ภาคที่ 1 บทที่ 174 การสอบข้อเขียน

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 174 การสอบข้อเขียน

“เอาไว้ฉันได้เป็นปรมาจารย์แห่งวงการแพทย์แผนจีนเมื่อไหร่ ฉันจะรับพวกนายเป็นลูกศิษย์เอง”

ซูเย่พูดหน้าตาเฉย

“เอ็งนี่นะ!”

สองเพื่อนซี้กลอกตามองบนในเวลาเดียวกัน ก่อนพูดว่า “อย่าว่าแต่จะเป็นปรมาจารย์แห่งวงการเลย เอาแค่นายเข้ารอบ 100 คนสุดท้ายให้ได้ก่อนเถอะ!”

เป็นเวลา 20:00 น. ตรง ทางมหาวิทยาลัยก็ออกตารางการเข้าสอบพร้อมกับเลขที่นั่งของผู้เข้าสอบทุกคน

อาคารซึ่งจะเป็นสถานที่สอบในวันพรุ่งนี้ถูกปิดไปเมื่อตอน 19:00 น. เพื่อป้องกันไม่ให้มีนักศึกษาคนไหนแอบย่องเข้าไปยังที่นั่งของตนเอง และนำโพยคำตอบไปติดไว้ใต้โต๊ะเพื่อใช้ดูระหว่างการสอบได้สำเร็จ

เช้าวันต่อมา

เป็นเวลา 7:40 น.

ทางมหาวิทยาลัยจัดให้นักศึกษาที่จะเข้าสอบมายืนรวมตัวกันอยู่หน้าตึกใหญ่ ซูเย่ยืนอยู่เพียงลำพังไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เห็นได้ชัดว่านักศึกษาจากคณะแพทย์แผนจีนทุกคนตั้งใจกันเขาออกมาเป็นคนนอก

สายตาที่ทุกคนมองมายังซูเย่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามและเย้ยหยัน

ซูเย่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่งยิ้มตอบกลับไป

เมื่อเห็นชายหนุ่มจากคณะวิจัยสมุนไพรจีนส่งยิ้มกลับมาให้อย่างอ่อนโยน กลุ่มเด็กจากคณะแพทย์แผนจีนก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

แววตาเหยียดหยามเย้ยหยันหายไปแล้ว ดูเหมือนซูเย่จะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร จึงไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องไปคอยรังแก

แต่เพียงวินาทีต่อมาเท่านั้น ใบหน้าของทุกคนก็ร้อนผ่าว!

เพราะหนุ่มหล่อผู้ยิ้มหวานคนนี้ล้วงหยิบบัตรสมาชิกของสมาคมแพทย์แผนจีนออกมาจากกระเป๋า และนำเข็มกลัดมาติดมันไว้บนอกเสื้อของตนเอง คล้ายกับต้องการจะให้ทุกคนได้เห็นว่าเขามีสถานะไม่ธรรมดาขนาดไหน!

ให้ตายสิ!

หลงเข้าใจคิดว่าเป็นคนดีแท้ ๆ !

แต่ที่ไหนได้ ซูเย่ก็เป็นพวกชอบทำตัวกร่างวางท่าอวดดีเหมือนกันนี่นา!

“ก็แค่ได้เป็นสมาชิกสมาคมจะภูมิใจอะไรนักหนาวะ?”

“ปล่อยให้มันได้ใจไปก่อนเถอะ รอให้เข้าห้องสอบก่อนดีกว่า รับรองว่าหมอนี่หนาวแน่!”

กลุ่มเด็กจากคณะแพทย์แผนจีนแอบสบถอยู่ในใจ

ซูเย่ยืดอกขึ้นและยังคงส่งยิ้มให้แก่ทุกคนรอบกาย

อยากมองนักใช่ไหม เชิญจ้องมองมาให้เต็มที่ได้เลย!

แต่จังหวะนั้น ผู้คุมสอบก็นำกระดาษข้อสอบมาแจกจ่ายพอดี

เมื่อเห็นบัตรสมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีนที่ติดอยู่บนหน้าอกของซูเย่ ผู้คุมสอบก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย

มีเด็กมหาลัยเข้าเป็นสมาชิกสมาคมได้ด้วยหรือนี่?

