บทที่ 187 ความภาคภูมิใจที่ซ่อนเร้น

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“ความหมายของพี่จางก็คือ ปล่อยปาสู่ไป?” ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย

หากมีความเคลื่อนไหวเช่นนี้ ด้านปาสู่จะต้องระแวดระวังฉินอย่างแน่นอน และเกือบจะเทียบเท่าการยอมแพ้ในการโจมตีปาสู่

จางอี๋พยักหน้า “ถูกต้อง ต้าฉินเป็นมหาอำนาจ ความสนใจอยู่ที่จงหยวน หากผนวกรัฐต่างๆ ได้ จะกังวลปาสู่ไปใย?”

ซ่งชูอีดื่มน้ำสองสามคำช้าๆ มิได้รีบพูดต่อ

จางอี๋เห็นดังนี้ก็เอ่ยถาม “หวยจินไม่เห็นด้วยหรือ?”

“พี่จาง ข้ากับพี่มาจากต่างสำนัก รูปแบบการทำงานย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา ทว่าเป้าหมายของพวกเราเหมือนกันซึ่งก็คือการรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว พี่จางเห็นว่าเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง มองไปยังจางอี๋

“ถูกต้อง” นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่จางอี๋ไม่จดทะเบียนซ่งชูอีเป็นคู่แข่งในขณะนี้

“แม้ว่าจุดแข็งของเจ็ดมหานครรัฐจะมีความเหลื่อมล้ำกันมากแต่ช่องว่างโดยรวมก็ไม่มาก ด้วยพลังของรัฐฉินในตอนนี้สามารถต่อสู้หกต่อหนึ่งได้หรือ?” ซ่งชูอีนิ่งไปก่อนเอ่ยต่อ “ที่พี่จางพูด แน่นอนว่าการบังคับให้เทียนจื่อแต่งตั้งจูโหวเป็นจักรพรรดิยึดครองใต้หล้าเป็นวิธีที่ดี ทว่าหวยจินปรารถนาจะได้ยินวิธียึดครองในระยะยาวมากกว่า”

ความหมายของซ่งชูอีก็คือ การโค่นล้มรัฐหานบุกเข้าราชวงศ์โจว เพื่อวางแผนขึ้นเป็นจักรพรรดิและยึดครองใต้หล้านั้นมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน อีกทั้งรัฐฉินก็มีความสามารถนี้ ทว่าหลังจากยึดครองแล้วเล่า? รัฐฉินก็จะกลายเป็นหนามยอกอกในสายตาของรัฐอื่นๆ ในซานตง หากพวกเขารวมตัวกันต่อต้านรัฐฉิน ฝ่ายใดจะแพ้ฝ่ายใดจะชนะ?

“ข้าเป็นนักการทูต ต้องอาศัยปาก นักการทูตเชื่อว่าบ้านเมืองสามารถรุ่งเรืองและล่มจมได้ด้วยคำพูดเดียว” จางอี๋กล่าว

“ฮ่าฮ่า!” ซ่งชูอีตบหน้าตักหน้าหัวเราะ “ทัศนคติของพี่ชายน่าชื่นชมจริงๆ”

บัณฑิตมีบุคลิกแข็งแกร่งของบัณฑิต นักยุทธศาสตร์มีความภาคภูมิใจของนักยุทธศาสตร์ ความภาคภูมิใจนี้สนับสนุนให้พวกเขามีจิตวิญญาณในการหงายฝ่ามือเป็นก้อนเมฆและพลิกฝ่ามือเป็นน้ำฝนได้

“การเดิมพันครั้งใหญ่นี้สามารถชนะได้กี่ส่วน?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ยน้อยๆ “ข้าไร้ความภาคภูมิใจนี้ ทว่าเชื่อในการเดินหนึ่งก้าวคิดสามก้าว ทุกย่างก้าวคือการดำเนินงาน”

