“เจ้ากล้ามากที่มาโจมตีพวกเรา เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร?” สีหน้าของเฮยหยู่ดูไม่ดีเลย อสูรปีศาจหิมะตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขาคิดจะกินพวกเขา! พูดไปก็จะมีแต่คนหัวเราะเยาะ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นสองนายพลผู้ยิ่งใหญ่นะ!
อสูรปีศาจหิมะตะลึง จากนั้นส่ายหัวและพูด “ข้าไม่รู้” ใบหน้านางไม่มีร่องรอยของการโกหกเลย ดูท่าทางนางจะไม่รู้จักไป๋ตี้และเฮยหยู่จริงๆ
คราวนี้ถึงคราวที่เฮยหยู่ตะลึงแล้ว ทันทีที่เฮยหยู่เรียกสติคืนมาเขาก็ตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวทันที “ถึงเจ้าไม่รู้จักพวกเราเจ้าก็ควรจะสัมผัสลมหายใจอสูรปีศาจของเราได้สิว่าพวกเราแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก เจ้ายังกล้าโจมตีอีกหรือ?”
เวลานี้อสูรปีศาจหิมะไม่ได้มีความกลัวอีกต่อไปแล้ว แต่มีความดูถูกปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง และพูดอย่างเย็นชา “ทุกวันนี้ลมหายใจของอสูรปีศาจที่ทรงพลังมีตั้งมากมาย ลมหายใจอสูรปีศาจก็เป็นเพียงหน้ากากเพื่อปกปิดความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้นไม่ใช่หรือ อีกอย่างนะ หากข้าโจมตีพวกเจ้าไม่สำเร็จข้าก็แค่หนี ข้าก็จะแปลงร่างกลายเป็นหยดน้ำ และตราบใดที่หยดน้ำออกไปได้ ข้าก็จะหนีไปได้”
เมื่อคำพูดของอสูรปีศาจหิมะจบลง ไป๋ตี้และเฮยหยู่ก็เข้าใจทันที ไม่แปลกใจที่อสูรปีศาจตนนี้มีความมั่นใจ เพราะหยดน้ำนับไม่ถ้วนต่างก็กระเซ็นไปทุกทิศทาง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับพวกมันมาได้ทั้งหมด อสูร ปีศาจตนนี้ถือว่ามีวิธีการที่ดี แต่ว่าอสูรปีศาจหิมะทำเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ระวังน้ำเสียงของเจ้าด้วย! ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษของข้าอยู่นะ!” ชีอ้าวชวางพูดอย่างเย็นชา จากนั้นเขตกั้นก็ร้อนยิ่งขึ้นและอสูรปีศาจหิมะก็กรีดร้องขอความเมตตาไม่หยุด
แต่คำพูดก่อนหน้านั้นของอสูรปีศาจหิมะทำให้ไป๋ตี้และเฮยหยู่งุนงง “ลมหายใจอสูรปีศาจปกปิดความแข็งแกร่งหมายความว่าอย่างไรกัน?” ไป๋ตี้และเฮยหยู่มองหน้ากันแล้วต่างก็เห็นความประหลาดใจและไม่เข้าใจในแววตาของอีกฝ่าย ลมหายใจอสูรปีศาจที่ทรงพลังมีอยู่ทุกหนทุกแห่งคืออะไร? ลมหายใจอสูรปีศาจมีไว้ปกปิดความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้เป็นการแสดงให้เห็นความสามารถของตัวเองแล้ว? มันหมายความว่าอะไรกันแน่? ดูเหมือนว่าหลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว โลกแห่งอสูรปีศาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้นะ
“พวกเจ้าโผล่…เอ่อ พวกเจ้ามาจากที่ไหนกัน? ไม่ได้ออกมาดูรอบๆ นี้มานานแล้วหรือ?” อสูรปีศาจหิมะคิดจะพูดว่าพวกเขาโผล่มาจากไหน แต่พอเห็นสายตาเย็นชาของชีอ้าวชวางก็เปลี่ยนคำพูดทันที นางรู้สึกแปลกใจมาก ชายรูปงามทั้งสองนี้ดูชัดเจนว่าเป็นเผ่าอสูรปีศาจระดับสูงแต่กลับถามคำถามอะไรที่ไม่น่าถามเช่นนี้
