บทที่ 12.2 ความทรงจำในอดีต (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 12 ความทรงจำในอดีต (2) โดย Ink Stone_Romance

“หานซิน…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางยันบานกบประตู พยายามที่จะสงบสติอารมณ์และควบคุมลมหายใจนานนม จากนั้นจึงก้าวเดินออกไปยังโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าแล้วนั่งลง

ที่นี่เป็นห้องที่เขาไม่ได้มานานสามปีเต็ม รูปร่างกำยำล่ำสันนั่งลงบนโต๊ะรู้สึกได้ว่าพื้นที่คับแคบอึดอัดขึ้นมาทันใด

ทว่าสำหรับเหลียงซีลมฝนก็ไม่อาจหยุดยั้งนางได้ ทุกวันยังคงมาที่นี่เพื่อฟังท่านอาจารย์ใหญ่อบรมบ่มวิชาให้ นางบอกว่านางชอบบรรยากาศการศึกษาวิชา เพียงแค่นางมีเวลาหนึ่งวันก็จะรีบรุดมาที่นี่ จนกระทั่ง…

“เจ้า…” เขาเบนสายตามองไปยังมือที่กำลังรวบรวมกองหนังสือบนโต๊ะ ทันใดนั้นจิตใจก็หวาดหวั่นฉับพลัน

ก่อนที่เขาจะมาได้ให้คนมาสืบแล้วว่าฮ่องเต้ได้ทรงถ่ายทอดคำสั่งให้นางอภิเษกสมรสแล้วจริงๆ

“เจ้ารักเขาหรือไม่?” เขาถามออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ

กลัวว่าจะได้ยินคำตอบยืนยันแน่วแน่ของนาง

“นี่ไม่เกี่ยวเลยว่าข้ารักหรือไม่รักเขา เพียงแต่..” เหลียงซีตามองต่ำ รอยยิ้มบนใบหน้าสง่างามและสงบนิ่งพลางพูดว่า “ศิษย์พี่ท่านยังไม่อวยพรงานมงคลสมรสครั้งนี้ให้ข้าเลยนะ!”

แววตาของนางใสบริสุทธิ์ไม่ตระหนกแม้แต่น้อย

ครั้งหนึ่งเขาเคยนึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะสำเร็จเหมือนดังน้ำมาคลองก็เกิด ไม่จำเป็นต้องจงใจพูดออกมา แต่ครั้งนี้มองแววตาที่สงบนิ่งของนางทำให้เขารู้สึกว่าเขาคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า?

“หานซิน”เขาควบคุมสติที่ล่องลอยและพยายามที่จะระงับจิตใจที่คลุ้มคลั่งพลางพูดว่า “หาก…ข้าต้องการให้ถอนหมั้นครั้งนี้ล่ะ?”

ทั้งสองจดจ้อง สายตาประสานกัน

สายตาของเขามีความจริงใจและมีศรัทธาอันแรงกล้า กระวนกระวายใจจนแทบลืมหายใจ

ผ่านไปสักพักเหลียงซีก็หัวเราะออกมาพลางพูด “หากข้าไม่อยากแต่งงาน เอาใครมาฉุดก็หยุดข้าไม่ก็อยู่หรอก เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง ศิษย์พี่ท่านก็รู้ดี ช้านานข้าก็ต้องไปจากเมืองหลวงแห่งนี้”

นางไม่ได้ซักไซ้ว่าเหตุใดเขาจึงอยากให้นางถอนหมั้น ลึกๆ แล้วนางเข้าใจดีว่าเขามีใจให้ นางจึงไม่ได้หันหน้าหนีแล้วปฏิเสธเขาทันที นางเลือกที่จะแต่งเข้าเป็นเจ้าสาวที่สุภาพอ่อนโยนอยู่ข้างกายชายอื่น