“ข้ายินดีที่จะรับฟังรายละเอียดเพิ่มเติม” จางอี๋เป็นคนมีความมั่นใจก็อีกเรื่องหนึ่ง ทว่าไม่เคยหักโหมเลย แม้ว่าแววตาเปี่ยมไปด้วยความคลั่งไคล้แต่ในใจของเขาสงบนิ่งอยู่เสมอ

ซ่งชูอีเอ่ย “บังคับเทียนจื่อแต่งตั้งจูโหว พี่ชายทราบหรือไม่ว่าบัดนี้โจวเทียนจื่อมีเพียงนามทว่าไร้ประโยชน์? ผลประโยชน์ที่เป็นชิ้นเป็นอันจากการควบคุมเทียนจื่อนั้นมีน้อยมาก ขั้นต่อไปหลังจากที่ได้เป็นองค์จักรพรรดิแล้วคือการยึดครองใต้หล้า หกรัฐแห่งซานตงมองว่ารัฐฉินเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนมาโดยตลอด หากรัฐฉินไม่มีความแข็งแกร่งที่จะเอาชนะทั้งหกรัฐได้ ภายภาคหน้าย่อมไม่มั่นคงแน่”

เมื่อเห็นว่าจางอี๋จมอยู่ในความคิด ซ่งชูอีหยุดเพียงครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “เทียนจื่อก็อยู่ตรงนั้น หากคิดจะควบคุมก็เพียงหาเหตุจุดชนวนสงครามระหว่างหานฉินก็เพียงพอแล้ว ข้าเชื่อว่าเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดคือการสร้างเสริมกำลังของรัฐ และการยึดครองปาสู่จูอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นวิธีเสริมสร้างความแข็งแกร่งของรัฐที่รวดเร็วที่สุด อีกทั้งทางน้ำของรัฐสู่ยังนำไปสู่รัฐฉู่โดยตรง การสำรวจรัฐฉู่ก็อยู่ใกล้เพียงเอื้อม!”

รัฐฉู่เป็นรัฐใหญ่และไร้คู่แข่งมาโดยตลอด แม้ว่าบัดนี้กองกำลังของรัฐจะไม่เข้มแข็งดังเก่า แต่มันก็ยังเป็นรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดารัฐต่างๆ หากสามารถผนวกปาสู่แล้วโค่นรัฐฉู่ได้ เช่นนั้นการเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าก็มิได้อยู่เพียงเอื้อมหรอกหรือ!

จู่ๆ จางอี๋สะบัดแขนเสื้อ ค้อมคำนับต่ำให้ซ่งชูอี “วาจาของหวยจินปลุกคนให้ตื่นจากความฝัน อี๋ขอขอบคุณ”

ซ่งชูอียืดตัวตรงคำนับกลับ

จางอี๋จิ๊ปากเอ่ย “ยังจะบอกว่าไร้ความภาคภูมิใจ คิดถึงคำพูดเมื่อครู่แล้ว หวยจินถากถางข้าเช่นนั้นหรือ!”

ความภาคภูมิใจของซ่งชูอีถูกยับยั้งอยู่ภายใน ไม่แหลมคมทว่าน่าประหลาดใจ

“ข้าเห็นว่าท่านไม่เพียงเจ้าคิดเจ้าแค้น ยังชอบพลิกบัญชีเก่าด้วย” ซ่งชูอีกล่าวดูแคลน

“ฮาฮา ไม่พลิกไม่พลิก มีเพียงบุญคุณเก่าจะมีความแค้นเก่าที่ไหนกัน?” จางอี๋หัวเราะเสียงดัง

วาจาทำลายน้ำใจคนได้ ความเมตตาจะค่อยๆ กลายเป็นอดีต แต่ตราบใดที่สามารถจดจำความเกลียดชังได้ย่อมไม่แบ่งแยกระหว่างเก่าใหม่

“มา ดื่มชาแทนสุรา แสดงความยินดีให้กับพี่จาง!” ซ่งชูอียกถ้วยชาขึ้น

จางอี๋หัวเราะรับทราบ “เช่นกัน!”

