บทที่ 186 รีบไปที่ด่านเจียเหมิง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ไป๋เริ่นยึดมั่นอยู่กับม้าตัวนั้นราวกับกอเอี๊ยะหนังสุนัข ไม่ว่าซ่งชูอีจะคำรามเยี่ยงไรเขาก็ไม่สนใจ

จี้ฮ่วนและจี๋อวี่เฝ้ามองซ่งชูอีผู้เกรี้ยวกราดอย่างสบายใจ ในใจอดที่จะมีความรู้สึกดีต่อไป๋เริ่นมิได้ เรื่องที่สามารถทำให้ซ่งชูอีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้มีไม่มากนัก

ต่อสู้กันอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งซ่งชูอียอมแพ้และส่งหมาป่าตัวน้อยให้จี้ฮ่วนจึงจะออกเดินทางกัน

นี่เป็นฤดูกาลที่ดีสำหรับการท่องที่ยว ซ่งชูอีไม่ใคร่เข้านครในรัฐปา นอนกลางดินกินกลางทราย ทว่าอารมณ์ของซ่งชูอีไม่เลวเลยทีเดียว

ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา หมาป่าน้อยก็จะต้องถูกไป๋เริ่นคาบเอาไปทิ้ง ทว่าเจ้าตัวน้อยก็มักจะคลำหาทางกลับมาเองได้เสมอ ไร้ความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ซ่งชูอีต้องการทำให้มันดูมีเกียรติมากขึ้น จึงตั้งชื่อให้มันว่าจินเกอ (กริชขวานสีทอง) ซึ่งมีส่วนคล้ายกับชื่อของไป๋เริ่น (ใบมีดสีขาว) ทว่าเมื่อดูจากรูปการณ์ในตอนนี้แล้ว ความแตกต่างทางรูปร่างของทั้งสองนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในทันทีและจินเกอก็ยังคงถูกรังแกอยู่ร่ำไป ทว่าหลังจากผ่านการเลี้ยงดูด้วยเนื้อสดระยะหนึ่ง ขนของจินเกอที่เดิมทีเป็นสีเหลืองมืดมนราวกับดินค่อยๆ มีความมันวาว ทั้งร่างกายเปล่งประกายราวทองสำริด เผยให้เห็นความดุร้ายเลือนราง

สิ่งนี้ก็ยังยืนยันการคาดเดาของซ่งชูอีว่าจินเกอเป็นราชาเจ้าฝูงหมาป่าภูเขาจริงๆ

หมาป่าภูเขาทั่วไปเล็กกว่าหมาป่าหิมะมาก มีเพียงราชาเจ้าฝูงที่มีรูปร่างแข็งแรงสูงใหญ่ คิดว่าเมื่อเข้าสู่ระยะโตเต็มวัย จินเกอก็ไม่เล็กไปกว่าไป๋เริ่นมากนัก

อยู่ในรัฐปาเดือนหนึ่ง ซ่งชูอีกำลังเตรียมตัวไปที่นครหลวงของรัฐปาทว่ากลับได้รับจดหมายลับจากจางอี๋

ในจดหมายกลับมิได้บอกว่าเป็นเรื่องด่วนใด เพียงแต่กำชับมิให้นางอยู่ห่างจากหวังเฉิงแห่งรัฐสู่มากนัก หากไม่มีเรื่องสำคัญก็ให้รีบไปที่ด่านเจียเหมิงจะดีที่สุด

ซ่งชูอีอ่านจดหมายแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าสามวันหลังจากนี้จะรีบมุ่งหน้าไปยังด่านเจียเหมิง

ชูหลี่จี๋ในฐานะราชทูตแห่งรัฐฉินจะไม่ออกไปจากหวังเฉิงจนกว่าจื่อเฉาและของมีค่าอื่นๆ จะถูกส่งเข้ามายังรัฐสู่ ส่วนจางอี๋ไม่เหมือนกัน ในเมื่อเขาสามารถเดินไปรอบๆ ถนนได้ นั่นก็แสดงว่ายังมิได้เปิดเผยสถานะต่อรัฐสู่ ด่านเจียเหมิงเป็นจุดบุกทะลวงที่ซ่งชูอีคิดว่าดีที่สุด และต้องทำการสำรวจในสถานที่จริงจึงจะสามารถกำหนดกลยุทธ์ได้

