บทที่ 12 ความทรงจำในอดีต (1) โดย Ink Stone_Romance
ทันใดนั้นร่างกายของฉู่ฉีเฟิงก็แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ใจจริงเขาอยากยื่นมือไปกอดนาง แต่มือของเขากลับหยุดอยู่กลางอากาศ นิ้วมือกระดิกเล็กน้อย เขาลังเลสักพักแล้วประคองไหล่ทั้งสองข้างของฉู่สวินหยางพลางผละนางออกไป
“ร้องไห้ทำไมกัน?” ฉู่ฉีเฟิงยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้านาง
“ข้า…” ฉู่สวินหยางแย้มปากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
เดิมทีการตายของฉู่ฉีฮุยมีความเป็นไปได้ห้าส่วน เป็นเพราะตอนนี้เกิดเรื่องกะทันหันจนทำให้ทุกคนไม่ทันตั้งตัว
ความจริงแล้วเรื่องที่เกิดไม่ถือว่าเลวร้าย อย่างน้อยก็แค่ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าคนร้ายคือฉู่ฉีเฟิง แต่ไม่อาจปิดหูปิดตาฮ่องเต้ได้ แม้กระทั่งฉู่อี้อันก็ยังหลงเหลือบาดแผลลึกในใจ
“ท่านพี่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เชื่อใจท่าน” สุดท้ายนางเพียงแต่เม้มปากแล้วพูดทวนอีกรอบอย่างหนักแน่น
ฉู่ฉีเฟิงยิ้มตาหยีพลางเอื้อมมือไปลูบเสยเส้นผมยุ่งเหยิงของนาง แล้วยังมีกระจิตกระใจพูดล้อเล่นว่า “เชื่อใจข้าเรื่องอะไร? เชื่อว่าเรื่องนี้ข้าไม่ได้เป็นคนทำงั้นหรือ?”
ฉู่สวินหยางขมวดหัวคิ้ว
นางมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉู่ฉีเฟิง หากฉู่ฉีเหยียนเป็นคนวางอุบายนี้จริงเขาต้องใช้วิธียุแยงตะแคงรั่วคนในของตระกูลฉู่ฉีฮุยให้หวาดระแวงกันเอง แผนนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูงนัก
หากถูกคนใส่ร้ายป้ายสี เดิมทีนางนึกว่าฉู่ฉีเฟิงคงไม่อยากจะคุยเรื่องนี้สักเท่าไรนัก
ตอนนี้ฉู่ฉีเฟิงเปิดปากพูด แต่นางกลับไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไรดี
ฉู่ฉีเฟิงจัดทรงผมให้นางเป็นระเบียบเรียบร้อย เขายังคงสีหน้านิ่งสงบมองดูนางพลางพูด “สวินหยาง ข้าไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร แม้กระทั่งฮ่องเต้จะทรงมองว่าข้าคนอย่างไรก็ตามแต่ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้าหรอก เพียงแต่…”
ขณะที่เขาพูดทันใดนั้นก็หยุดชะงัก พอเขากำลังจะอ้าปากรอยยิ้มของเขาก็ค่อยเลือนหายไป จากนั้นสายตาของเขาก็จดจ่ออยู่ที่นางแล้วพูดต่อว่า “หากเรื่องนี้ข้าเป็นคนทำจริงๆ ล่ะ?”
ฉู่สวินหยางไม่แม้แต่จะไตร่ตรองให้ดีก่อน นางก็พูดโพล่งออกไป “ถึงอย่างนั้นท่านก็ทำถูกแล้วล่ะ!”
แน่นอนว่าเป็นเพียงคำพูดล้อเล่นก็เท่านั้น ทำให้ฉู่ฉีเฟิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“ท่านพี่…” ฉู่สวินหยางกุมมือเขาแน่น เมื่อครู่เขาเร่งรุดมาที่นี่ เพราะว่ารีบร้อนมากทำให้มือของเขาร้อนผ่าว
“ไม่ว่าท่านทำอะไรลงไปหรือท่านจะทำอะไรก็ตาม เขาจะเชื่อใจท่านตลอดไป ข้าก็จะอยู่ข้างท่านเสมอ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!”
เสียงของฉู่สวินหยางหนักแน่น ทุกๆ คำที่นางพูดออกมาช่างเด็ดเดี่ยวทรงพลัง
ฉู่ฉีเฟิงมองดูแสงที่อยู่ในดวงตาของนางสะท้อนออกมา หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จนสุดท้ายเขายิ้มเจื่อนๆ แววตาของเขาก็มองไปไกลยังที่ที่ฉู่อี้อันเพิ่งเดินออกไปพลางพูดว่า “เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อก่อน จะว่าไปคนที่เจ็บปวดใจกับเรื่องนี้มากที่สุดก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น!”
สายตาของฉู่สวินหยางหม่นหมองแลตาตามสายตาของเขาไปครู่หนึ่ง นางฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราสองคนอยู่ที่นี่คงจะไม่เหมาะเท่าไรนัก!”
ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงถูกมองว่ารวมหัวสมรู้ร่วมคิดกัน ตอนนี้ทุกคนต่างใช้สายตาที่หวาดระแวงพิเคราะห์ฉู่ฉีเฟิง หากว่าพวกเขาสองคนมีคนใดคนหนึ่งที่เข้าไปใกล้ฉู่อี้อันล่ะก็จะถูกมองว่าเป็นวัวสันหลังหวะ
“เจ้ารีบไปเถอะ!” ฉู่ฉีเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจแล้วพูดต่อว่า “ไม่ว่าฉู่ฉีฮุยจะเป็นคนไร้น้ำยาก็ดี หรือเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตก็ดี สำหรับท่านพ่อแล้วไม่มีใครสามารถแทนที่เขาได้ แม้ว่าตอนี้ท่านพ่อไม่พูดอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อเถอะ ถือเสียว่าทำแทนข้าก็แล้วกัน”
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกหน้า ก่อนที่นางจะหันกลับไปนางรู้สึกว่าตนเองไม่อาจปล่อยวางได้จึงแหงนหน้ามองเขา “ท่านพี่ ท่านพ่อจิตใจใสดุจกระจกเงา ภายในใจท่านพ่อรู้ดีกว่าใครว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ท่านพี่ก็อย่าได้คิดมากไปเลย คนตายไปแล้วย่อมไปสู่สุคติที่ดี แต่ว่าอย่างน้อยท่านพ่อยังมีท่านอยู่นะ!”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มพลางขานรับ แววตาส่องแสงแวววาวราวกับอารมณ์ที่ลอยละล่องไปไกลที่ไม่อาจอธิบายได้ พอฉู่สวินหยางกำลังเพ่งมองดูให้แน่ชัดกลับไม่อาจจับต้องความรู้สึกนั้นได้
เมื่อมองนางเดินกลับไป ฉู่ฉีเฟิงก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับตัว
เหลือเพียงไม่กี่ชั่วยามก็ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป
เจี่ยงลิ่วกระวนกระวายใจเดินไปข้างหน้าสองก้าวพลางเอ่ยปากถาม
“คังจวิ้นอ๋อง ท่านจะไม่ไปดูไท่จื่อหน่อยหรือขอรับ?”
“ไปดูอะไร?” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มเย็นชา สำหรับเรื่องการตายของฉู่ฉีฮุยเขาไม่มีแม้แต่ความรู้สึกโศกเศร้า เขาหันไปมองเจี่ยงลิ่วแวบหนึ่ง พูด “จะให้ไปหาท่านพ่อให้เขาช่วยแก้ต่าง อธิบายให้ทุกคนรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับข้างั้นรึ?”
คนนั้นก็ลูก คนนี้ก็ลูก จะตัดเนื้อก้อนไหนทิ้งไปฉู่อี้อันคงเจ็บปวดใจ
เจี่ยงลิ่วพูดไม่ออกทำตัวไม่ถูก สายตามองต่ำพูดว่า “ข้าน้อยเพียงแต่รู้สึกว่า…”
เขาพูดถึงกลางคันก็ไม่กล้าพูดจนจบ
เมื่อฉู่ฉีฮุยตายไปเขาจะต้องตกเป็นขี้ปากของคนนอกเป็นแน่ อย่างน้อยคังจวิ้นอ๋องก็ควรที่จะออกมาพูดถึงทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องการตายของพี่ชายคนโตสักหน่อยหรือไม่?
ฉู่ฉีเฟิงมองเขาทะลุปรุโปร่งภายในพริบตาเดียว แล้วเดินผ่านข้างลำตัวเจี่ยงลิ่วไปยังเรือนจิ่นโม่พลางพูดน้ำเสียงไร้ความรู้สึกว่า “หากทุกคนประจักษ์แก่ตาว่าใต้หล้านี้มีเพียงข้าคนเดียวที่ปรารถนาจะให้เขาตาย แม้ว่าข้าสมความมุ่งมาดปรารถนาแล้ว เหตุใดต้องจงใจปิดบังด้วยเล่า?” เจี่ยงลิ่วเมื่อได้ยินเช่นนั้นใจก็สั่นระรัว ซ้ำยังเหงื่อออกไม่หยุด เดิมทีเขาจะสังเกตการณ์รอบๆ แม้เขาจะแน่ใจว่าบริเวณนั้นไม่มีคนแอบฟังก็ตาม แต่เขาก็ยังนึกถึงความปลอดภัยรอบบริเวณนั้น
หลายปีมานี้แม้ว่าฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีฮุยไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก แต่อย่างน้อยความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่แย่ หากไม่เกิดเรื่องที่ฉู่ฉีฮุยคิดจะลงมือลอบสังหารฉู่สวินหยาง ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเป็นเพราะเรื่องที่พวกเขาสองคนบาดหมางกันจึงทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ขึ้น
แต่สำหรับการตายของฉู่ฉีฮุยในครั้งนี้…
ท่าทีของฉู่ฉีเฟิง ทำให้กระทั่งเจี่ยงลิ่วที่เติบโตมาพร้อมกันและคอยติดตามเขามาโดยตลอดยังรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่อยากพูดอะไรมาก เขานิ่งเฉยแล้วเดินกลับไปยังลานบ้านเพียงคนเดียว
ณ เรือนซืออี้
ห้องหนังสือของฉู่อี้อัน
ฉู่สวินหยางผลักประตูห้องหนังสือ นางถืออภิสิทธิ์เข้ามาโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว
ตอนนั้นฉู่อี้อันปิดประตูห้องขังตนเองอยู่ด้วยความรู้สึกเศร้าโศกราวกับไม่ได้นึกหวังว่าจะมีผู้ใดเข้ามาในห้อง เขานั่งอยู่หลังโต๊ะแล้วหรี่ไฟจัดการเอกสารราชการต่อ
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปมองดูเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอีกทั้งไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว นางอึดอัดใจสุดจะทนพลางเรียกเขา “ท่านพ่อ!”