“ข้าไม่ได้ออกมาดูรอบๆ เกือบจะพันปีแล้ว” ไป๋ตี้พูดเรียบๆ “บอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ท่าทีของอสูรปีศาจหิมะดูเข้าใจว่าที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง จากนั้นก็กระแอมในลำคอแล้วพูด “หากข้าบอกพวกเจ้า พวกเจ้าต้องปล่อยข้าไปนะ”
เวลาต่อมาอสูรปีศาจหิมะก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเพราะว่าชีอ้าวชวางทำให้เขตกั้นร้อนขึ้นอีกครั้ง ร่างกายดั้งเดิมของอสูรปีศาจตนนี้ก็คือหิมะ สิ่งที่พวกมันกลัวที่สุดก็คือความร้อนและไฟ พอตอนนี้ต้องมาถูกชีอ้าวชวางผิงไฟใส่แบบนี้ก็เจ็บปวดมาก หากเป็นไฟธรรมดานางไม่กลัวหรอก แต่ไฟที่ชีอ้าวชวางปล่อยออกมามันไม่เหมือนไฟทั่วไปเลยสักนิด!
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าชีวิตเจ้าอยู่ในกำมือข้า” ชีอ้าวชวางมองอสูรปีศาจหิมะที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเบา “บอกสิ่งที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด ไม่ต้องมาทำอ้อมค้อม!”
“ข้า ข้ารู้แค่ว่าตอนนี้ทุกพื้นที่มีแต่ความวุ่นวาย ในบางที่ก็มีลมหายใจอสูรปีศาจอยู่เต็มไปหมด ใครๆ ก็ไปสูบลมหายใจอสูรปีศาจนั้นได้ ดังนั้นจึงทำให้แยกแยะความแข็งแกร่งจากลมหายใจอสูรปีศาจไม่ได้เลย” อสูรปีศาจหิมะที่เดิมทีหน้าไม่มีสีเลือดอยู่แล้วตอนนี้ก็ยิ่งขาวซีดไปกันใหญ่ นางมองชีอ้าวชวางอย่างหวาดกลัวและพูดอย่างระมัดระวัง ในสายตาของนาง มนุษย์ผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าอสูรปีศาจทั้งสองที่อยู่ข้างกายของนางเสียอีก จากนั้นอสูรปีศาจหิมะจึงพูดเสียงเบา “หากข้ารู้ว่าพวกเจ้าน่ากลัวขนาดนี้ข้าก็คงหนีไปไกลแล้ว ใครจะกล้ามาหาเรื่องพวกเจ้าล่ะ” อสูรปีศาจหิมะพูดเสริมในใจ ‘ถ้ารู้อย่างนี้ข้าก็คงไม่มาโจมตีพวกเจ้าเพียงลำพังหรอก’
“ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้ล่ะ?” ไป๋ตี้นิ่งแล้วในใจก็มีความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมา
“ข้า ข้าจะไปรู้ได้ไงล่ะ!” อสูรปีศาจหิมะเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของไป๋ตี้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าอายุแค่ห้าร้อยปีเท่านั้นเอง เช่นนั้นก็แสดงว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นหลังจากสงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อพันปีก่อนแล้ว อีกอย่างสถานที่ที่พวกเจ้าอยู่ในตอนนี้ก็ไม่มีอสูรปีศาจระดับสูงที่ไหนเข้ามากันด้วย ดังนั้น ดังนั้นข้าก็เลย…” ข้าก็เลยโจมตีพวกเจ้าไง ประโยคหลังนี้อสูรปีศาจหิมะไม่กล้าพูดออกไป