ที่นั่นเป็นกุญแจสำคัญในการโจมตีรัฐสู่ในอนาคต จะเกิดความผิดพลาดใดๆ ไม่ได้เด็ดขาด

ก่อนที่จะออกไปจากรัฐปา ซ่งชูอีสั่งให้จี๋อวี่กระจายข่าวในวงเล็กๆ ในหลางจงนครหลวงของรัฐปาถึงเรื่องที่รัฐฉินจะส่งสาวงามและของมีค่าจำนวนมหาศาลมายังสู่อ๋อง

บัดนี้รัฐปากำลังต่อสู้กับรัฐฉู่ การกระจายข่าวคราวนี้ย่อมไปเป็นอย่างเชื่องช้า อาจไม่สามารถรับข่าวได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ทว่าเรื่องนี้มิใช่ความลับ ปาอ๋องจะรับรู้หรือไม่นั้นล้วนเป็นเรื่องของเวลา ซ่งชูอีกล่าวถึงของมีค่าที่ส่งมาให้เกินจริงเล็กน้อย เมื่อบอกเล่ากันปากต่อปาก ไม่แน่ว่าครั้นถึงหูของปาอ๋องอาจจะกลายเป็นคลังสมบัติก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นต่อให้เขาได้รับข่าวที่เป็นความจริง ก็จะต้องสงสัยไม่มากก็น้อยว่าสู่อ๋องจงใจปกปิดมัน

เมื่อดำเนินการเรื่องนี้จบ พวกเขาก็ออกไปจากหลางจงทันที มุ่งหน้าไปยังด่านเจียเหมิงโดยไม่หยุดพัก

ไป๋เริ่นรับรู้ได้ถึงความขึงขังของซ่งชูอี จึงสงบเสงี่ยมไปหลายวัน สุดท้ายก็มิได้คาบจินเกอไปทิ้งอีก

ซ่งชูอีเก็บรวบรวมข่าวสารมากมายระหว่างทาง จึงได้รู้ว่าพวกเขาได้เริ่มสร้างถนนไม้กระดานที่ด่านเจียเหมิงแล้ว สู่อ๋องพาเหล่าหญิงงามออกไปเที่ยว คาดว่าอีกห้าเดือนจึงจะกลับหวังเฉิง สาวชาวเยวี่ยสองนางนั้นทำให้สู่อ๋องหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น ทะนุถนอมสุดใจ จนสาวงามสี่นางจากรัฐฉินกลายเป็นเพียงเครื่องประดับ จะว่าไปแล้ว สาวชาวเยวี่ยสองนางก็มิได้มีหน้าตางดงามดุจซีซือหรือเจิ้งต้าน ทว่าครั้นสู่อ๋องเห็นท่าทางที่อ่อนแอของพวกนาง ได้ยินเสียงออดอ้อนที่นุ่มนวลของพวกนางแล้ว แม้ว่าจะไม่เข้าใจภาษาเยวี่ย ทว่าเสียงอ่อนโยนนั้นชวนให้รู้สึกอ่อนระทวยจริงๆ

ส่วนจื่อเฉาไม่ใช่ทั้งสาวชาวฉินหรือสาวชาวเยวี่ย ทว่ามาจากรัฐเว่ย์ สู่อ๋องยังไม่เคยเห็นว่าสตรีของรัฐเว่ย์มีลักษณะเยี่ยงไร ยิ่งไปกว่านั้นว่ากันว่าหญิงงามเหล่านี้ยังเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นผมเส้นหนึ่งของจื่อเฉาด้วยซ้ำ

ระยะนี้สู่อ๋องอารมณ์ดียิ่ง ดังนั้นรัฐสู่ก็สงบสุขอย่างทั่วถึงเช่นกัน

สำหรับรัฐสู่แล้ว ฤดูการไถพรวนนับเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ท่ามกลางเสียงของนกกาเหว่าที่ร้องไห้เป็นสายเลือด บรรดาขุนนางส่วนใหญ่ต่างยุ่งอยู่กับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการไถนาและประชาชนก็เริ่มทำงานในไร่นาแล้ว

ทั่งทั้งรัฐมีเพียงสู่อ๋องผู้เดียวที่ว่างงาน

ซ่งชูอีก็อดทอดถอนใจมิได้ เป็นองค์จวินเหมือนกันทว่าช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน! อิ๋งซื่องานยุ่งทั้งวัน แม้แต่เวลานอนก็น้อยจนน่าสงสาร แต่ดูสู่อ๋องแล้วช่างเข้าใจเพลิดเพลินกับชีวิตเสียจริง!

