หลังจากฆ่าหวังเจวียไปแล้วเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานใช้เนตรเทวะมองดูจนทั่วคฤหาสน์อีกรอบหนึ่งเพื่อดูว่ามีใครเหลือรอดอยู่อีกรึเปล่า

ในเมื่อความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ยังไม่มากพอที่จะเผชิญหน้ากับคนได้ทั้งโลกเขาจึงต้องทำให้แน่ใจก่อนกว่าเขาจะไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้ให้พวกตำรวจหรือรัฐบาลจับได้ในความผิดอาชญากรรมครั้งใหญ่นี้ที่เขาฆ่าคนไปหลายสิบ…

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เมื่อไม่เห็นว่ามีใครเหลือรอดอีกและฮาร์ดดิสก์ที่เก็บข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งหมดถูกทำลายจนครบถ้วน เขาก็รีบหนีไปก่อนเพื่อไม่ให้เรื่องราวมันบานปลาย

เขารีบออกจากสถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ที่เกี่ยวกับตัวเขาเอาไว้เลย

เมื่อถึงเวลาราว 5 ทุ่ม อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถกลับไปถึงคอนโด

ไฟในห้องยังคงเปิดสว่างอยู่…

“พี่เขย พี่กลับมาแล้ว! ว๊าย! เกิดอะไรขึ้นกับพี่!?”

หลี่หรงซึ่งกำลังนั่งรออวี้ฮ่าวหรานอยู่ที่โซฟาอย่างใจจดใจจ่อเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเธอก็รีบวิ่งมาดูทันทีแต่นั่นทำให้เธอได้เห็นสภาพของอวี้ฮ่าวหรานที่เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเต็มไปหมด

“พี่เขย!? พี่ไปทำอะไรมา? พี่เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า?”

หลี่หรงเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“พี่ไม่เป็นอะไร ทั้งหมดนี่เป็นเลือดของคนอื่น”

อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง การสังหารหมู่ที่ผ่านมาไม่ได้มีผลอะไรกับเขามากนักนอกจากการที่เขาได้ระบายความแค้น…

หลี่หรงเมื่อได้ยินแบบนี้เธอนึกขึ้นได้ทันทีว่าอวี้ฮ่าวหรานจะต้องออกไปแก้แค้นคนที่ชื่อหวังเจวียแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อมีหลักฐานเป็นคราบเลือดติดอยู่เต็มร่างแบบนี้

“พี่รีบไปอาบน้ำล้างตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ฉันจะได้รีบเอาเสื้อผ้าของพี่ชุดนี้ไปเผา”

ถึงแม้ว่าการออกไปแก้แค้นแบบนี้มันจะเป็นการทำผิดกฎหมายแต่หลี่หรงไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด ต่อให้อวี้ฮ่าวหรานจะกลายเป็นอะไรก็ตาม เธอก็ยังเต็มใจที่จะอยู่เคียงข้างเขาคอยปกปิดความลับให้เขา อย่างเช่นการที่เธออยากจะรีบเอาเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดพวกนี้ไปเผาทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานกลับดูเหมือนไม่ได้สนใจคำพูดของเธอสักเท่าไหร่ เขาตอบกลับอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องรอพี่หรอก เสื้อผ้าที่ติดคราบเลือดพวกนี้พี่จะจัดการมันเอง เธอไปเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้เธอยังต้องไปทำงานแต่เช้า”

ในเวลานี้ เขายังคงรู้สึกอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่จากเหตุการณ์ ‘หลี่เม่ยตัวปลอม’ ดังนั้นเขาจึงอยากจะใช้เวลาอยู่คนเดียวอย่างเงียบ ๆ สักพัก

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปในห้องของเขาเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

เช้าวันถัดมา

ระหว่างทางขับรถไปบริษัท ผู้จัดการหวังโทรเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหราน

“ท่านประธานอวี้! ท่านใกล้จะถึงบริษัทแล้วหรือยัง? ตอนนี้ที่บริษัทของเรามีใครบางคนมาสร้างปัญหา เขามาพร้อมกับบอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่ เขาบอกว่าเขาจะไม่ยอมกลับไปหากท่านไม่มาคุยกับเขา!”

“เข้าใจแล้ว อีกเดี๋ยวฉันจะไปถึง”

เมื่อได้ยินว่ามีคนมาสร้างปัญหาที่บริษัท อวี้ฮ่าวหรานวางสายโทรศัพท์และเหยียบคันเร่งจนมิดทันที

ใครกันที่มาสร้างปัญหาให้เขาตั้งแต่เช้า?

