บทที่ 222

ถังหยินพยักหน้าให้กับความใจเย็นของนางที่มีมากกว่าผู้ชายบางคน “มันง่ายมาก ตราบเท่าที่จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ยอมจ่ายเงินเพื่อไถ่ตัวพวกเจ้า ข้าก็จะปล่อยไป แต่ทว่าข้าขอทราบนามสกุลของเจ้าก่อนได้หรือไม่ ?”

สังเกตจากอายุแล้ว ถังหยินควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นหญิงสาวมากกว่าจะเป็นเด็กสาว

ได้ยินแบบนั้นไชยั่วหลิงก็คิดได้ว่าไม่ควรจะเปิดเผยตัวตนไปมากกว่านี้ ไม่งั้นถ้าหากอีกฝ่ายรู้ว่านางมีสายเลือดเดียวกับท่านอ๋องละก็ งั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้มีการปล่อยตัวไปง่าย ๆ! “ข้าก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ได้เข้าเรียนที่นี่ก็เท่านั้นแหละ”

ทุกคนหันมามองนางทันที

เมื่อรู้ว่าสหายของตนโง่เกินกว่าจะเข้าใจแผน นางก็ทำการส่งสายตาเป็นนัยยะให้กับพวกเขา ซึ่งในครั้งนี้พวกเขาก็เข้าใจได้ในทันที “ใช่ ใช่ ใช่แล้ว พวกเราเป็นแค่คนธรรมดาที่มีโอกาสได้เรียนในสถาบันฝึกยุทธ์เท่านั้น ดังนั้นก็หวังว่าท่านถังจะเมตตาปล่อยพวกเราไป”

คนที่พูดหนึ่งในนั้นก็คือ จางชู ชายที่มีดวงตากลมโตและร่างกายที่ผอมบางอันเป็นเอกลักษณ์ของขุนนาง ด้วยบิดาของเขาคือเสนาบดีฝ่ายขวา จางจี้ฮง จึงทำให้ตัวเขากับยั่วหลิงได้หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เกิดแล้ว

ถังหยินกอดอกแล้วมองพวกเขาอย่างครุ่นคิด ด้วยไม่มีทางที่คนพวกนี้จะเป็นคนธรรมดาแน่ ไม่งั้นจ้านอู่ตี้คงจะไม่เสียเวลาส่งคนมาไถ่ตัวไปแน่ “แม่นางหลิงคิดจะหลอกข้างั้นหรือ ?”

โดนเรียกด้วยนามสกุลแบบนี้ มันก็ทำเอายั่วหลิงหัวใจเต้นระรัวไปหมด ด้วยนางไม่คิดว่าถังหยินจะรู้สกุลของนางด้วย “ท่านถัง ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านจะรู้สกุลของข้าได้อย่างไร แต่ในเมื่อท่านรู้แล้ว งั้นก็น่าจะทราบแล้วว่าตระกูลของข้านั้นไม่ธรรมดา”

ถังหยินตะลึงกับความแน่วแน่ในสายตาของนางนัก เพราะมันบ่งบอกได้เลยว่าหญิงสาวไม่ได้โกหกเรื่องอำนาจของตระกูลตัวเอง ผิดกับจางชูที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่แบบนั้น ซึ่งถ้านางโกหกเขาเรื่องนี้ งั้นแล้วมันก็เท่ากับว่านางเล่นละครลิงได้เก่งมากทีเดียว

คิดได้แบบนั้นถังหยินก็ถามจางชู “เจ้าชื่ออะไร ?”

“จางชู !” เขาตอบแบบไม่คิด

ชายหนุ่มไม่มีความเห็นอะไรให้กับชื่อนั้น และถามต่อ “เจ้ามาจากตระกูลธรรมดา ๆ หรือไม่ ?”