ด่านเจียเหมิงที่ซ่งชูอีต้องการจะไปในคราวนี้ ที่จริงแล้วอยู่ในรัฐจู สู่อ๋ององค์ที่ห้าแต่งตั้งพระอนุชาของตนเป็นจูโหวอยู่ที่ฮั่นจง จูโหวองค์นี้มีนามว่าเจียเหมิงด่านเจียเหมิงจึงได้ชื่อมาด้วยเหตุนี้ มันอยู๋ในจุดที่แม่น้ำเจียหลิงและแม่น้ำไป๋หลงมาบรรจบกัน ถนนด้านบนนำไปสู่ฮั่นจง ด้านล่างนำไปยังหวังเฉิงในรัฐสู่ ล่องไปตามแม่น้ำเจียหลิงก็สามารถไปถึงหลางจงในรัฐปาได้ นี่เป็นช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับฉินในการเข้ามาที่ปาสู่ ความสำคัญของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมันนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน

ซ่งชูอีและคนอื่นๆ ยืนอยู่บนไหล่เขาไม่ไกลจากด่านเจียเหมิง สามารถมองเห็นหอคอยเตี้ยๆ ที่ตั้งอยู่บนกำแพงดินอย่างคลุมเครือ ด่านนี้ดูแล้วก็มิได้สง่างามนัก ทว่าหากทอดสายตามองออกไปไกล เทือกเขาสลับซับซ้อน หน้าผาสูงชัน ป่าไม้และทะเลทั้งด้านหน้าและด้านหลังด่านได้รวมตัวกันเป็นประตูทางธรรมชาติอันงดงามอลังการ เส้นทางคดเคี้ยวและสูงชันที่วกวนไปตามภูเขาปรากฏตัวขึ้นเลือนรางท่ามกลางเงาของยอดไม้หนาทึบไปจนถึงประตูเมือง หอคอยแห่งนี้ถูกสร้างแยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยว และด้วยอุปสรรคทางธรรมชาติโดยรอบเป็นยื่นขยายทำให้เกิดความรู้สึกความน่าเกรงขามที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้

“ยอดเขาติดต่อกับอวี้เหล่ย พื้นดินติดต่อกับจิ่นเฉิง ทางเจี้ยนเก๋อมีเจียเหมิง นอนอยู่บนหมอนน้ำสีขาวแห่งเจียหลิง เป็นความยิ่งใหญ่ที่สรวงสวรรค์จัดสรรมาอย่างแท้จริง!” ซ่งชูอีมาที่นี่มากกว่าหนึ่งครั้ง ทุกครั้งก็อดที่จะร้องอุทานมิได้

มองจากตรงนี้แล้ว จี๋อวี่ก็รู้สึกถึงความสำคัญที่ด่านเจียเหมิงมีต่อปาสู่ ก็เหมือนกับด่านหานกู่ที่มีต่อรัฐฉิน

“หาที่พักก่อนเถิด” ซ่งชูอีพาไป๋เริ่นกับจินเกอลงเขาไปด้วยกัน

ทันทีที่ถึงตีนเขาก็เห็นคนขี่ม้าสองคนเข้ามา ซ่งชูอีรีบพาหมาป่าทั้งสองไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าม้าสองตัวนั้นค่อยๆ ชะลอความเร็วลง

จนกระทั่งห่างออกไปร้อยจั้ง ซ่งชูอีจึงเห็นว่าหนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มวัยกลางคนซือหม่าชั่ว

ม้าที่ซือหม่าชั่วขี่มีความตื่นตัวเป็นอย่างมาก ครั้นรู้สึกได้ถึงลมหายใจของหมาป่าก็หมุนตัวกลับแต่ไกล เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเดินไปข้างหน้า ม้าศึกในสนามรบมีเพียงเหตุผลที่จะต้องพุ่งไปข้างหน้าเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะตกใจกลัว ทว่าไป๋เริ่นกับจินเกออ้าปากน้ำลายย้อยใส่มัน จึงยากที่จะไม่ตื่นตระหนก

ซ่งชูอียื่นมือตบหมาป่าแต่ละตัว “นิ่งไว้!”

ซือหม่าชั่วจนปัญญา ได้แต่พลิกตัวลงมาจากม้าแล้วเดินเข้ามา

“ท่าน” ซือหม่าชั่วประสานมือคำนับ เหลือบมองหมาป่าตัวน้อยใหญ่ รู้สึกอัศจรรย์ใจ “นี่คือ?”

ซ่งชูอีคำนับกลับ “นี่เป็นสัตว์เลี้ยงที่ข้าเลี้ยงเอาไว้ ไป๋เริ่น จินเกอ พี่จางเล่า?”

