บทที่ 223

เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังหยินก็พลันกล่าวสวนกลับไปว่า “ถ้าเจ้าไม่ฝึกแล้วจะยิงเป็นได้อย่างไรกัน ?”

“จริงด้วย แม่ทัพเฉินอย่ารีรอเลย ต่อให้ยิงพลาดก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะท่านหรอก” หยวนยู่กล่าวเสริมแล้วยื่นคันธนูให้กับจี้เฉิน

เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับมันมาแล้วมองไปยังจางชูที่นอนอยู่บนพื้นและกำลังร้องโอดครวญ ก่อนที่เขาจะกลืนน้ำลายลงคอแล้วง้างคันธนูออก

ฟิ้ว !

ศรพุ่งผ่านออกไปลงอยู่บนพื้นข้างตัวจางชู ทำให้พวกเฟิงต่างก็พากันขบริมฝีปากอย่างเจ็บใจ ทว่าถังหยินก็ไม่ได้หัวเราะอะไร เขาเพียงยักไหล่ให้ “ไม่เป็นไรหรอกแม่ทัพเฉิน ครั้งแรกก็เป็นเช่นนี้แหละ ลองเข้าไปใกล้ ๆ ดูสิ”

“ขอรับนายท่าน” จี้เฉินเดินเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อย ก่อนจะมองกลับมายังถังหยิน ทว่าอีกฝ่ายก็ยังโบกมือบอกให้เขาเข้าไปใกล้อีก

หลังจากเข้ามาใกล้จนเกือบจะถึงตัวของจางชูแล้ว ก็เป็นถังหยินที่ตะโกนออกมา “แม่ทัพเฉินพอแล้ว ตรงนั้นแหละ !”

นี่ไม่ใช่การฝึกธนูแล้ว หากแต่เป็นการฆ่าคน ! พวกตัวประกันทั้งหมดต่างก็หน้าซีด มันเป็นเพราะเหตุใดกัน ? ทำไมถังหยินถึงต้องหยามพวกเขาถึงขนาดนี้ ?

จี้เฉินง้างคันธนูขึ้น เล็งใส่จางชูที่ตัวสั่นอยู่ที่พื้น ทำให้ยั่วหลิงไม่อาจอดกลั้นได้อีก ตะโกนลั่นใส่ถังหยินในทันที “ท่านถัง ท่านจะฆ่าเขาไม่ได้นะ ! มันไม่เห็นจำเป็นเลยที่จะต้องทำถึงขนาดนี้ !”

ถังหยินหัวเราะออกมา “ข้าจะทำแล้วทำไม ? ก็ในเมื่อพวกเจ้าเป็นฝ่ายที่หลอกลวงข้าก่อน ! คิดว่าข้าจะสงสารเขาหรือ ? ได้สิ ถ้าอยากให้เขารอดก็แค่บอกความจริงมาก็เท่านั้น แล้วข้าจะปล่อยเขาไปทันที”

ยั่วหลิงพูดไม่ออก เพราะถังหยินที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ดูชั่วร้ายและสารเลวยิ่งนัก ผิดกับภายลักษณ์ภายนอกที่ดูหล่อเหลาอย่างสิ้นเชิง ! ว่าแล้วหญิงสาวก็สูดหายใจก่อนจะพูดขึ้นอย่างมาดมั่น “ข้าบอกท่านไปแล้วว่าข้าเป็นแค่คนธรรมดาเท่…”

โดยไม่รอให้นางพูดจบ ถังหยินก็ได้ตะโกนออกมาเสียก่อน “ยิงเลยแม่ทัพเฉิน !”

เมื่อได้รับคำสั่ง จี้เฉินที่ง้างคันธนูไว้สุดสายก็กำลังจะปล่อยมือ หากแต่ในวินาทีสุดท้ายนั้นเอง ก็เป็นจางชูที่เงยหน้าขึ้นพูดสารภาพออกมา “อย่าฆ่าข้าเลย ! ข้าคือลูกชายของเสนาบดีฝ่ายขวา จางจี้ฮง พ่อข้าจะยอมจ่ายเงินเพื่อไถ่ตัวข้าแน่นอน !”