ไป๋ตี้และเฮยหยู่มองหน้ากันแล้วก็เข้าใจ หลังจากเรื่องนั้น โลกอสูรปีศาจคงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สถานที่ในโลกอสูรปีศาจคงเปลี่ยนไป และอสูรปีศาจบางชนิดก็คงจะเปลี่ยนไปด้วย ดูจากอสูรปีศาจหิมะที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นตัวอย่าง สมัยก่อนอสูรปีศาจหิมะทำได้แค่ปล่อยพายุหิมะธรรมดาออกมาทำให้วัตถุเป็นน้ำแข็งเท่านั้น แปลงร่างเป็นหยดน้ำนับไม่ถ้วนแบบนี้เพื่อจะทำการหลบหนีไม่ได้หรอก
“ดูท่าทางคงจะต้องหาเขาให้พบก่อน เราถึงจะได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น” ไป๋ตี้พูดเรียบๆ
“อืม” เฮยหยู่พยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปมองบริเวณรอบๆ
เขา? เขาไหน? ชีอ้าวชวางขมวดคิ้ว หรือว่าจะเป็นราชาอสูรปีศาจที่ไป๋ตี้และเฮยหยู่เคยพูดถึง
ชี้อ้าวชวางเพิ่งจะได้สังเกตบริเวณโดยรอบ เวลานี้พวกเขากำลังอยู่ในป่าลึก แค่ต้นไม้เหล่านี้เป็นสีดำทั้งหมด แถมยังดูเหมือนตายไปแล้วอีก ผลึกสีดำที่เกาะอยู่ที่ต้นไม้ดูแปลกตา พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเพียงแค่ท้องฟ้าสีเทาๆ เท่านั้น
“เช่นนั้นปล่อยข้าได้แล้วหรือไม่? ข้าบอกทุกอย่างที่ข้ารู้ไปหมดแล้ว” อสูรปีศาจหิมะมองชีอ้าวชวางแล้วถามอย่างระมัดระวัง
“สถานการณ์ของโลกอสูรปีศาจในตอนนี้เป็นอย่างไร?” ไป๋ตี้ถามเสียงเรียบ
“ข้า ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก” อสูรปีศาจหิมะใกล้จะร้องไห้อยู่แล้ว นางรู้ว่าตอนนี้กลุ่มคนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้าไม่ควรมีเรื่องด้วยเลย แต่กลุ่มที่มีความแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้มาปรากฏตัวในที่รกร้างห่างไกลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
“ราชาอสูรปีศาจล่ะ? ผู้พิทักษ์ทั้งสี่และราชาอสูรปีศาจทั้งแปดล่ะ? พวกเขาทำอะไรอยู่? โลกอสูรปีศาจเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้พวกเขาไม่ออกมาตรการอะไรมาจัดการเลยหรือ?” เฮยหยู่ขมวดคิ้วถาม สถานการณ์เช่นนี้เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นการทำลายความสมดุลของโลกอสูรปีศาจ ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ล่ะ? หรือว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่สนใจเลย?
“ขะ ข้าไม่รู้ ส่วนมากข้าก็วิ่งเล่นอยู่ในป่านี้ไม่ได้ออกไปไกลมาก ไกลสุดก็เมืองที่อยู่รอบๆ นี้เอง สิ่งที่ข้าได้รู้ก็มาจากที่นั่นแหละ เรื่องอื่นๆ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” อสูรปีศาจหิมะส่ายหัวไม่หยุดและพูดด้วยความหวาดกลัว “ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นะ ปล่อยข้าไปเถอะ”
ชีอ้าวชวางคลายเขตกั้นแล้วอสูรปีศาจหิมะก็หนีไปทันที
“ป่าแห่งนี้ดูเหมือนจะถูกพลังบางอย่างเข้ามาปะปน พวกมันเลยตายกันหมดแล้ว” ไป๋ตี้มองต้นไม้สีดำรอบๆ แล้วพูดออกมา
“เราออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า” เฮยหยู่ขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบที่นี่เลยจริงๆ
ชีอ้าวชวางสีหน้าเคร่งขรึม ทำไมคามิลล์ถึงส่งนางมาที่แห่งนี้ล่ะ?