“จางจื่อพบม้าแข็งแกร่งตัวหนึ่งในบริเวณใกล้ๆ จึงไปฝึกมันแล้ว” ซือหม่าชั่วกล่าว

“เขาคงไม่ได้เรียกข้าให้มาดูม้าดอกกระมัง!” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย

ซือหม่าชั่วหัวเราะเสียงดัง “จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ฝ่าบาทเรียกจางจื่อกลับมา เรื่องนี้จะปล่อยให้ท่านจัดการเองทั้งหมด ข้าเพียงช่วยเหลืออยู่ข้างๆ”

“ตรงนั้นมีขุนนางใหญ่กับท่านกุนซือซีโส่วแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดจึงต้องตามพี่จางกลับไป?” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

“ได้รับจดหมายลับว่ารัฐหานเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายกำลังพล วางแผนโจมตีฉิน ทางนั้นสงครามระหว่างฉินเว่ยยังไม่คลี่คลาย ต้าฉินกำลังเผชิญกับภัยพิบัติ” ซือหม่าชั่วกงวัลใจเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าข้อเสนอของซ่งชูอีในการยึดครองปาสู่นั้นตรงประเด็นจริงๆ อย่างไรก็ตามหากทั้งสองรัฐโจมตี แม้ว่าฉินจะสามารถต้านทานได้ ก็กลัวว่าจะไม่มีกำลังเหลือในการโจมตีปาสู่แล้ว

นับว่าเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ! ซ่งชูอีเอ่ย “ท่านไปหาพี่จางเถิด”

ซ่งชูอีหมุนตัวมาทว่ากลับไม่เห็นไป๋เริ่นและจินเกอแล้ว จึงรีบหันมองไปยังม้าที่ซือหม่าชั่วขี่มาก็เห็นเจ้าสองตัวนั่นเดินไปรอบๆ ม้าตามคาด ม้าสองตัวนั้นต่างผ่านสงครามมานับร้อย กล้ามเนื้อแน่นตึง ร่างกายแข็งแรง อ้วนผอมกำลังดี เทียบไม่ได้กับม้าธรรมดาทั่วไป ทำให้เจ้าสองตัวนั่นร้อนใจแทบแย่ โดยเฉพาะจินเกอที่น้ำลายแทบจะย้อยลงมาถึงพื้น

“เย้าเล่น เย้าเล่น” ซ่งชูอีหัวเราะแห้งๆ กับซือหม่าชั่วสองที

พวกเขาขึ้นม้าไป ไป๋เริ่นตามก้นม้าของซือหม่าชั่วไปอย่างมีความสุข คาดไม่ถึงว่าปลายทางของการเดินทางนี้คือสนามม้า มันลุกลี้ลุกลนอยู่บนพื้นที่ว่างอย่างตื่นเต้นจนเสียการควบคุม และลืมแม้กระทั่งเรื่องสำคัญเช่นการรังแกจินเกอไปแล้ว ส่วนจินเกอกำลังตื่นตกใจกับ “อาหารเนื้อ” จำนวนมากมาย จ้องมองไปที่ลูกม้าที่สดและนุ่มนิ่มอย่างไม่วางตา

“เจ้าสองตัวนี้ยังไม่เคยเห็นโลกภายนอก!” ซ่งชูอีกุมหน้าผาก ตัดสินใจที่จะถอนคำประเมินที่มีต่อจินเกอ ที่จริงมันไม่เพียงรูปไม่งามเท่านั้น ทว่าไร้ความน่าเกรงขามอีกด้วย

“หวยจิน!” จางอี๋เดินออกมาจากสนามฝึกม้า เนื้อตัวเปื้อนโคลน ท่าทางสะบักสะบอมเป็นอย่างยิ่ง

“พี่จาง ท่านโดนม้ารังแกหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ยแซว

จางอี๋กำลังจะตอบก็เห็นไป๋เริ่นกับจินเกอ อุทานด้วยความประหลาดใจ “ที่แท้เจ้าก็เป็นคนฝึกหมาป่าตัวนี้!”

มันเป็นไปไม่ได้ที่จางอี๋จะเคยเห็นจินเกอ ตัวที่เขาพูดจะต้องเป็นไป๋เริ่นอย่างแน่นอน ซ่งชูอีเอ่ย “พี่จางเคยเห็นไป๋เริ่นหรือ?”