ไม่ถึง 10 นาที อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถมาถึงบริษัท เขาเห็นบอดี้การ์ดแปลกหน้านับสิบยืนอยู่หน้าบริษัทของเขา และเมื่อเข้าไปด้านในตึกเขาก็ยังเห็นบอดี้การ์ดอีกไม่ต่ำกว่า 20 คนที่ยืนกระจัดกระจายตามจุดต่าง ๆ ของบริษัทเขายาวไปถึงหน้าออฟฟิศของเขาเอง

เมื่อเปิดประตูเข้าไปในออฟฟิศของเขา อวี้ฮ่าวหรานพบว่าด้านในห้องมีชายอายุราว 50 ปี กำลังนั่งอยู่บนโซฟาของเขาด้วยสีหน้าเดือดดาล

ที่ข้างชายแปลกหน้า มีบอดี้การ์ดยืนคุ้มกันอยู่อีก 7-8 คน ซึ่งแต่ละคนนั้นมีรูปร่างที่กำยำจนแม้กระทั่งชุดสูทที่พวกเขาใส่ยังปกปิดไม่มิด

ห่างไปไม่ไกลนัก ผู้จัดการหวังก็กำลังยืนก้มหน้าด้วยสีหน้าประหม่าเพราะท่าทีของฝั่งตรงข้ามนั้นดูคุกคามเป็นอย่างมาก

“ฮึ่ม! ในที่สุดแกก็โผล่หัวมาได้สักที!”

เมื่อเห็นว่า อวี้ฮ่าวหรานเข้ามาในห้องแล้ว ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาลุกขึ้นชี้หน้าด้วยแววตาอาฆาตแค้นทันที

“แกเป็นใคร?”

อวี้ฮ่าวหรานถามกลับด้วยสีหน้าเย็นชา ในเมื่ออีกฝ่ายไม่สุภาพกับเขา เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดดีด้วย

“ฉันคือหวังเจา! ประธานบริษัทเวชภัณฑ์ไป๋เชา! และฉันยังเป็นพ่อของ หวังเจวีย! ส่วนสาเหตุที่ฉันมาที่นี่แกน่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้ว!”

“งั้นเหรอ แต่ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่ฉันไม่รู้ว่าแกมาที่นี่เพื่ออะไร”

อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

หวังเจาเดือดดาลมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดนี้

“แกอย่าทำหน้าเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง! ลูกชายของฉันตายคาคฤหาสน์เมื่อคืนวานนี้! บอดี้การ์ดทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ตายอย่างน่าอนาถด้วย ฉันรู้ว่าแกเป็นคนทำ!”

ในระหว่างที่พูด หวังเจายิ่งแสดงสีหน้าอาฆาตแค้นมากยิ่งขึ้น

อย่าว่าแต่ฆ่าลูกชายของเขาเลย ไม่มีใครในเมืองนี้ที่กล้าทำร้ายลูกชายของเขาให้เจ็บตัวเลยด้วยซ้ำ!

“แกมั่นใจได้ยังไงว่าเป็นฉัน?”

“เฮอะ! ถึงแม้ว่าคนในคฤหาสน์ทั้งหมดจะตาย และภาพจากกล้องวจรปิดทั้งหมดจะถูกทำลายทิ้ง แต่เร็ว ๆ มานี้ลูกชายของฉันหวังเจวียมีความขัดแย้งกับแค่แกคนเดียว! ดังนั้นมันจะเป็นใครไปได้ที่ทำเรื่องนี้หากไม่ใช่แก? ต่อให้แกจะปฏิเสธยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์ต่อหน้าฉัน!”

แน่นอนว่า หวังเจาไม่มีหลักฐานมัดตัวอวี้ฮ่าวหรานเลยสักอย่างเดียว สิ่งที่เขามีก็เป็นเพียงแค่ข้อมูลความขัดแย้งระหว่างลูกชายของเขากับ อวี้ฮ่าวหรานจากลูกน้องของเขาเท่านั้น

อันที่จริง…เขาเองก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่า อวี้ฮ่าวหรานใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า?

อย่างไรก็ตามในเมื่อไฟโทสะมันลุกท่วมอยู่เต็มจิตใจ ตอนนี้เขาจึงไม่สนใจอะไรแล้วว่าอวี้ฮ่าวหรานจะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือไม่ ตอนนี้เขาต้องการที่จะหาเป้าหมายเพื่อระบายโทสะของเขาและเพื่อไว้อาลัยให้กับลูกชายของเขา…

ฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจมุ่งเป้าไปที่อวี้ฮ่าวหราน ผู้ที่ลูกชายของเขาเคยแค้นเคือง อย่างน้อย ๆ เขาจะต้องกำจัดศัตรูของลูกชายคนนี้ให้ได้ เพื่อที่ลูกชายของเขาจะได้เป็นสุขขึ้นบ้างหลังจากที่อยู่ในปรโลก!

กลับกัน อวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินคำถามนี้ เขายิ้มที่มุมปากทันที

“แกไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันจะเฉลยให้เอง…” อวี้ฮ่าวหรานหยุดประโยคกลางคันชั่วครู่หนึ่งและมองดูอีกฝ่ายด้วยแววตาหยอกล้อก่อนที่จะพูดเสียงดัง “ใช่! ฉันเป็นคนฆ่าไอ้ลูกหมาหวังเจวียลูกชายของแก!”