ดุร้ายเช่นนั้นต่างจากตอนที่กินเนื้อแห้งโดยสิ้นเชิง

คราวนี้ซ่งชูอีเชื่อแล้วว่ามันคือหมาป่าจริงๆ อีกทั้งยังเป็นหมาป่าที่ฉลาดและกระหายเลือดเป็นอย่างยิ่ง

หมาป่าภูเขามีความเจ้าเล่ห์ ซึ่งแตกต่างจากหมาป่าหิมะมาก ทันทีที่หมาป่าหิมะรู้ว่าใครเป็นนาย ก็จะไม่มีวันจากไปตลอดกาล แต่หมาป่าภูเขาจะไปทุกที่ที่มีผลประโยชน์ พวกมันภักดีต่อราชาหมาป่าในเผ่าพันธุ์ของตัวเองเท่านั้น เช่นนั้นราชาหมาป่าจะเกิดจงรักภักดีต่อใครบ้างหรือเปล่า?

ซ่งชูอีอดรู้สึกไม่ได้ว่านางก็คือหมาป่ามาทั้งชีวิตจริงๆ

จี๋อวี่วางเนื้อสัตว์ที่ทำความสะอาดแล้วลงบนกองไฟ ไม่นานกลิ่นเนื้อหอมกรุ่นก็ลอยอบอวล ลูกหมาป่าตัวนั้นยังคงก้มหน้ากินอย่างดุเดือด

จนกระทั่งเนื้อสุกแล้ว ลูกหมาป่าก็กินอิ่มจนท้องกลมโตและกำลังทำความสะอาดใบหน้าและอุ้งเท้าอย่างสง่างาม

“หน้าตาขี้เหร่ไปหน่อย แต่ก็ยังมีความน่าเกรงขามทีเดียว” ซ่งชูอีจุ๊ปาก

จี๋อวี่ยื่นน่องกระต่ายให้ซ่งชูอี นางรับมันไว้และขณะที่กำลังจะยัดมันเข้าปากอยู่นั้นก็มีเสียงสวบๆ ดังขึ้นกะทันหันจากพุ่มไม้ จี๋อวี่อยู่อีกด้านหนึ่ง จี้ฮ่วนทิ้งเนื้อย่างชักดาบอย่างดุเดือดทว่าก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง บัดนี้เงาสีขาวได้พุ่งตัวใส่ซ่งชูอีลงไปกับพื้นปานสายฟ้าแล้ว

ซ่งชูอีรู้สึกได้ว่าสิ่งที่โผล่ออกมานี้กำลังใช้ลิ้นเปียกชื้นเลียใบหน้าของนาง รีบตะโกนขึ้นมาทันที “หยุดนะ!”

ดาบของจี้ฮ่วนอยู่ที่คอของมันแล้ว ได้ยินเช่นนี้ก็ชักกลับกะทันหัน เดินเซถอยหลังไปสองก้าวและมองเข้าไปใกล้ สิ่งที่หมอบอยู่บนพื้นกลับกลายเป็นหมาป่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่มีร่างกายยาวกว่าหนึ่งจั้ง การที่มันหมอบอยู่ตรงนั้นทำให้มองไม่เห็นซ่งชูอีโดยสิ้นเชิง

“ไป๋เริ่น!” ซ่งชูอีคำรามด้วยความโมโห พยายามดึงมือออกแล้วยัดน่องกระต่ายเข้าไปในปากของมัน “ออกไป!”

ไป๋เริ่นราวกับเข้าใจ เคี้ยวเนื้อพร้อมขยับไปข้างๆ

“เจ้านี่มันตายยากจริงๆ เมื่อวานเพิ่งกล่าวถึงวันนี้ก็โผล่มาแล้ว!” ซ่งชูอีลูบใบหน้าของมันพร้อมดุ “หากคราวหน้าเจ้าเล่นแบบนี้อีก ข้าก็ยากจะรับประกันว่าดาบนั่นจะไม่ตัดหัวหมาป่าของเจ้า!”

ไป๋เริ่นจ้องมองสายตาบึ้งตึงนั้น ส่งเสียงครางอิ๋งๆ อย่างน้อยอกน้อยใจ

“มารดาข้าเอ๋ย!” ซ่งชูอีจนใจ ยื่นมือลูบๆ หัวของมัน “โตแต่หัว สมองไม่โตด้วย!”