จางชูครุ่นคิดสักพักก่อนตอบไป “แน่นอนอยู่แล้ว”

ยั่วหลิงนิ่งเฉยยิ่ง ไม่ได้ขยับหรือพูดอะไร แต่ทว่าเมื่อนางกำลังจะพูดบางอย่าง ถังหยินก็เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อน “ทุกคนน่าจะอยู่ในห้องนี้มานานแล้วสินะ ออกไปสูดอากาศกันหน่อยดีกว่า” จากนั้นเขาก็เดินออกไป

เมื่อได้ยินเสียงที่อ่อนโยนลง จางชูก็เริ่มตั้งสติได้ เขาครุ่นคิดในหัวว่าจริง ๆ แล้วถังหยินก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรมากถ้าไม่ได้อยู่ในสนามรบ พร้อมกับตั้งท่าที่จะเดินตามออกไป หากแต่ก็เป็นยั่วหลิงที่เอ่ยห้ามเอาไว้ “อย่านะ”

เหตุที่ห้ามเอาไว้เป็นเพราะหญิงสาวยังไม่เชื่อใจถังหยิน ด้วยคิดว่าตอนนี้ตัวเองกับชายหนุ่มนั้นกำลังอยู่ในช่วงของเกมหมาป่าจับแกะ ที่ถ้าใครเผยไต๋ออกมาก่อนก็จะเท่ากับแพ้ !!!

“ทำไมกัน ?” จางชูจับไหล่นางแล้วพูดอย่างนุ่มนวล “เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าถังหยินไม่ได้คิดร้ายต่อเรา ดังนั้นถ้าเราทำดีกับเขา เราก็น่าจะสามารถออกไปได้”

พวกคนอื่น ๆ ก็ดูจะเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว พากันพยักหน้าและแนะนำในรูปแบบเดียวกัน

ยั่วหลิงไม่รู้ว่าถังหยินคิดอะไรอยู่ แต่ด้วยรู้สึกรำคาญสหายของตน นางก็จึงตัดสินใจที่จะเดินตามออกไปด้วย

ข้างนอกนั่น ถังหยินกำลังยืนอยู่กลางลานโล่ง ๆ เอามือไพล่หลังไว้

และเมื่อเห็นว่าตัวประกันทั้งหลายออกมาแล้ว ก็เป็นถังหยินที่หันมอง และพูดกับจางชู “มานี่สิ”

จางชูไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เขาหันมองสหายด้วยความหวั่นเกรง ก่อนใช้สายตาอ้อนวอนขอคำแนะนำ

เมื่อจางชูไม่ยอมเดินเข้ามา ก็เป็นหน้าที่ของทหารเฟิงที่เข้ามาล็อคแขนแล้วพาตัวออกไป และแม้ว่าจางชูจะพยายามขัดขืนมากเท่าใด แต่ถ้าไม่มีพลังปราณเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น จึงได้แต่หันมองยั่วหลิงด้วยสายตาน่าสงสาร

ยั่วหลิงเองก็อยากจะร้องไห้เหมือนกัน ตระกูลของนางส่งนางเข้ามาเรียนในวังเพราะหวังจะให้นางขึ้นเป็นเจ้าจอมคนต่อไปของแคว้นหนิง ทว่านางกลับต้องมาเป็นคู่หมั้นกับชายที่แสนโง่เขลาอย่างจางชูงั้นหรือ ? คิดเช่นนั้นแล้วหญิงสาวก็โกรธจนทำอะไรไม่ถูกที่ต้องมาเห็นคู่หมั้นของตัวเองไร้ประโยชน์เพียงนี้

และด้วยการลากของพวกทหาร มาตอนนี้จางชูก็ได้มายืนอยู่ข้าง ๆ ถังหยินแล้ว ก่อนที่ทหารทั้ง 2 จะเดินจากไป

สองขาของเด็กหนุ่มสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนที่เขาจะถามออกไปอย่างห้าวหาญ “ท่านถังต้องการอะไรจากข้ากัน ?”