“ไป๋เริ่น ชื่อดี! เหมาะสม! ข้าเคยเห็นมันนอกเสียนหยางคราวหนึ่ง ร่างกายขาวผ่องดุจหิมะ น่าเกรงขามไม่สามัญ เข้ากับมนุษย์ได้ดี สง่างามจริงๆ” จางอี๋เอ่ยชม

ซ่งชูอีโบกมือให้กับไป๋เริ่นที่กำลังคลุ้มคลั่ง

ไป๋เริ่นพุ่งเข้ามาราวกับสายลมบ้าคลั่งที่พัดเอาฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ทั้งสองอดไม่ไหวต้องใช้แขนเสื้อปิดปากและจมูก

จนกระทั่งอากาศสะอาดขึ้นมาเล็กน้อย ซ่งชูอีจึงกล่าวขึ้น “ไป๋เริ่น นี่คือลุงจางของเจ้า”

“แค่ก!” จางอี๋เพิ่งจะลดแขนเสื้อลงก็ต้องสำลักเพราะคำพูดนี้ของซ่งชูอี รีบโบกมือเอ่ย “มิบังอาจ มิบังอาจ”

“จินเกอ” ซ่งชูอีโบกมือให้มันเช่นกัน

เพราะว่านางใช้มือป้อนเนื้อให้เป็นประจำ จินเกอเห็นแล้วก็วิ่งเข้าใจด้วยความตื่นเต้น

“นี่คือจินเกอ ยังเป็นเด็กอยู่” ซ่งชูอีโยนเนื้อแห้งให้หมาป่าทั้งสองตัว

“จุ๊จุ๊ หมาป่าสองตัวนี้ของเจ้าช่างดีเหลือเกิน ข้าตัดสินใจแล้ว ม้าตัวนั้นของข้าชื่อชิงเหมา” จางอี๋เอ่ย

ซ่งชูเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าจึงคิดอยากฝึกม้า?”

“ป้องกันตัว!” จางอี๋ยิ้มเอ่ย “คนที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่มัดอย่างพวกเรา ก็ต้องคิดหาวิธีป้องกันตัวเอง! ตั้งแต่ข้าออกมาจากรัฐฉู่ก็ตามหาม้าชั้นดีมาโดยตลอด หากเจอเรื่องอะไรก็สามารถหนีได้เร็วหน่อย สัตว์ดุร้ายแต่เข้ากับมนุษย์ได้ดีเช่นไป๋เริ่นและจินเกอต้องพึ่งวาสนา การหาม้าดีๆ สักตัวง่ายกว่ามาก”

จริงตามนั้น สัตว์เช่นหมาป่ายากที่จะฝึกฝนจนเชื่องนอกเสียจากว่ามันเต็มใจที่จะติดตามเจ้านายเอง เช่นหมาป่าหิมะและหมาป่าราชาจ่าฝูง เกรงว่าไปบุกโพรงหมาป่าหลายแห่งก็ไม่อาจเจอเช่นนี้

“ข้ายกจินเกอให้ท่านเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

“นี่…ไม่ค่อยดีกระมัง สุภาพชนไม่แย่งของรักของคนอื่น” แม้ว่าจางอี๋จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าแววตากลับมองสำรวจจินเกออย่างถี่ถ้วน

“ไม่ใช่ภรรยาข้าเสียหน่อย ของรักของไม่รักอะไรกัน!” ซ่งชูอีเอ่ย “เช่นนั้นก็ตามนี้ ท่านกล่าวธุระมาเถิด”

จางอี๋หัวเราะหึหึพร้อมเอ่ย “เช่นนั้นก็ขอบคุณหวยจินแล้ว”

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องด้วยกัน ไป๋เริ่นนอนเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างรับผิดชอบและขยันขันแข็ง ซ่งชูอีรู้สึกตื้นตันเล็กน้อย นางฝึกให้มันเฝ้าประตูตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ลืม จินเกอเห็นว่าไป๋เริ่นไม่ได้เข้าห้องไป ก็หมอบลงห่างจากมัน

จางอี๋เช็ดๆ มือ แล้วรินน้ำชาให้ซ่งชูอี

ครั้นนั่งลงแล้ว จางอี๋ก็เข้าประเด็นสำคัญทันที “คิดว่าหวยจินคงรู้ถึงเหตุและผลแล้ว ข้ารู้สึกว่าการโจมตีของสองรัฐ รัฐฉินยากที่จะมีกำลังเหลือในการยึดครองปาสู่ สู้ฉวยโอกาสนี้นำหานเข้าสู่ราชวงศ์โจว ให้เทียนจื่อแต่งตั้งจูโหวเป็นจักรพรรดิใต้หล้า เจ้าเห็นเยี่ยงไร?”