ซ่งชูอีดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จู่ๆ ได้พบกับไป๋เริ่น เพียงแต่มันทำให้นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าอี่โหลวอยู่ที่ใดในขณะนี้

ซ่งชูอีรู้ว่าไป๋เริ่นกินแต่เนื้อครึ่งสุกครึ่งดิบเท่านั้น จึงให้จี๋อวี่ย่างกระต่ายครึ่งสุกครึ่งดิบสองตัว นางอุ้มลูกหมาป่าขึ้นแล้ววางมันข้างไป๋เริ่น “ดูสิ พ่อหาภรรยาให้เจ้าได้แล้ว”

มือที่กำลังพัดไฟของจี๋อวี่อดที่จะสั่นไหวเล็กน้อยมิได้ ประการแรก อย่างดีที่สุดซ่งชูอีก็เป็นได้แค่ “แม่” เท่านั้น ประการที่สอง หมาป่าภูเขาตัวนี้เป็นตัวผู้ ไป๋เริ่น…ก็เป็นตัวผู้

ไป๋เริ่นหันหัวราคาแพงของมัน เหลือบตามองต่ำมายังลูกหมาป่าโดยถือว่าเป็นการไว้หน้าซ่งชูอี จากนั้นก็หันหน้าไปมองจี๋อวี่ย่างเนื้อด้วยความเด็ดขาด

“แค่ก ไป๋เริ่น เจ้าดูสิถึงแม้ว่าเขาจะหน้าตาขี้เหร่ไปหน่อย ทว่าก็น่าเกรงขามมากทีเดียวใช่ไหม แต่งภรรยาให้เจ้า หากเจ้าไม่ชอบต่อไปก็ยังมีบ้านเล็กบ้านน้อยได้” ซ่งชูอีนั่งขัดสมาธิ นางเตี้ยกว่าไป๋เริ่นถึงครึ่งหนึ่ง

บัดนี้แม้แต่จี้ฮ่วนที่รูปร่างสูงใหญ่ก็ยังเตี้ยกว่าไป๋เริ่นมาก

ซ่งชูอีฉีกเนื้อกระต่ายเข้าปาก ไม่เห็นว่าไป๋เริ่นอาศัยตอนที่นางไม่ทันสังเกต ยกขาหลังเตะลูกหมาป่าตัวน้อยออกไปไกลหนึ่งจั้ง

ลูกหมาป่าตัวนั้นลุกขึ้นมาช้าๆ เดินโงนเงนไปยังอีกด้านหนึ่งของซ่งชูอีแล้วนอนลง ขนที่เดิมทีเป็นสีเทาเข้มยิ่งสกปรกกว่าเดิม

“เอ๋ ไปทำอีท่าไหนน่ะ” ซ่งชูอีเห็นว่าเนื้อตัวของลูกหมาป่าที่นอนอยู่ข้างขานางเงียบๆ เต็มไปด้วยเศษดิน หันขวับไปมองไป๋เริ่น “เจ้ารังแกภรรยารึ?”

ไป๋เริ่นเบือนหน้าหนี ดวงตาทั้งคู่หม่นหมองน้ำตาคลอเบ้า ท่าทางไร้เดียงสาบริสุทธิ์

“ฮ่าฮ่า! เจ้าไป๋เริ่นนี่น่าสนใจจริงๆ เลียนแบบนิสัยของท่านได้สามถึงสี่ส่วน” จี้ฮ่วนหัวเราะเอ่ยเสียงดัง เมื่อครู่เขาเห็นกับตาว่าไป๋เริ่นเตะลูกหมาป่าจนตัวลอย

จริงๆ แล้วไป๋เริ่นไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา มันก็เกิดมาเป็นหมาป่าที่มีหน้าตาไร้เดียงสาโดยธรรมชาติ

“เจ้าชมมันเกินไปแล้ว มันมิได้แกล้งโง่แต่ว่าโง่จริงๆ!” ซ่งชูอีทอดถอนใจเอ่ย นางมีลางสังหรณ์ว่าชีวิตในอนาคตจะไม่สงบเสียแล้ว

ไป๋เริ่นกินกระต่ายไปสองตัว ทว่ารู้สึกเพียงเป็นขนนกลูบท้องเท่านั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีเนื้อย่างแล้วมันก็เข้าป่าไปเอง ครู่หนึ่งก็วิ่งกลับมาพร้อมกับสัตว์ตัวเล็กๆ ในปากนับสิบชนิด ทิ้งทั้งหมดตรงหน้าจี๋อวี่ มองเขาด้วยความหิวกระหาย