ทั้งสามคนเดินไปข้างหน้า ในขณะที่เดินไป๋ตี้ก็พูดไปด้วย “อ้าวชวาง ที่นี่คือโลกของพวกเรา” ไป๋ตี้ไม่เข้าใจว่าคามิลล์ต้องการจะทำอะไร เดิมทีเขาและเฮยหยู่วางแผนที่จะกลับโลกอสูรปีศาจอยู่แล้ว แต่ทำไมคามิลล์ถึงส่งชีอ้าวชวางมาด้วยล่ะ?
“เหมียว!” แมวล่าสมบัตินอนหมอบอยู่บนไหล่ของชีอ้าวชวางกวัดแกว่งอุ้งเท้าและจ้องมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาสีอำพันของมัน
“ตอนนี้เจ้าคงกลับไม่ไปได้อีกสักพักเลย” เฮยหยู่พูด “ประตูสู่โลกมนุษย์ต้องรวมพลังของพวกเราทั้งสามคนจึงจะเปิดได้ ถ้าเจ้าอยากกลับไปเราจะต้องหาเขาให้พบ”
เขา? ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ “เขาคือราชาอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่เจ้าพูดใช่หรือไม่?”
“อื้ม” เฮยหยู่พยักหน้าจากนั้นก็เลิกคิ้ว “แต่ข้าไม่รู้ว่าคามิลล์เกิดคิดอะไรขึ้นมาถึงส่งเจ้ามากับพวกเราด้วย”
“อ้าวชวาง…” สีหน้าของไป๋ตี้ในตอนนี้ดูไม่ค่อยดีนัก เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าฟังข้าก่อนนะ”
ไม่ทันที่ชีอ้าวชวางจะพูดอะไร เฮยหยู่ก็พูดเยาะเย้ยมาก่อน “เจ้าจะพูดอะไร? เจ้าจะบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ไปหาชีอ้าวชวางในตอนแรกงั้นหรือ?”
หมายความว่าอะไร? ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วมองใบหน้าที่ดูถูกของเฮยหยู่และการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของไป๋ตี้แล้วก็เข้าใจว่าต้องมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น
“ตอนแรก…พลังของเราหายไป เราจำเป็นต้องฟื้นฟูพลังอย่างช้าๆ และก่อนที่เราจะฟื้นคืนพลังอย่างเต็มที่เราจึงค่อนข้างอ่อนแอ ตอนที่ข้าพบเจ้า พลังของข้ายังอยู่ในช่วงที่ไม่มั่นคง ดังนั้น…” ไป๋ตี้ยังไม่ทันพูดประโยค เฮยหยู่ก็พูดต่ออย่างขมขื่น “อย่าพูดว่าเรา เจ้าต่างหาก เจ้าไปหาอ้าวชวางก่อนเพราะว่าร่างกายของเจ้าอ่อนแอและต้องการหาจิตวิญญาณที่มาปกป้อง ดังนั้นเขาจึงเน้นไปที่ศักยภาพยิ่งใหญ่ของอ้าวชวาง จึงพยายามจะสร้างพันธะแบบนายและผู้รับใช้กับอ้าวชวาง ผลก็คือถูกอ้าวชวางปฏิเสธพันธะ ตอนนี้เลยกลายเป็นพันธะที่เท่าเทียมกันทั้งหมด”
สีหน้าของไป๋ตี้กลายเป็นขาวซีด แม้ว่าในตอนแรกเขาจะมีแผนเช่นนั้น แต่หลังจากที่ได้สัมผัสกับชีอ้าวชวาง จิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัวเลย
ชีอ้าวชวางเข้าใจในทันที นางมองใบหน้าซีดเซียวของไป๋ตี้และมองสายตาที่มีชัยของเฮยหยู่ จากนั้นชีอ้าวชวางก็ยิ้มจางๆ และพูด “มันก็ไม่ผิดกับที่ข้าคาดเดามากนัก ข้าก็ไม่ได้เดือดร้อนนี่ พวกเจ้าก็ช่วยข้าไว้”
ไป๋ตี้ตะลึง เขาหันหน้าไปมองชีอ้าวชวาง คิดว่าจะเห็นความโกรธและการตำหนิในดวงตาของชีอ้าวชวาง แต่เขากลับเห็นเพียงแค่ความสงบเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าชีอ้าวชวางไม่ได้สนใจจุดประสงค์ในตอนต้นของไป๋ตี้เลย
พอเห็นเช่นนี้ เฮยหยู่ก็ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าหายตัวมาเช่นนี้ ลูกพี่ลูกน้องคงจะต้องกังวลมาก คามิลล์คิดจะทำอะไรกันแน่? ทำไมเขาถึงส่งข้ามาที่นี่ล่ะ?” ชีอ้าวชวางกัดริมฝีปากเบาๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัย ทันใดนั้นชีอ้าวชวางก็จำสิ่งที่คามิลล์พูดเป็นครั้งสุดท้ายได้ ‘ไปเถอะ เสี่ยวอ้าวชวาง รีบเติบโตขึ้นเร็วๆ นะ ที่นี่ไม่เหมาะกับการเติบโตของเจ้าแล้ว’
อยากให้นางเติบโตให้เร็วขึ้น? โลกมนุษย์ไม่เหมาะกับการเติบโตของนางจึงให้นางมาอยู่ในโลกอสูรปีศาจงั้นหรือ? แต่ทำไมคามิลล์ถึงทำเช่นนี้ล่ะ?
“ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่โลกมนุษย์” ไป๋ตี้พูดพร้อมกับมองชีอ้าวชวาง
“ฮ่าๆ ช่างพูดได้ยิ่งใหญ่จริงๆ” เฮยหยู่พูดอย่างเหยียดหยาม “ถ้าข้าไม่ร่วมมือกับเขา เขาจะเปิดประตูที่นำไปสู่โลกมนุษย์ได้หรือ? แม้ว่าเจ้าจะส่งนางกลับไป ถึงเวลานั้นโลกมนุษย์จะยังคงอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้”
“หมายความว่าอะไร?” สีหน้าของชีอ้าวชวางเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางฟังออกว่ามีอะไรบางอย่างในคำพูดของเฮยหยู่
“ง่ายมากๆ เลย สงครามศักดิ์สิทธิ์กำลังจะปะทุขึ้นแล้ว โลกปีศาจภูตและโลกเทพเจ้าก็จะเริ่มสงครามกันแล้ว ส่วนโลกอสูรปีศาจของเราจัดอยู่ในประเภทที่ไม่เข้ากับใคร หากฝ่ายไหนอ่อนแอเราก็จะช่วยฝ่ายนั้น เราช่วยฝ่ายของโลกปีศาจภูตมาตลอดเพราะหากโลกปีศาจภูตล่มสลายไป ลำดับต่อไปก็จะมาถึงโลกอสูรปีศาจของเรา ในทางกลับกัน หากโลกเทพเจ้าล่มสลาย โลกปีศาจภูตก็จะเข้าไปยึดครองโลกเทพเจ้า แล้วจุดหมายต่อไปก็จะเป็นโลกอสูรปีศาจ และโลกมนุษย์ โลกมนุษย์เป็นโลกที่อยู่ภายใต้โลกเทพเจ้า ดังนั้นจินตนาการได้เลยว่าหากโลกปีศาจภูตชนะ โลกมนุษย์ก็จะกลายเป็นสวรรค์แห่งอาหารของเหล่าภูตผีปีศาจแน่นอน”