ยั่วหลิงกับทุกคนถึงกับใจหายทันทีที่ได้ยินแบบนี้ ….ด้วยทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว

ได้ยินแบบนั้นถังหยินก็ตะลึงจนยิ้มออกมา “แล้วทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า !” เขาเดินเข้าไปใกล้จางชูก่อนจะนั่งลงข้างๆ “เจ้าพูดจริงหรือ ? เจ้าเป็นลูกชายของจางจี้ฮงแน่นะ ?”

เมื่อได้ยินคำถามนั่น จางชูก็รีบพูดตอบกลับไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิด “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าท่านไม่เชื่อข้า จะส่งคนไปตรวจสอบก็ย่อมได้ !”

หลังจากแน่ใจแล้วว่าจางชูเป็นแค่คนขี้ขลาดที่อยากเอาตัวรอดเท่านั้น ถังหยินก็พลันหันไปมองตัวประกันที่เหลือ ก่อนจะถามอีกครั้ง “ถ้างั้นตัวตนของแม่นางหลิงล่ะ ?”

“นางคือน้องสาวของเจ้าจอมแห่งแคว้นหนิง ที่เป็นลูกสาวของเสนาบดีไชเวิ่น และเป็นคู่หมั้นของข้า” เด็กหนุ่มพูดหมดเปลือก

“อย่างนี้นี่เอง” ถังหยิงมองยั่วหลิง ด้วยคิดไม่ถึงเลยว่านางจะมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่แบบนั้น นี่มันขุมทรัพย์ชัด ๆ เลยไม่ใช่หรือไงกัน ? “แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ ?”

“เฟิงยูเป็นลูกชายของตี้ฉี หมิงซวนคือลูกชายของแม่ทัพใหญ่เสี้ยวเทียน ท่านถัง ข้าบอกท่านไปหมดทุกอย่างแล้ว และทันทีที่ท่านปล่อยข้ากลับไปยังเมืองหลวง ข้าจะบอกพ่อข้าเรื่องเงินประกันและให้คำสัญญาว่าจะไม่มารุกรานแคว้นท่านอีก !”

ถังหยินหัวเราะให้กับคำสารภาพนี้แล้วตบบ่าของจางชู “ไม่ต้องห่วงข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก เพราะเจ้ายังใช้งานได้อยู่” จากนั้นเขาก็หันไปเรียกหมอให้มาพาตัวเด็กหนุ่มคนนี้ออกไป

ไม่นานนักชายหนุ่มก็หันมามองยั่วหลิงที่อยู่ด้านหลัง ใช้ดวงตาสังเกตไปทั่วร่างของนางอย่างไม่ลดละ

เมื่อเรื่องนั่นถูกเปิดเผยออกมาแล้ว นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาถังหยิน ได้แต่ก้มหน้าก้มตา ก่อนแสร้งถามกลับมาราวกับไม่เข้าใจในการกระทำของเขา “ท่านมองอะไรกัน ?”

“ข้าก็แค่ต้องการจะมองเจ้าเฉย ๆ ก็เท่านั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องหลบหน้าเลย”

ยั่วหลิงหน้าแดงเมื่องได้ฟังดังนั้น ก่อนที่นางจะตั้งสติอย่างรวดเร็วแล้วตอบกลับไป “แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อจากนี้ ?”

ยั่วหลิงพยายามทำตัวให้เข้มแข็งต่อหน้าคนอื่น แต่แท้จริงแล้วหัวใจของนางในตอนนี้นั้นมันสั่นระรัว และพร้อมที่จะกระโจนออกมาได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว ด้วยหญิงสาวกลัวว่าความบริสุทธิ์ของตัวเองจะถูกพรากไปโดยชายตรงหน้า ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง งั้นแล้วจะให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร ?

หลังจากผ่านไปสักพัก ถังหยินก็หันไปบอกทหารรอบ ๆ “พาพวกเขากลับไปที่เดิม จับตามองเอาไว้ให้ดี”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ยั่วหลิงก็พลลันถอนหายใจอย่างโล่งอก

ระหว่างที่หญิงสาวถูกพาตัวกลับ นางก็ไม่ได้เหลือบมองไปทางจางชูเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนางคิดว่าเขามันไร้ประโยชน์สิ้นดี ด้วยแม้แต่กับสหายของตัวเองก็ยอมทรยศได้ !!!