แสดงว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องมีความรอบรู้ไม่ใช่น้อย เพราะกว่าจะได้บัตรสมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีนมาครอบครอง เจ้าของบัตรก็ต้องผ่านการทดสอบจากทางสมาคมอย่างเข้มข้น

สงสัยคงต้องจับตาดูเด็กคนนี้ซะแล้วสิ

ผู้คุมสอบไม่แสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า เพียงแจกจ่ายกระดาษข้อสอบให้แก่ทุกคนต่อไป

เมื่อทุกคนเดินเข้าไปในห้องสอบ และนั่งประจำที่ของตนเองเรียบร้อย ผู้คุมสอบก็ประกาศว่า

“การสอบข้อเขียนครั้งนี้จะใช้เวลาสามชั่วโมง ทุกคนต้องทำข้อสอบด้วยตัวเองเท่านั้น ผมคงไม่ต้องเตือนเรื่องที่เหลืออีกแล้ว และผมก็เชื่อว่าเด็กมหาลัยนี้ ทุกคนรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ และผมก็เชื่อมั่นว่าผู้ที่ใฝ่ฝันจะเป็นแพทย์แผนจีนทุกคน ย่อมมีจรรยาบรรณดีพอที่จะไม่โกงข้อสอบของตัวเองเด็ดขาด”

ได้ยินดังนั้น

ผู้เข้าสอบทุกคนก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่การสอบครั้งนี้จะไม่มีคนโกงเข้าร่วมด้วย

แต่ทันใดนั้น มีหลายคนที่ต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า

สามชั่วโมงอย่างนั้นหรือ?

ก็แค่สอบข้อเขียน ทำไมถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น?

แต่เมื่อทุกคนได้เปิดดูกระดาษข้อสอบของตัวเอง พวกเขาก็ต้องเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ!

เพราะว่าข้อสอบที่พวกเขาต้องทำในวันนี้แตกต่างจากข้อสอบที่ต้องทำในวันธรรมดา การสอบข้อเขียนทั่วไปกระดาษข้อสอบจะมีไม่เกินสองหน้า แต่เช้าวันนี้ พวกเขาได้รับกระดาษข้อสอบถึง 20 หน้า!

และคำถามที่อยู่ในข้อสอบไม่ได้มีแค่ 50 ข้อ แต่มีทั้งหมด 1,000 ข้อ!

นอกจากจะต้องทำข้อสอบแบบปรนัยแล้ว หลายคำถามยังเป็นการทำข้อสอบแบบเติมคำในช่องว่าง การเขียนสรรพคุณสมุนไพร รวมถึงการวิเคราะห์โจทย์คนไข้ ฯลฯ เรียกได้ว่ามันเป็นข้อสอบที่มีความยากขั้นสูงสุดชนิดที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

“เฮือก…”

หลังจากเห็นข้อสอบที่ตัวเองต้องทำ ผู้เข้าสอบจำนวนมากก็ต้องสูดลมหายใจลึก

จะมีใครสามารถทำข้อสอบพวกนี้ได้จริง ๆ หรือ?

นี่มันตั้งใจกลั่นแกล้งกันชัด ๆ !

อย่าว่าแต่สามชั่วโมงเลย ให้ใช้เวลาทั้งวัน พวกเขาก็ไม่น่าจะทำเสร็จด้วยซ้ำ

“ขวับ!”

พลัน สายตาของนักศึกษาทุกคนหันกลับไปจ้องมองผู้คุมสอบ คล้ายกับอยากจะได้คำแนะนำเพิ่มเติม หรือขอเวลาเพิ่มอีกสักเล็กน้อย

แต่ผู้คุมสอบกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนกระทั่งมีเสียงกริ่งสัญญาณดังขึ้น เขาก็ตะโกนว่า

“เริ่มการสอบได้!”

“ครืดคราด…”

วินาทีต่อมา เหล่านักศึกษาก็เริ่มเขียนคำตอบทำข้อสอบอย่างรวดเร็ว

เวลาไม่เคยรอคอยผู้ใด ตอนนี้ พวกเขามีแต่ต้องทำให้สุดความสามารถเท่านั้น!