การบุกรุกดินแดนของรัฐหานในขณะนี้อาจเป็นสิ่งที่ดีสำคัญจางอี๋ กงซุนเหยี่ยนเอาชนะรัฐเว่ยได้ สร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ฉินกงให้ความสำคัญดุจของล้ำค่า หากจางอี๋สามารถถอยออกจากรัฐหานได้โดยไม่ต้องนองเลือดก็จะมีเงื่อนไขที่จะแข่งขันกับกงซุนเหยียนได้

และสาเหตุที่จางอี๋ยินดีกับซ่งชูอีก็เป็นเพราะเหตุผลเดียวกัน หากโค่นปาสู่ได้ก็นับเป็นความสำเร็จที่ไม่สามัญอย่างแท้จริง สำหรับรัฐฉินแล้ว ซ่งชูอีก็เป็นหนึ่งในผู้วางหลักฐานอันสำคัญเช่นเดียวกับซางจวิน

จางอี๋ไม่อิจฉาเพราะเรื่องนี้เลย ในเมื่อซ่งชูอีเต็มใจที่จะเป็นผู้วางหลักฐาน เขาก็จะเหยียบฐานหินทีละก้อนเพื่อก้าวขึ้นไปข้างบนและกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จผู้นั้น อย่างไรก็ดีก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเป็นเพียงหินฐานอีกก้อนหนึ่งเท่านั้น ในอนาคตอาจจะมีใครบางคนใช้บันไดที่เขาสร้างขึ้นเพื่อไปสู่ความสำเร็จ

ผู้ที่มีความสามารถและมีความมั่นใจจะไม่มีวันเสียเวลาไปกับการข่มผู้อื่น จางอี๋ก็เป็นคนเช่นนี้

หลังจากทั้งสองบรรลุฉันทามติเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของรัฐฉินแล้วก็ส่งคนไปเชิญท่านแม่ทัพซือหม่าชั่วเพื่อส่งมอบและหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องของปาสู่

ซ่งชูอีออกมาจากรัฐฉินในนามแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถพบปะพูดคุยกับซือหม่าชั่วได้บ่อยนัก ดังนั้นจึงปล่อยให้เขาตัดสินใจเองทั้งหมด และค่อยมาหารือกับซ่งชูอีเมื่อพบการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

แม้ว่าซือหม่าชั่วจะเป็นนายทหารทว่าความสามารถในการวางแผนก็มิได้อ่อนด้อย อีกทั้งยังมีวิสัยทัศน์กว้างไกล การที่อิ๋งซื่อมีราชโองการให้เขาช่วยเหลือชูหลี่จี๋ ประเด็นสำคัญเพราะกลัวว่าจะจุดความสงสัยของรัฐสู่

เช้าวันรุ่งขึ้น จางอี๋ออกเดินทางไปยังรัฐสู่พร้อมกับขบวนรถในสนามม้าและพาจินเกอไปด้วยแล้ว

ไป๋เริ่นมีความสุขตลอดเวลาจนควมคุมอารมณ์ไม่ได้เป็นเวลาครึ่งเดือน มันวุ่นวายเสียจนซ่งชูอีเก็บไปฝันทุกคืนว่าอยากจะตบให้มันสลบไป

จนกระทั่งกลางเดือนห้า ในรัฐสู่ค่อนข้างร้อน

ในที่สุดสู่อ๋องก็กลับมาจากการไปเที่ยวแล้วและเริ่มสนใจในหญิงงามเหล่านั้นลดลง ชูหลี่จี๋จึงหยิบหนังสือไผ่ขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับรัฐฉินให้เขาฟัง

