บทที่ 221

ถังหยินหลับตาแล้วครุ่นคิดอยู่นานว่าจะทำอย่างไรต่อดี

ยิ่งเขาใช้วิชาเพลิงผลาญวิญญาณมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้พลังมากขึ้น แต่ข้อมูลข่าวสารก็นับเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ใดมาด้วยเช่นกัน ซึ่งมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะจดจำข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดได้ แม้ว่ามันจะมีความสำคัญมากแค่ไหนก็ตาม

ทว่าตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าตัวตนของคนเหล่านั้นมีตำแหน่งที่สำคัญจากการล้วงเข้าไปดูในความทรงจำที่ได้มา แต่สิ่งที่เขาผิดหวังก็คือความทรงจำพวกนั้นไม่มีอะไรที่เป็นข้อมูลสำคัญเลย รู้เพียงแค่ว่าเด็กพวกนั้นเป็นชนชั้นสูงที่ใช้ชีวิตหรูหราก็เท่านั้น

ถังหยินผิดหวังและกล่าวออกมาทันที “ในเมื่อเจ้าบอกเองว่ามีเงินมากมายจะถมให้สินะ ถ้างั้นสักคนละ 1 ล้านเหรียญล่ะเป็นไง ?”

หยานปินคิดหนักเมื่อได้ยิน ด้วยเม็ดเงินที่มากขนาดนั้นเขาไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยตัวคนเดียว “ท่านถัง ให้ข้าได้ไปรายงานต่อท่านแม่ทัพของข้าก่อนได้หรือไม่ ? เงินจำนวน 1 ล้านเหรียญเงินมันเกิดกว่าที่ข้าจะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”

ถังหยินโบกมือขัดคอเขา “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าหมายถึง 1 ล้านเหรียญทองต่างหาก”

“หา ? 1 ล้านเหรียญทอง ? ต่อหนึ่งคน ?” หยานปินยืนขึ้นอ้าปากค้าง

“ถูกต้อง”

ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่อดทนได้เก่งแค่ไหนแต่มันก็ย่อมต้องมีขีดจำกัด หยานปินพลันกำหมัดแน่น ก่อนกัดฟันแล้วพูดออกมา “ท่านถัง ท่านทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เองนะ อย่าหวังว่าจะจบศึกนี้ได้เลย !”

ถังหยินเองก็ยืนขึ้นจ้องมองเขากลับไปเช่นกัน “ข้าเองก็อยากจะพูดคำนี้กับเจ้าเช่นเดียวกัน อย่าคิดว่าเพราะซ่งเทียนขึ้นเป็นอ๋องแล้วจะทำให้พวกเจ้าทำอะไรก็ได้ตามอำเภอ ไม่งั้นเจ้าจะต้องจบชีวิตลงตรงนี้นี่แหละ !”

หยานปินกัดฟันด้วยความโกรธ ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่ชายต้องการพอดี

“ถ้างั้นท่านถังก็ไม่คิดจะเจรจางั้นหรือ ?” หยานปินสงบสติลงแล้วถามขึ้น

“เจรจาหรือ ? พวกหนิงอย่างเจ้าเข้ามาเหยียบแผ่นดินของข้าเช่นนี้แล้วยังต้องเจรจากันอีกหรือ ?” เขาหันไปบอกกับทหารข้างกาย “พาตัวเขาออกไป”

“ถังหยิน เจ้ามันเย่อหยิ่งยิ่งนัก เจ้ากล้าพูดแบบนี้งั้นเหรอ ได้ ! สักวันเจ้าและคนของเจ้าจะต้องตายด้วยคำพูดนั่น !” หยานปินพูดพลางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ

ชายหนุ่มที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่อาจข่มความโกรธได้อีก เขาลุกขึ้นในพลัน ก่อนจะเดินไปถีบหน้าอกอีกฝ่ายอย่างแรง “ไอ้เวรตะไลเอ้ย !”

เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หยานปินก็กระเด็นออกไปข้างนอก

ถังหยินไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่เดินไล่ตามไปพร้อมกับชักดาบออกมา

และเมื่อเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็พลันใช้ดาบในมือตัดหูตัดจมูกของอีกฝ่ายออก จนทำให้หยานปินกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ถังหยินก้มมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย แล้วพูดสำนวนปัจจุบันกลับไป “กลับไปบอกนายของเจ้าว่าให้ล้างคอรอความตายได้เลย !”

หยานปินคิดว่าจะสามารถเจรจาแล้วตกลงกันได้ง่าย ๆ แต่ความจริงที่เกิดขึ้นมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งยังโดนทำร้ายร่างกายกลับมาอีกด้วย

การลงโทษแบบนี้ถือเป็นการเหยียดหยามเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรีบพาตัวเองกลับไปในทันทีท่ามกลางเสียงหัวเราะของทหารเฟิง

หลังจากที่ทูตออกไป ถังหยินก็เก็บดาบแล้วบอกหยวนยู่ “เชลยของพวกเรายังอยู่หรือไม่ ?”