ซูเย่ก้มหน้ามองข้อสอบของตัวเอง ก่อนหยิบปากกาออกมา และเริ่มทำข้อสอบด้วยความเร็วไว

มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ตึกผู้บริหาร

ภายในห้องประชุม

หลี่เคอหมิงและอาจารย์อาวุโสอีกหลายท่านกำลังประชุมกันถึงการสอบรอบต่อไปในวันพรุ่งนี้

ตอนนี้พวกเขากำลังคุยกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด

“เด็กที่จะคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งได้ ต้องเป็นคนที่ดีที่สุดของที่สุดเท่านั้น ผมว่านักศึกษาลวี่อวิ๋นเผิงดูมีแววมากเลยนะ เดิมทีเด็กคนนี้ก็เป็นนักศึกษาท็อปห้าของที่นี่อยู่แล้ว ถ้าได้ขึ้นเป็นผู้ชนะ มหาลัยของเราคงมีภาพลักษณ์ดีขึ้นไม่น้อย”

อาจารย์อาวุโสคนแรกเอ่ย

“ผมไม่เถียงหรอกครับว่าลวี่อวิ๋นเผิงเก่งจริง”

อาจารย์พิเศษอีกคนหนึ่งพยักหน้า แต่ก็รีบกล่าวเสริมว่า “แต่ผมว่าลู่จวิ้นเด็กปีสี่ก็เก่งไม่แพ้ใครเหมือนกัน และถ้าดูเกรดเฉลี่ยโดยรวม ที่ผ่านมาลู่จวิ้นก็ทำได้ดีกว่าลวี่อวิ๋นเผิงด้วยซ้ำ”

“พวกคุณมัวแต่อวยเด็กสองคนนี้ จนลืมใครบางคนไปแล้วหรือเปล่า?”

ศาสตราจารย์อีกท่านหนึ่งพูดขึ้นมายิ้ม ๆ “หลี่ชินเอ้อไงล่ะ”

แล้วทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะขณะหันมามองหน้าหลี่เคอหมิง…

“ลูกผมไม่ชนะหรอก”

หลี่เคอหมิงรีบส่ายหน้าและโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“แต่ซินเอ้อมีคุณสมบัติครบถ้วนเลยนะ ถึงเธอจะอยู่แค่ปีสอง แต่ก็คลุกคลีกับแพทย์แผนจีนมาตั้งแต่เด็ก ระดับความรอบรู้ของเธอ อาจจะเทียบเท่าหรือดีกว่าพวกเด็กปีสี่ปีห้าก็ได้!”

ศาสตราจารย์คนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

ทำเอาคณะอาจารย์อาวุโสที่อยู่ร่วมโต๊ะประชุมคนอื่น ๆ ต้องพยักหน้าเห็นด้วย

แน่นอนว่านี่คือความพยายามที่จะประจบเอาใจหลี่เคอหมิงผู้มีสถานะเป็นคณบดีของคณะแพทย์แผนจีนเท่านั้น

“ครับ ลูกผมเป็นคนเก่ง แต่แกไม่ชนะหรอก”

หลี่เคอหมิงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มฝืดฝืน “เหตุผลแรกคือ แกเป็นลูกสาวของผม เกิดซินเอ้อเป็นผู้ชนะขึ้นมา แกก็คงหนีไม่พ้นข้อครหาว่าใช้เส้นพ่อจนได้ตำแหน่ง เพราะฉะนั้น ลูกผมอาจถูกเลือกก็จริง แต่แกไม่มีทางเป็นผู้ชนะเด็ดขาด!”

เมื่อเห็นสีหน้าแววตาที่จริงจังหนักแน่นของหลี่เคอหมิง ผู้ร่วมวงประชุมก็อดประทับใจไม่ได้

ถึงก่อนหน้านี้ พวกเขาจะรู้ว่าหลี่เคอหมิงมีบุคลิกลักษณะเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นคณบดี ทุกคนถึงได้รู้ซึ้งอย่างชัดเจนว่าหลี่เคอหมิงเป็นคนใจซื่อมือสะอาดขนาดไหน!

“เหตุผลที่สอง ผมคิดว่ามีเด็กคนหนึ่งที่สมควรเป็นผู้ชนะมากกว่าลูกผมเอง”

หลี่เคอหมิงพูดต่อ

“ใครเหรอครับ?”