ใจความคร่าวๆ ในจดหมายคือ: กระหม่อมได้ยินมาว่าระยะหลังนี้ฉินกงได้ของล้ำค่ามาอย่างหนึ่ง มันคือวัวขนาดใหญ่ วัวตัวนี้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่ากลืนอะไรเข้าไปก็จะอุจจาระออกมาเป็นทองคำ กระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาทโกรธมากที่กระหม่อมปิดบังสถานะเอาไว้ ตอนนั้นกระหม่อมก็ไร้ทางเลือก ขอให้ฝ่าบาททรงพระทานอภัย หากฝ่าบาทมีความสนใจต่อของล้ำค่าสิ่งนี้ กระหม่อมก็จะหาวิธีเกลี้ยกล่อมฉินกงให้มอบมันให้พระองค์

น้ำเสียงจริงใจ ท่าทางสุภาพ อีกทั้งยังกล่าวถึงเรื่องน่าขายหน้าที่สู่อ๋องอิจฉาว่าเขาหน้าตาดีว่าเป็นเพราะตนปิดบังสถานะ

หลังจากสู่อ๋องอ่านแล้วก็รู้สึกปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ดินแดนปาสู่เชื่อในเทพเจ้าอย่างมาก ครั้นสู่อ๋องได้ยินว่ามีวัวที่อุจจาระออกมาเป็นทองได้ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา ต้องการที่จะสืบหาความจริง ดังนั้นจึงรีบสั่งให้คนส่งคำตอบกลับไป บอกว่าหากฉินกงมีวัวเช่นนี้มอบให้เขาจริงๆ เขาก็จะไม่เอาความเรื่องเก่า

หลังจากผ่านไปสองเดือน ชูหลี่จี๋ก็ไปเกลี้ยกล่อมฉินกงจริงๆ

สู่อ๋องยุ่งตลอดทั้งสองเดือนนี้ สั่งให้คนสืบความจริงของเรื่องนี้โดยละเอียด ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลลัพธ์เลยเพราะว่ารัฐฉินมีวัวเช่นนี้จริงๆ สู่อ๋องจึงยอมรับมันอย่างมีความสุขแล้ว

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือน องค์รัชทายาทก็ให้คนกลับมาที่หวังเฉิง เขากล่าวว่าได้ส่งคนไปดูที่รัฐฉินแล้ว ปรากฏว่ามีวัวที่ถ่ายอุจจาระออกมาเป็นทองได้จริงๆ ทว่าวัวตัวนั้นใหญ่มาก หากคิดจะนำเข้ามา ต้องต่อเติมถนนไม้กระดานอีกหนึ่งจั้งจึงจะปลอดภัย

สู่อ๋องพิจารณาหลายรอบ คิดว่าต่อเติมอีกหนึ่งจั้งก็มิได้กว้างเท่าไร ในกรณีที่ทหารฉินรุกเข้ามาก็มิใช่เรื่องยากที่จะรื้อถอน ดังนั้นจึงขี้คร้านที่จะหารือกับเหล่าขุนนาง อีกทั้งรู้สึกว่าองค์รัชทายาทต้องหาประสบการณ์เสียบ้างจึงสั่งให้เขาจัดการเองตามความเหมาะสมทันที

ซ่งชูอีใช้ประโยชน์จากเวลานี้ท่องเที่ยวไปทั่วจนกระทั่งมาถึงด่านเจียเหมิง องค์รัชทายาทแห่งรัฐสู่ได้ยินว่าหวยจินแห่งสำนักเต๋าอยู่ที่นี่จึงหาเวลาว่างมาพบนาง

ครั้นเห็นเด็กหนุ่มหน้ากลมๆ ที่นั่งอยู่บนที่นั่งแล้ว ซ่งชูอีหลุบตาลงดื่มชาคำหนึ่ง คิดในใจ ‘ตาอ้วนเอ๋ย เดิมทีข้าไม่คิดที่จะเล่นกับเจ้า ในเมื่อเจ้ารนหาที่เอง เช่นนี้เจ้าก็ต้องมีส่วนร่วมบ้างถึงจะถูก’