เมื่อเย่เหล่ยมองดูดี ๆ นางก็ไม่เห็นแผลตามที่ถังหยินว่า ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสงสัย เพราะบาดแผลของชายหนุ่มนั้นหายดีจนไม่เหลือร่องรอยแม้แต่เพียงนิดเดียวเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ซึ่งนี่มันก็เหนือธรรมชาติเกินกว่าที่นางจะเข้าใจได้

ถังหยินมองนางแล้วหัวเราะ “ถึงพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดจะไม่กล้าหาญหรือสู้กับใครตรง ๆ ได้ แต่ถ้าเป็นในด้านการเอาตัวรอดล่ะก็ พวกเราคือที่ 1 เลยล่ะ !”

เย่เหล่ยไม่ค่อยรู้จักเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เสียเท่าไหร่ ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าถังหยินพยายามพูดคืออะไรกันแน่ “ท่านจะบอกว่าบาดแผลหายดีเพราะพลังที่ท่านมีงั้นหรือ ?”

“แน่นอน พลังปราณของข้านั้นสามารถรักษาบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว” ถังหยินพยักหน้า

เมื่อได้รับคำยืนยัน เย่เหล่ยก็พลันพยักหน้าแสร้งเป็นเข้าใจทันที ด้วยถึงแม้นางจะไม่เข้าใจ แต่นางก็ต้องตีหน้าว่ารู้เรื่องเอาไว้ก่อน

ทันใดนั้นพวกทหารก็วิ่งลงมาจากกำแพงเมืองตรงเข้ามายังที่พักของเขา และเมื่อเห็นว่าสองคนนี้กำลังอยู่ด้วยกันสองต่อสอง มันก็ทำให้ทหารคนนั้นหน้าแดงแล้วรีบกลับออกไปพร้อมรายงานมาจากข้างนอก “นายท่าน ข้ามีเรื่องมาแจ้งขอรับ”

ถังหยินเงยหน้าแล้วกล่าว “พูดมาได้”

“ตอนนี้พวกหนิงได้ส่งทูตออกมาเจรจากับเราแล้ว ท่านจะให้ทำเช่นไรขอรับ ?” เขารายงานออกมา

“หืม ?” ถังหยินขมวดคิ้ว ในเมื่อพวกหนิงกำลังดูจะได้เปรียบแท้ ๆ เหตุใดพวกเขาจึงทำการส่งทูตมากัน ? ว่าแล้วเขาก็รีบใส่เสื้อก่อนบอกไป “ข้าจะไปดูเอง”

จากนั้นชายหนุ่มก็หันมาบอกกับเย่เหล่ย “เสนารักษ์เย่เหล่ย ข้าขอตัวก่อนนะ”

พวกหนิงนั้นเล่ห์เหลี่ยมจัดมาก ไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเขาส่งทูตมาทำไม บางทีนี่อาจจะเป็นแผนอีกอย่างของพวกเขาก็ได้ ดังนั้นเย่เหล่ยจึงบอกเตือนด้วยความเป็นห่วงออกไป “ระวังตัวด้วยนายท่าน”

ถังหยินพยักหน้ารับคำ ทว่าเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เพียงแค่เดินขึ้นไปบนกำแพงทั้งแบบนั้น

ที่นั่นมีหยวนยู่ เช่าหยางและคนอื่น ๆ มารวมตัวครบแล้ว และเมื่อพวกเขาเห็นถังหยิน พวกเขาก็พากันเข้ามาทักทายตามมารยาท ก่อนเป็นชายหนุ่มที่เดินไปยังริมกำแพงแล้วใช้สายตาจ้องมองรถม้าที่จอดอยู่ด้านหน้ากองทัพโดยที่ไม่มีใครคุ้มกัน

เขาหันไปถามหยวนยู่ “หยวนยู่ เจ้านั่นเป็นยังไงบ้าง ?”

เขาไม่มีวิชาเนตรทิพย์ ทำให้ไม่สามารถระบุพลังของอีกฝ่ายได้

หยวนยู่ส่ายหัว “ไม่มีใครมีพลังปราณเลย”

ถังหยินยักไหล่กลอกตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะบอกกับหยวนยู่ “ออกคำสั่งไป ให้นำทหาร 5 พันนายมาจากทั้ง 3 กำแพงมาหาข้า”

ชายเลือดร้อนมึนงง ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น งั้นแล้วทำไมถึงต้องพาทหารมาด้วยล่ะ ว่าแล้วเขาก็ใช้วิชาเนตรทิพย์ส่องมองทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะยังยืนยันเป็นเสียงเดิมว่าทูตทั้งสองไม่มีพลังใด ๆ “นายท่าน พวกเราจะพาทหารมาทำไมกัน ?”

ถังหยินกล่าว “แน่นอนว่าพวกนั้นไม่ได้มาร้าย แต่ใครจะรู้ล่ะว่าพวกมันวางแผนอันใดไว้หรือไม่ ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาท”

หยวนยู่ทำสีหน้าเข้าใจทันที ก่อนที่ทุกคนจะรีบแยกย้ายกันไปทำตามที่เจ้านายสั่ง

หยวนยู่กระจายคำสั่งออกไป และไม่นานนักก็มีทหารจากกำแพงทั้ง 3 ฝั่งวิ่งเข้ามาทันที ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้วมันก็ได้ราว ๆ 1 หมื่น 5 พันนายได้

หลังจากถังหยินมองไปรอบ ๆ เขาก็เห็นแต่เพียงธงขาวของฝั่งหนิง จึงทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจ ร้องสั่งทหารทุกนายของตัวเองว่า “เปิดประตูรับพวกเขาเข้ามา !”