“เพราะเหตุใด?” ฉู่อี้อันถามนาง เขานึกแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็รุ่มร้อนดุจไฟเผาไหม้ น้ำตาเอ่อล้นไหลรินเจ็บปวดแสนสาหัส “เจ้ารู้ดีแก่ใจว่าข้าคิดเช่นไรกับเจ้า อย่างน้อยเจ้าให้โอกาสข้าสักหน่อย ตอนนี้…”

“ข้าแค่ไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับท่านแล้ว” เหลียงซีพูดขัดจังหวะและนำเอาตำราที่ตระเตรียมเรียบร้อยแล้วส่งให้นางกำนัลรับใช้ถือไว้ นางมองตาของเขาพลางถามอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านเพิ่งกลับมาจากเมืองเจียงเป่ยใช่หรือไม่?”

ฉู่อี้อันหัวใจสั่นสะท้าน…

ที่ผ่านมาเขารู้ดีมาโดยตลอดว่าฉู่เป้ยบิดาของฉู่อี้อันเป็นคนความมักใหญ่ใฝ่สูงและจิตใจป่าเถื่อน เพียงแต่ก่อนหน้าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าความทะเยอทะยานของฉู่เป้ยนับวันยิ่งทวีคูณ เห็นว่าการปกครองของอดีตฮ่องเต้เซี่ยนจงที่ร้ายกาจและไร้ความสามารถทำให้บ้านเมืองค่อยๆ เสื่อมสลาย ฉู่เป้ยจึงคิดคดเจตนาจะแทนที่อดีตฮ่องเต้

เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้ก่อนที่ฉู่อี้อันจะกลับมาก็ได้มีปากเสียงกันกับฉู่เป้ยอย่างดุเดือด

นึกไม่ถึงว่าเหลียงซีที่อยู่ห่างไกลพันลี้เช่นนี้จะมองแผนการที่ฉู่เป้ยวางไว้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ฉู่อี้อันจึงรู้สึกหวาดหวั่น เมื่ออยู่ต่อหน้านางคราใดก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่งพลางพูดว่า “ข้าจะลองเกลี้ยกล่อมเขาดู หากว่าไม่สำเร็จ…”

“การผลัดเปลี่ยนการปกครองจะทำให้ราชวงศ์ล่มสลาย เดิมทีหากต้องการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จะต้องผ่านกฎระเบียบข้อบังคับ ไม่ใช่ว่าจะทำตามอำเภอใจได้” เหลียงซีตัดบทเขาไปว่า “ข้าก็แค่สตรีต่ำต้อยคนหนึ่ง ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจโกรธเคืองท่านหรอก ไม่ว่าเรื่องจริงเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมาเมื่อใด อย่างน้อยก่อนเรื่องนี้จะแดงขึ้นมา ข้ายอมรับว่าท่านเป็นศิษย์พี่ร่วมเรียนด้วยกันมานานถึงเจ็ดปี ส่วนเรื่องอื่นๆ ชะตาฟ้าลิขิตคงแล้วแต่วาสนา คิดจะอ้อนวอนขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์!”

ราชวงศ์ที่ฟอนเฟะเช่นนี้ยากเกินจะเยียวยาดูแลไหว หากไม่ใช่เพราะฉู่เป้ยมีใจคิดกบฏก็ไม่อาจยื้อไว้ได้นาน และไม่ใช่ว่านางเลือดเย็น แต่เป็นเพราะ…

นางเหลือบ่ากว่าแรง เหตุใดจะต้องกลัดกลุ้มใจด้วยเล่า?