ถังหยินก้มหัวแล้วมองเขา จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้อีก 2 ก้าวแล้วยื่นท่อนไม้ให้กับจางชู “รับไปซะ”

“หา ?” จางชูดูจะงุนงงกับท่าทีนี้ ไม่ต่างอะไรกับคนอื่น ๆ ที่กำลังมองมา

ถังหยินหัวเราะแล้วชี้ไปที่กำแพง “เห็นนั่นไหม ? เจ้าเดินไปตรงนั้นแล้วยกท่อมไม้ไว้เหนือหัว” จากนั้นเขาก็หันไปขอคันธนูจากพวกทหาร

ในเวลานี้ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจำได้ว่าจางชูเองก็เคยทำอะไรแบบนี้เหมือนกันในค่ายของพวกหนิง ซึ่งในตอนนี้มันก็กลับตาลปัตรโดยที่เขากลายเป็นเป้าหมายเสียเอง

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ทว่าก็ไม่มีใครรู้ว่าทำไมถังหยินถึงได้ทำตัวแบบนี้ มีเพียงยั่วหลิงเท่านั้นที่คุ้นเคยกับมันและเหมือนกับเคยเห็นเหตุการณ์นี้ที่ไหนมาก่อน

“ท่านถัง เมตตาข้าเถอะ !” จางชูคุกเข่าลงร้องไห้อย่างน่าเวทนา

“พาตัวเขาขึ้นมา” ถังหยินสั่งให้ทหารเข้าไปดึงตัวเด็กหนุ่มขึ้นมา “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามั่นใจในความสามารถของข้ามากทีเดียว เพราะงั้นเจ้าจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”

ในเวลานี้หยวนยู่และทุกคนต่างก็กำลังนั่งหัวเราะจางชูอยู่ด้านข้างถังหยิน

ชายหนุ่มดึงสายธนูง้างออก ก่อนมองไปยังจางชูที่อยู่ห่างออกไป และเมื่อเห็นว่ามันใกล้เกิน เขาก็ถอยออกไปอีกหลายสิบก้าว “อย่าเพิ่งขยับนะ”

จางชูตัวสั่นเทา ไม่กล้าขยับไปไหนตามคำสั่ง

มุมปากของถังหยินยิ้มขึ้น เขาง้างลูกธนูขึ้นสุดก่อนที่จะปล่อยมือส่งลูกศรพุ่งออกไปยังจางชู

ฉึก !

เสียงเหล็กทะลุเกิดขึ้นพร้อมกับหัวศรที่แทงเข้าไปในหัวไหล่ซ้ายของจางชูจนทะลุไปข้างหลัง ทำให้เลือดพุ่งกระจายไหลนองเต็มพื้น ก่อนที่เด็กหนุ่มจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

พวกคนอื่น ๆ ต่างก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ใช้สายตามองจางชูที่กำลังเจ็บปวดอยู่แบบนั้น

“พลาดเป้าแฮะ” ถังหยินส่ายหัว “สงสัยว่าข้าคงจะลืมวิธีการยิงไปแล้วล่ะมั้ง คงต้องลองอีกสักรอบ” จากนั้นเขาก็ง้างลูกศรขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ทำการเล็งอย่างประณีต ก่อนจะปล่อยมันออกไป

ฟิ้ว !

ครั้งนี้มันพุ่งเป้าตรงไปยังต้นขาของเด็กหนุ่มและทะลุออกไปเช่นเดิม

จางชูกรีดร้องออกมา เจ็บปวดจนไม่อาจยืนขึ้นได้อีก

ถังหยินหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะยื่นธนูคืนให้กลับทหารของเขา “มีใครจะลองยิงดูบ้างไหม ?”

“ข้าเอง !” หยวนยู่วิ่งเข้ามารับคันธนูเอาไว้ ก่อนง้างมันออก เล็งไปยังจางชูที่อยู่บนพื้น

ฟิ้ว !

ในครั้งนี้ลูกศรได้พุ่งเข้าใส่แขนของเด็กหนุ่มที่ไม่มีแม้แต่แรงจะร้องออกมาแล้ว

หยวนยู่อยากจะยิงต่อ แต่ถังหยินก็ได้ห้ามเอาไว้ “ข้าว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะให้คนอื่นได้ฝึกวิชาธนู แม่ทัพเฉิน เจ้ามาลองดูบ้างสิ”

จี้เฉินโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ข้ายิงธนูไม่เป็นหรอก” เขาเป็นแค่คนธรรมดาที่มาเป็นนายกอง ดังนั้นจึงไม่รู้วิธีการยิงธนูที่ถูกต้อง