ชายเลือดร้อนไม่รู้เหมือนกัน จึงเป็นจี้เฉินที่ให้คำตอบนี้ “พวกเขาอยู่ในกำแพงส่วนเหนือขอรับ”

ถังหยินพยักหน้าให้ “งั้นไปดูกันเถอะ”

เชลยพวกนั้นมีด้วยกันทั้งหมด 8 คน ซึ่ง 7 ใน 8 นั้นก็มียศและตำแหน่งในราชสำนักที่สูงมาก จนทำให้จ้านอู่ตี้เลือกที่จะฟังแผนการจากคนพวกนี้อยู่บ่อยครั้ง

ทว่ามันก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกแม่ทัพเหล่านี้ถูกพาตัวเข้าสู่สนามรบได้อย่างไร เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าลูกท่านหลานเธอพวกนี้นั้นถ้าหากถูกจับตัวไปได้มันจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับราชสำนักมากแค่ไหน ดีไม่ดีก็อาจทำให้ตระกูลจ้านกลายเป็นศัตรูทางการเมืองไปเลยก็ได้

และจากพวกแม่ทัพทั้งหมดที่ไปออกรบ ก็มีเพียง 10 คนเท่านั้นที่กลับไปได้ ทำให้ในเวลานั้นจ้านอู่ฉางโกรธมากจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้วและทำการเรียกน้องตัวเองออกมาด่าทอ

ยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไรกลับ ก็เป็นจ้านอู่ตี้ที่ต้องตะลึงอย่างหนักเสียก่อน เมื่อเขาได้ยินผู้เป็นพี่บอกว่าทั้ง 8 คนที่ถูกจับไปนั้นเป็นลูกชายลูกสาวของมหาเสนาบดีทั้งหลาย แถมยังเป็นสายเลือดเดียวกับภริยาของท่านอ๋องแห่งแคว้นหนิงอย่าง ไชยั่วหลิงอีก ดังนั้นถ้าหากว่าตัวประกันพวกนี้มีอันเป็นไปล่ะก็ พวกตนที่ออกรบในครั้งนี้ต้องหัวขาดอย่างแน่นอน !

เมื่อจ้านอู่ตี้รู้แล้วว่าพวกตนกำลังตกที่นั่งลำบาก สิ่งที่แรกที่เขานึกได้กลับไม่ใช่นึกถึงความผิดตนเองแต่เป็นการลงความโกรธกับกุนซือของเขาด้วยการจับกุมมามอบตัวถึงที่

แต่ต่อให้ฆ่าอีกฝ่ายไปก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้ ในเวลานั้นก็ได้มีคนเสนอความคิดมากมายมาแนะนำสองพี่น้อง โดยมันก็ได้มีบางคนที่แนะนำว่าให้ใช้ทหารทั้งหมดเข้าโจมตีเมืองจินฮั๋วเพื่อบีบให้พวกเฟิงปล่อยตัวนักโทษออกมา ซึ่งสองพี่น้องเองก็เห็นพ้องต้องกันและเลือกใช้ความคิดนี้ทันที

ทว่า พวกเฟิงก็มีนักรบที่มากไปด้วยฝีมือเต็มไปหมด และการต่อต้านเองก็แข็งกร้าวมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นมันก็อาจจะไม่ได้ผลที่ดีมากนัก ก่อนจะเป็นหยานปินที่เสนอตัวเองว่าจะเข้าไปเจรจาให้ !

ด้วยตอนนั้นพี่น้องจ้านก็ไม่รู้ว่าจะใช้ลูกไม้ไหนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่รับข้อเสนอของหยานปินและส่งอีกฝ่ายไปเจรจาเพื่อขอไถ่ตัวนักโทษกลับมา แต่ถึงกระนั้นมันกลับไม่ได้ผล ทั้งยังถูกทำร้ายกลับมาอีก !

ถึงฝั่งนั้นจะมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย หากแต่ฝั่งของถังหยินกลับไม่รู้ถึงเรื่องกิจการภายในของพวกหนิงหรือตัวตนของพวกตัวประกันและปัญหาใด ๆ เลย

ดังนั้นหลังจากเข้าไปยังโรงทหาร เขาก็มองพวกที่จับมาได้ทั้งชายหญิงที่ไร้ซึ่งพลังปราณเพราะถูกบังคับให้กินยาเข้าไป และถูกปลดเกราะออกให้เหลือแต่เสื้อผ้า

เมื่อเห็นถังหยินเข้ามา พวกเขาก็ยืนขึ้น “ปล่อยพวกเราไปสักที !”

ถังหยินหัวเราะออกมา ด้วยคนที่พูดแบบนี้มักจะเป็นคนที่โง่เขลาที่สุด ซึ่งมันก็ชัดเจนเลยว่าพวกขุนนางแคว้นหนิงนั้นไม่รู้เรื่องกิจการทางการทหารหรืออะไรทั้งนั้น

โดยไม่รอช้า หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายคนนั้นก็ได้ถามขึ้น “ข้าขอถามนามของท่านได้หรือไม่ ?”

ถังหยินจำได้ว่านางคือคนเดียวกับที่เข้ามาช่วยปกป้องตนเอาไว้ และนางน่าจะชื่อ หลิงอะไรซักอย่าง

ชายหนุ่มตอบกลับไป “นามของข้าคือ ถังหยิน”

“อะไรนะ ? เจ้าคือถังหยิน ?” พวกเด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาคิดว่าถังหยินน่าจะเป็นตาลุงแก่ ๆ แต่ที่ไหนได้ดันเป็นคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาซะงั้น !

หญิงสาวมองเขาอีกครั้งและดึงเสื้อของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะถาม “ถ้างั้นท่านถัง ท่านต้องการสิ่งใดเพื่อแลกกับการที่จะปล่อยตัวพวกเราออกไปหรือ ?”