“ไป ตามข้ามา”

อี้เฉินเฟยยิ้มละมุนละม่อม จับมือนุ่มของนางแล้วนำทางไปยังทิศใต้อย่างช่ำชอง

กู้ชูหน่วนกวาดสายตามองมือใหญ่ของเขาปราดหนึ่ง มือของเขาทั้งเรียวยาวและขาวนวล และยังให้ความอบอุ่นอีกด้วย เมื่อมีมือใหญ่ของเขากุม นางรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก

ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ เป็นความเชื่อมั่นโดยธรรมชาติ

กู้ชูหน่วนไม่ปฏิเสธความรู้สึกนี้

เขาพานางมายังกำแพงแห่งหนึ่ง

ซึ่งบนนั้นมีคนน้อยมาก และมีธงดอกกล้วยไม้ขนาดใหญ่ปักเรียงรายเป็นแถวไว้ อี้เฉินเฟยทุบยามสองคนให้สลบ เพียงแค่ชั่วอึดใจเขาก็ถอดเครื่องแบบของพวกเขาออกมาได้ กระทั่งหน้ากากโครงกระดูกก็ไม่ยกเว้น

“ใส่เสื้อของพวกเขา พวกเราจะแฝงตัวเข้าไป”

กู้ชูหน่วนไม่ได้หาที่หลบ เปลี่ยนเสื้อต่อหน้าต่อตาเลย

ใบหน้าอี้เฉินเฟยร้อนวูบวาบ รีบเบือนหน้าหนี ดวงตาพะเน้าพะนอเจือความเหลืออดร่วมด้วย “คุณหนูสาม เมื่อบุรุษกับสตรีอยู่ร่วมกันควรสำรวจท่าทีบ้าง ท่านทำเช่นนี้แล้วหรือ?”

กู้ชูหน่วนถลึงตาใส่เขา

นางแค่ถอดเสื้อตัวนอกเท่านั้น ด้านในยังสวมอีกหลายตัว มีอะไรต้องหลบบ้าง

“ข้าใส่เสร็จแล้ว”

อี้เฉินเฟยกระแอมเสียง จึงจะหมุนกายกลับมา จากนั้นก็เอาขวดยาขนาดเล็กออกมาจากตัว

นิ้วเรียวเปิดฝาออก ก่อนจะเทใส่สองคนที่สลบอยู่บนพื้นไม่กี่หยด

จากนั้น สองคนที่สลบวูบก็กลายเป็นน้ำขุ่น ๆ ในชั่วพริบตา สุดท้ายก็เลือนหายไปจากสายตา กระทั่งกระดูกก็ไม่มีเหลือ

“น้ำสลายกระดูก?”

มองผิวเผินอี้เฉินเฟยนั้นเป็นดั่งทวยเทพ ทุกอิริยาบถสง่าผ่าเผย ใบหน้าประดับรอยยิ้มตลอดเวลา

กระทั่งยามที่เขาสังหารคน ดวงตายังอ่อนโยนถึงขีดสุด

และดวงตาที่แสนจะอ่อนโยนคู่นี้ เขาปลิดชีพอย่างไม่กระพริบตาสักครั้งเลย คล้ายกับสำหรับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องปกติก็ไม่ปาน

“เรียบร้อย ไปกันเถอะ”

ไม่รู้ว่าอี้เฉินเฟยสวมเสื้อเสร็จตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังสวมหน้ากากโครงกระดูกที่น่าสะพรึงกลัวเสร็จแล้วด้วย บัดนี้กำลังยิ้มอย่างอบอุ่นมาหานาง

กู้ชูหน่วนเดินเข้าไปหาพลันส่ายหัวแล้วอุทานว่า “เซียนกวีแห่งรัฐจ้าว นักปราชญ์ขงจื๊อสมัยที่สาม ท่าทีสง่างามดั่งบัณฑิตผู้มีร่างกายอ่อนแอ ทำได้เพียงท่องกวีและวาดภาพ ไม่มีพลังกำลังไม่ใช่หรือ คิก ๆ ท่านพี่เฉินเฟย คนเราสวมเกาะเหล็กเยอะแล้วระวังจะร่วงจากหลังอาชานะ”

“ท่านนี่จริง ๆ เลย ข้าช่วยท่านแล้ว ท่านยังตำหนิข้าอีก หรือจะให้ข้ากลับ แล้วท่านบุกเข้ารังเผ่าปีศาจเอง”

“ใจแคบจัง ไปกันเถอะ ไป มากสุดข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนท่านแค่เจ็ดวัน”

“พอแล้ว ข้ากลัวอายุสั้น”

ทั้งสองพูดคุยกันด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นก็เดินมาถึงจุดสูงสุดของกำแพง

ทั้งสองด้ามมียามสวมหน้ากากรูปโครงกระดูกเฝ้าเป็นจำนวนมาก เมื่อเห็นพวกเขาก็ให้แสดงป้ายเท่านั้น ไม่ได้คาดคั้นมากนัก

ทว่ามีผู้ควบคุมที่ใจร้อนตะโกนใส่พวกเขา “พวกเจ้าชักช้าอยู่ไย รีบนำตัวพวกคนปรนนิบัติกลับไปเร็ว”

กู้ชูหน่วนเดินไปเบื้องหน้าพร้อมกับมองสำรวจทุกสิ่งอย่าง

ที่นี่คล้ายกับกำแพงแนวยาว หรืออาจเรียกว่า เดิมที่ก็เป็นกำแพงแนวยาวอยู่แล้ว โดยมีเชิงเทินและหอสัญญาณไฟ ทุกยอดเขาจะมีสิ่งปลูกสร้างลักษณะเดียวกันกับที่อื่นทั้งหมด

สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือจะมีกระเช้าลอยฟ้าตรงหอสัญญาณไฟทุกจุด ทั้งยังเชื่อมต่อกันด้วย ซึ่งกระเช้านี้ก็คือกรงไม้นั่นเอง กรงไม้หนึ่งอันจะเรียกว่ามีขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่ เล็กก็ไม่เชิง โดยกรงไม้แต่ละอันสามารถบรรจุคนได้สิบกว่าคน

บัดนี้ภายในกรงสองอันได้กักขังบุรุษวัยหนุ่มไว้สิบห้าชีวิต

ซึ่งบุรุษพวกนี้ล้วนหน้าตาหล่อเหลากันเท่านั้น ทว่าร่างกายกลับผอมซูบ สองมือถูกมัดไว้ด้วยกัน ใบหน้าซีดเผือดเผยความหวาดหวั่นขึ้นมา

ด้านข้างบุรุษงามพวกนั้นยังมียามที่ถือธงและสวมหน้ากากโครงกระดูกเฝ้าจับตามองหลายนาย