หลังจากพวกตัวประกันถูกพาตัวกลับไปแล้ว จี้เฉินก็เดินมาหาชายหนุ่ม “พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดีขอรับนายท่าน ?”

“ข้าว่าพวกเราคงต้องไปคุยกับจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้กันตรง ๆ เสียหน่อยแล้ว !”

“นายท่านหมายถึง ?”

“ไปเผชิญหน้ากับพวกมันแล้วใช้ตัวประกันพวกนี้เป็นข้อเจรจาให้พวกมันถอนกำลังกลับ !”

“ข้าว่ามันจะเป็นการอันตรายเกินไป…” จี้เฉินกังวล

“พวกเราก็ใช้ร่างแยกเข้าไปเสียสิ” ถังหยินหัวเราะออกมา

จี้เฉินเข้าใจในทันที ด้วยมันก็ถูกตามที่ถังหยินว่า เพราะในเมื่อชายหนุ่มสามารถใช้ร่างแยกเข้าสู่สนามรบได้ แล้วทำไมเขาจะใช้มันเข้าไปเจรจาไม่ได้ล่ะ ?

และเมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่รอช้าอีก เที่ยงวันเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้ร่างแยกขี่ม้าออกไปจากเมืองจินฮั๋ว

ถังหยินไม่แน่ใจว่าจะใช้ยั่วหลิงหรือจางชูบังคับให้พวกมันถอนกำลังไปดี แต่มันก็ควรค่าแก่การลองดู เพราะตัวประกันเหล่านี้ถือเป็นหน้าตาของแคว้นหนิง

เมื่อเห็นว่าถังหยินออกมาจากเมืองแล้ว พวกทหารหนิงก็เข้าไปรายงานเรื่องนี้ให้กับแม่ทัพของพวกเขาทราบ

ทั้งสองพี่น้องต่างก็ประหลาดใจ และไม่เข้าใจว่าพวกเฟิงกำลังจะมาลูกไม้ไหนกันแน่

ไม่นานหลังจากนั้นมากนัก ถังหยินก็ได้มาถึงหน้าค่ายพวกหนิงแล้วตะโกนบอก “ข้าคือถังหยิน มาเพื่อเจรจากับแม่ทัพของพวกเจ้า !”

พวกหนิงที่อยู่ข้างนอกต่างก็ตะลึง ไม่คิดว่าแม่ทัพของฝ่ายศัตรูจะเข้ามาถึงในค่ายแบบนี้ พวกเขาทำอะไรไม่ถูกนอกจากชี้หอกไปยังอีกฝ่ายแล้วจ้องมองดูว่าไม่มีใครมาเสริมกำลังใช่หรือไม่

เสียงฮือฮาขึ้นในค่ายพวกหนิง พร้อมกับทหารกว่า 5 พันนายที่เข้ามาล้อมชายหนุ่มในรูปขบวนสี่เหลี่ยม

พวกเขาเคลื่อนขบวนรบเข้าประชินจนกระทั่งอยู่ไม่ห่างจากถังหยินมากนัก ก่อนจะหยุดลงแล้วเปิดทางให้สองแม่ทัพใหญ่ควบม้าเดินออกมา

แม่ทัพหนิงหนึ่งในสองคนนั้นเดินออกมาแล้วหยุดหัวเราะเยาะถังหยิน “ถังหยิน ในเมื่อกล้ามาขนาดนี้ งั้นแล้วทำไมถึงไม่ใช่ร่างจริงมากัน ?”

คนที่พูดคือจ้านอู่ตี้ และคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็คือพี่ชายของเขา จ้านอู่ฉาง

ตัวจ้านอู่ตี้เคยเจอถังหยินมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จ้านอู่ฉางได้พบเจอกับชายหนุ่ม ซึ่งมันก็เหมือนกับที่น้องชายของเขาบอกไว้ไม่มีผิด ว่าถังหยินนั้นยังหนุ่มมากนัก ดูไม่แก่เหมือนแม่ทัพคนอื่น ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่ตัวของอีกฝ่ายมีรัศมีความเป็นผู้นำที่สูงมากพอ ๆ กันกับแม่ทัพชรามากประสบการณ์ !