ทว่าฉู่อี้อันเป็นลูกชายแท้ๆ ของฉู่เป้ย ความจริงนี้จึงไม่อาจลบล้างได้

“แต่ข้าไม่เคยเชื่อในโชคชะตา!” ฉู่อี้อันก็ลุกขึ้นมาแววตาแสดงออกถึงความเจ็บปวดชัดเจนพลางยื่นมือไปจับมือนางไว้แน่น “ขอเพียงเจ้าเต็มใจ เราหนีไปจากที่นี่ดีหรือไม่? หนีไปยังที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา เจ้าต้องการชีวิตแบบไหนข้าจะหามาให้เจ้า เจ้าพูดถูกเจ้ากับข้ายังเยาว์วัยนัก การเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่เกี่ยวข้องกับเราแม้แต่น้อย…”

“คิดจะปิดบังชื่อแซ่ แต่มิอาจเปลี่ยนแปลงสายเลือดและหน้าตาที่แท้จริงได้!” เหลียงซีน้ำเสียงแหลมคม ไม่เว้นช่องว่างให้เขาได้พูด “ตอนนี้ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าท่านสามารถละทิ้งชื่อแซ่และชาติกำเนิดของท่าน เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ล้มเหลวแล้วให้ท่านต้องเป็นกังวลหรือต้องเข้าไปช่วยเหลือเกื้อกูล หากเป็นเช่นนี้ใครจะปฏิเสธได้เหรอ? บางเรื่องเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคตข้างหน้าได้”

“หานซิน…” ฉู่อี้อันเอ่ยปากเรียกนางอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

กาลเวลาผ่านไปนานคนที่เขาหมายปองตั้งแต่แรกพบก็ยังคงเป็นนาง ในใจเขาจึงเริ่มวางแผนอนาคตชีวิตของพวกเขาทั้งสองคน ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นจะต้องมีนางอยู่ด้วยจึงจะสมบูรณ์แบบ เพียงแต่ตอนนี้…

กลับเกิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ เขายังไม่ทันเผยความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจระบายออกมาให้นางได้รู้ ก็บังเอิญเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด แม้แต่โอกาสอันน้อยนิดก็ไม่ยอมให้เขาได้ทำฝันให้เป็นจริง

ไม่อยากเริ่มต้นใหม่!

ดังนั้นจึงไม่ยอมให้เรื่องลงเอยเช่นนี้!

นางฉลาดหลักแหลมซ้ำยังมีความกล้าหาญเด็ดขาด แต่การตัดสินใจครั้งนี้ของนางไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

“เจ้าให้เวลาข้าสักหน่อยเถอะ” สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่เพียงพยายามจนสุดความสามารถพลางพูด “ข้าจะรีบกลับไปยังเมืองเจียงเป่ย ข้าจะโน้มน้าวให้ท่านพ่อเปลี่ยนความคิด ถึงตอนนั้นข้าจะกลับมาหาเจ้าดีหรือไม่?”

เหลียงซีจ้องมองเขา นางเพียงแต่ยิ้มละไม แววตามองเขาราวกับมองคนแปลกหน้าดุจอาวุธคมบาดลึกในจิตใจ

นางไม่ควรทำเช่นนั้น กระทั่งให้คำสาบานไว้ก็ยังไม่กล้า

ขณะนั้นใจของฉู่อี้อันไม่อาจโกรธนางได้ลงคอ ในใจมีเพียงความรู้สึกเดียวคือ นางดูเหมือนยืนอยู่ตรงหน้าเขา

ใกล้แค่เอื้อม แต่เขากลับรู้สึกว่านางอยู่ไกลแสนไกลจนไม่อาจไล่ตามนางทัน

ทันใดนั้นเขาก็ไม่กล้าสู้หน้านางอีก แล้วหันกลับไปด้วยความรู้สึกรีบร้อน อยากจะหนีไปให้พ้นจากที่นี่

นางยังคงยืนอยู่ในห้องสมุดที่กว้างขวาง นางมองเขาเดินจากไปท่าทางซวนเซ

สีหน้าของนางยังคงรู้สึกเมินเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ สาวรับใช้คนสนิทกลั้นน้ำตาไม่อยู่พลางพูดว่า “องค์หญิง เรื่องการอภิเษกสมรสท่านเลื่อนไปก่อนเถอะเพคะ ไม่แน่ว่าท่านนายพลอาจจะสามารถพูดเอาชนะใจฉู่เป้ยได้”