อาการของมันนั้นคล่องแคล่วมาก เห็นได้ชัดว่าปกติแล้วเจ้าอี่โหลวก็ตามใจมันแบบนี้

จี๋อวี่ก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมาป่าตัวนี้จะมาทำความคุ้นเคยเพียงนี้ ครั้นเผชิญหน้ากับแววตาที่จริงจัง เขาก็ทำได้เพียงทำความสะอาดสัตว์เหล่านี้ จากนั้นก็วางไว้บนกองไฟ

ไป๋เริ่นมีประสบการณ์ในการล่าสัตว์หลากหลายชนิดเป็นอย่างดี มีครั้งหนึ่งมันตะกละไปล่าวัวป่าตัวใหญ่กลับมา ผลปรากฏว่าลำพังเจ้าอี่โหลวทำความสะอาดวัวตัวนี้ก็กินเวลาไปครึ่งชั่วยามแล้ว มันร้อนใจจนหมุนตัวไปมา ดังนั้นนับตั้งแต่นั้นมาจึงจับแต่สัตว์ตัวเล็กที่จัดการได้เร็วและย่างสุกง่าย

เพียงแต่สงสารจี๋อวี่กับจี้ฮ่วน คนหนึ่งก้มหน้าย่างเนื้อ คนหนึ่งต้องตัดฟืนไม่หยุด วุ่นวายจนเกือบทั้งคืน ซ่งชูอีตื่นมาสองรอบแล้วภารกิจจึงเพิ่งจะบรรลุผล

ไป๋เริ่นกินจนอิ่มหนำแล้ว ก็โน้มตัวเข้าหาซ่งชูอีอย่างมีความสุข ยื่นกรงเล็บผลักหมาป่าตัวน้อยออกไปแล้วตัวเองก็เอนตัวลง

เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งชูอีจื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นหมาป่าตัวน้อยแล้ว จนกระทั่งกำลังจะออกเดินทางแล้วมันก็ยังไม่ปรากฏตัว

“ฮ่วน หมาป่าตัวนั้นล่ะ?” ซ่งชูอีจำได้ว่าเขาเฝ้ายามครึ่งหลังของราตรี

จี้ฮ่วนชำเลืองมองไป๋เริ่น “ถูกมันคาบไปทิ้งแล้ว”

“หา?” ซ่งชูอีเอ่ย “เจ้ารู้ว่ามันถูกทิ้งแล้วเหตุใดไม่ไปเอามันกลับมา?”

“ข้ากลัวว่าจะทำผิดต่อมัน” จี้ฮ่วนปลดบังเหียนม้าพลางเหยิดคางชี้ไปทางไป๋เริ่น เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าไม่สามารถทำผิดต่อจอมวายร้ายและไม่สามารถทำผิดต่อหมาป่าใจแคบได้เช่นกัน

“ไอ้สิ่งของเฮงซวย คงไม่ได้ฆ่ามันแล้วหรอกนะ!” ซ่งชูอีคำรามใส่ไป๋เริ่น

นางใคร่ครวญ ทั้งๆ ที่มันก็อยู่บ้านจีเหมียนดีๆ อยู่แล้ว ปรากฏว่าหลังจากตามมาวันที่สองก็ชะตาถึงฆาต นี่เป็นการดูถูกความสามารถของนางโดยตรง!

“รีบไปตามหามัน” ซ่งชูอีบอกกับจี้ฮ่วน

ทันทีที่สิ้นเสียงของนางก็เห็นลูกหมาป่าตัวนั้นออกมาจากพุ่มไม้ เดินเข้ามาที่ข้างเท้าของซ่งชูอีอย่างไม่ช้าไม่เร็ว จากนั้นก็ยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้

ซ่งชูอีกำลังจะอุ้มลูกหมาป่าขึ้นม้า ไป๋เริ่นก็ปีนขึ้นบนหลังม้าทันที ม้าเหล่านี้เชื่องมากและไม่เคยเห็นโลกภายนอกมากนัก เมื่อเห็นไป๋เริ่นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ขนาดนี้ก็ลืมแม้กระมั่งกรีดร้องและวิ่งหนีไป ทันทีที่ไป๋เริ่นกระโดเด้งขึ้นมาได้ก็ขาอ่อนล้มลงไปกับพื้นแล้ว