“อืม!” ฉู่อี้อันตอบอย่างนิ่งๆ แต่ไม่เงยหน้าขึ้นมา ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วก็วางพู่กันลงไป จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมาพูดว่า “พี่รองของเจ้าส่งเจ้ามาหรือ?”
ฉู่สวินหยางนิ่งงันเบิกตากว้างจ้องมองเขา ตกตะลึงชั่วขณะแล้วจึงพยักหน้าตอบว่า “ใช่ค่ะ! ท่านพี่เป็นห่วงท่านจึงให้ข้ามาดูสักหน่อย ท่านพ่อเรื่องของพี่ใหญ่แม้ว่าจะเกิดขึ้นกะทันหัน แต่ว่า…”
“ซินเป่า!” ฉู่ฉีอันยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น พอพูดถึงเรื่องนี้ดูเหมือนเขาจะยิ่งฟุ้งซ่าน เขายังไม่ทันพูดจบนางก็ตัดบท “หลายปีมานี้ท่านพ่อยังมีอะไรที่ไม่กระจ่างอีกหรือ? โชคชะตาฟ้าลิขิต ท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
“แต่ว่า…” การตายของฉู่ฉีฮุย ไม่ใช่ว่าฉู่อี้อันจะไร้ความรู้สึก แต่ท่าทีของเขาให้ความรู้สึกคลุมเครือยิ่งนัก
ฉู่อี้อันเหลือบมองสายตาที่วิตกของนาง ริมฝีปากขยับเม้มปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดิมทีเขาตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คืนนี้ในใจรู้สึกเหนื่อยล้าอิดโรย ขณะกำลังตะขิดตะข่วงใจก็หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งพลางเอ่ย “ข้ายังมีเอกสารราชการอีกหลายฉบับที่ต้องสะสาง ภายในช่วงเวลานี้เจ้าไปบอกฉู่ฉีเฟิงให้เขาหาวิธีจัดการปิดปากเสียงนกเสียงกาให้เรียบร้อย เรื่องภายในของเราห้ามเกิดเรื่องวุ่นวายโดยเด็ดขาด!”
หากฟังจากคำพูด ฉู่อี้อันแฝงเจตนาไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูดออกมา
ฉู่สวินหยางได้ฟังคำพูดเหล่านี้เหมือนยกภูเขาออกจากอก มองดูท่าทีของฉู่อี้อันก็ดูออกว่าเขาต้องการอยู่เงียบๆ คนเดียวจากนั้นนางได้บอกให้เขาระวังสุขภาพ แล้วก็ขอตัวลาเดินออกมาจากห้องนั้น
หลังจากที่ฉู่สวินหยางออกไป ฉู่อี้อันก็วางพู่กันแล้วหลับตาเอนพิงเก้าอีกสักพัก เม้มปากยิ้มขื่นออกมา
โชคชะตาฟ้าลิขิต? โชคชะตาฟ้าลิขิต!
ที่แท้เขาไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา แต่เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหกราวกับกงเกวียนกำเกวียนเมื่อคราวเขายังหนุ่มเยาว์ช่างโง่เขลา ฮึกเหิมกล้าได้กล้าเสีย ผ่านมาถึงตอนนี้กรรมที่เขาได้รับก็คือ ‘ชะตาชีวิต’ เมื่อเขาต้องการพลิกฝืนชะตาฟ้าลิขิตก็ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ ต้องตัดสินใจเลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะสิ้นสุดลง…
ทันใดนั้นเขาก็เลี่ยงไปนึกถึงเหลียงซี พลางหวนนึกถึงคราที่นางไม่ยอมรับคำพูดของเขา ในขณะนั้นเป็นการปฏิเสธครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้ายของนาง
ตอนนั้นเขาหาทางเข้าวังไป ตามหานางด้วยจิตใจว้าวุ่น ในสุดท้ายเขาก็เจอนางที่ห้องหนังสือที่กว้างขวาง
ตอนนั้นนางรูปร่างแลอรชนอ้อนแอ้นกำลังจัดเก็บรวบรวมตำราหนังสือที่อยู่บนโต๊ะของตนเอง นางแหงนหน้ามองเขาพลางยิ้มหยดย้อยแล้วขานเรียกเขาว่า “ศิษย์พี่!”
————————————–