ท่ามกลางเสียงเหล็กกระทบกัน ประตูเหล็กก็ถูกยกขึ้นอย่างช้า ๆ

ในเวลาเดียวกัน ทหารบนหอคอยก็ส่งสัญญาณให้พวกรถม้าเข้ามาได้

หลังจากได้รับสัญญาณแล้ว รถม้าก็มุ่งหน้าเข้าไปในเมือง

เมื่อเข้ามาได้แล้วพวกเขาก็ถูกล้อมเอาไว้โดยทหารเฟิงนับร้อยนาย “คนที่อยู่ในรถออกมา !”

อย่างที่หยวนยู่บอกไว้ ภายในนั้นมีเพียงคนธรรมดา 2 คนเท่านั้น โดยคนที่หนึ่งก็คือคนขับรถม้า ส่วนอีกคนก็คือชายวัยกลางคนในชุดพิธีการของพวกหนิงที่ก้าวลงมา และหันมองรอบ ๆ

ใต้กำแพงนั่น บนท้องถนนมีแต่ทหารเฟิงในชุดเกราะสีดำและหมวกที่มีพู่สีแดงบนหัว

ซึ่งเมื่อทูตคนนี้ทำการสังเกตดี ๆ เขาก็พลันพบว่าทหารรอบ ๆ นั้นมีแต่พวกที่ร่างกายกำยำ สูงใหญ่ ทั้งยังมากไปด้วยวินัย ด้วยพวกเขาทั้งหมดต่างก็พากันยิ่งนิ่งเป็นรูปปั้น ใช้เพียงสายตาจ้องมองมาเท่านั้น

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกหนิงถึงตีเมืองเล็ก ๆ นี้ไม่แตกเสียที เพราะพวกเฟิงนั้นมีแต่ทหารที่มากไปด้วยฝีมือนี่เอง ทำให้ยิ่งสู้กันนานเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นศึกที่ยืดเยื้อเท่านั้น !

หลังจากลงมาแล้ว ทูตคนนี้ก็ประกบมือแล้วยิ้มให้ “นามของข้าคือ หยานปิน ข้ามาเพื่อพบท่านถัง”

“ข้าอยู่ที่นี่แล้ว !” โดยไม่รอช้า ก็เป็นชายหนุ่มที่ส่งเสียงตอบลงมา

เขาเดินลงมาพร้อมกับหยวนยู่ ทำให้ทหารเฟิงทั้งหมดเปิดทางให้อย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่พวกเขาจะหยุดลงตรงหน้าทูตคนนี้ “เจ้ามาที่นี่แต่เช้ามีเรื่องอะไรหรือ ?”

สองฝ่ายมองหน้ากันและกัน ซึ่งก็เป็นหยานปินที่กำลังตกตะลึงว่าเหตุใดถังหยินถึงอายุน้อยเพียงนี้ เขายังเป็นแค่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าเท่านั้นเอง แต่กลับสามารถขึ้นเป็นผู้ปกครองมณฑลได้ แถมยังมีกองทัพของตัวเองอีก ! ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

เมื่อคิดเช่นนั้น มันก็ทำให้เขาไม่กล้าดูหมิ่นชายคนนี้ “ข้ามาเพื่อเจรจากับท่าน”

ถังหยินมองเขาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายก่อนจะพูด “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็เข้ามาเจรจากันข้างในเถิด”

ถังหยินเอามือไพล่หลังแล้วเดินไปยังห้องพักของเขาด้วยท่าทีเป็นกันเอง จากนั้นก็รีบพูดเข้าประเด็น “ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าแม่ทัพของเจ้าต้องการสิ่งใด ?”

หยานปินรู้สึกอึดอัดมากกับท่าทีของชายหนุ่ม แต่ก็พยายามพูดมันออกมา “กองทัพของข้ามีพวกเด็กจากสถาบันฝึกยุทธ์อยู่ด้วย และพวกเขาก็ถูกจับตัวไปเมื่อ 2 วันที่แล้ว ท่านพอจะทราบใช่ไหม ?”

ถ้าไม่ได้พูดถึงมันถังหยินก็คงลืมไปแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นมา มันก็ทำให้ชายหนุ่มจำได้แล้วว่าเมื่อ 2 วันก่อนเขาได้จับพวกเชลยเก่ง ๆ ของพวกหนิงมา

ถังหยินพยักหน้าให้ “ถูกต้อง แล้วเจ้าต้องการให้ข้าส่งตัวพวกเขากลับคืนหรือ ?”

หยานปินหัวเราะแห้ง ๆ “ถูกต้องแล้ว ถ้าท่านถังต้องการสิ่งใดโปรดบอกกล่าวเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม”

“เงื่อนไขสินะ ?” ถังหยินลูบคางแล้วยิ้มออกมา “ข้าต้องการหัวแม่ทัพใหญ่ของเจ้า ได้ไหมล่ะ ?”

หยานปินหน้าซีดทันที ก่อนดีดตัวหลังตรงด้วยเกือบจะหลุดโมโหออกไป “นายท่าน อย่าล้อเล่นแบบนั้นสิ ทางกองทัพของเรานั้นมีเงินทองมากมาย เอาเป็นว่าตัวท่านต้องการเท่าไหร่ล่ะ ?”

เป็นเรื่องธรรมดาที่การไถ่ตัวนักโทษต้องใช้เงินจำนวนมากพอสมควร

ทว่าถังหยินกลับไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ด้วยในเมื่ออีกฝ่ายต้องส่งคนมาไถ่ตัวคนเหล่านี้ไป มันก็แสดงว่าพวกเขาจะต้องมีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาแน่ ๆ และเขาก็ต้องการจะใช้ประโยชน์จากตัวประกันพวกนี้ให้ถึงที่สุด !