หากว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนี้ องค์หญิงกับท่านนายพลคงได้เป็นคู่สร้างคู่สมแน่แท้ ผู้อื่นไม่เข้าใจแต่นางเข้าใจทุกอย่างมากที่สุด เหลียงซีมีความรู้สึกพิเศษต่อฉู่อี้อัน เพียงแต่น่าเสียดายที่…

องค์หญิงมีนิสัยชอบทำตัวใหญ่คับฟ้า นางเป็นคนหัวรั้นคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แต่ที่สำคัญยิ่งคือนางสะบั้นใจสิ้นรักและไม่ไปทำเรื่องสิ้นคิดเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

“ไม่จำเป็น!” เหลียงซีส่ายหน้าแล้วนำเอาหนังสือที่นางถืออยู่ในมือเดินออกไปข้างนอก

วันนั้นฉู่อี้อันก็เดินทางไม่หยุดหย่อนควบม้าออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าไปเมืองเจียงเป่ยแล้วตรงไปยังฐานที่ตั้งประจำการนายพลฉู่เป้ย

แท้จริงแล้วเหลียงซีไม่ได้ลังเลใจ นางยึดตามกำหนดการล่วงหน้า ครึ่งเดือนหลังจะต้องแต่งกายเต็มยศแต่งออกจากบ้านไปไกลถึงเมืองสวินหยาง

ส่วนฉู่อี้อันหลังจากที่ออกจากเมืองหลวงก็ไม่อาจหันกลับทางเดิมได้อีกแล้ว เพราะระหว่างทางที่เขามุ่งตรงไปยังฐานทัพที่เมืองเจียงเป่ย ฉู่เป้ยได้ปล่อยข่าวว่าจะยกทัพไปโจมตีลากฮ่องเต้เซี่ยนจงลงจากบัลลังก์แล้ว…

เปิดสงครามกับฮ่องเต้เซี่ยนจงแห่งต้าหรง

ค่ำคืนนั้นฉู่อี้อันนั่งอยู่คนเดียวบนหลังคาร้านเล็กๆ ที่รกร้างว่างเปล่าดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำ ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล ทันใดนั้นเขาคิดว่าเขาหมดสิ้นซึ่งหนทางที่จะไปต่อ

อยากที่จะหวนกลับไปหาเหลียงซี แต่ทางกลับถูกตัดขาด จำต้องตามท่านพ่อนำออกทัพขึ้นไปทางทิศเหนือเพื่อสร้างผลงาน

แต่นั่นไม่ใช่หนทางที่แท้จริงที่เขาอยากเดิน

เขาวนเวียนไร้ซึ่งหนทางที่จะไปราวกับจมดิ่งลงสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่เคว้งคว้างเนิ่นนาน จนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้รับข่าวร้าย เซี่ยนจงต้องการที่จะข่มขู่ให้ฉู่เป้ยประนีประนอมจึงได้สังหารคนตระกูลฉู่ตายยกครัว

สังหารเจ็ดชั่วโคตร!

เวลานั้นเขาจำเป็นต้องยอมรับ สายตามองการณ์ไกลของเหลียงซีทุกอย่างถูกต้องไม่มีผิด แท้ที่จริงพวกเขาถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้ มีหลายอย่างที่ไม่อาจทำตามใจตนเองได้

หากลองคิดดูว่าตอนนั้นนางตกปากรับคำหนีไปด้วยกันไกลแสนไกล พอมาวันนี้เขาได้ยินข่าวเช่นนี้ เขาควรจะตัดสินใจอย่างไร? หากทำเพื่อนาง เขาสามารถที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ในใจคงมีบาดแผลที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดเช่นนี้ไปชั่วชีวิตหรือไม่?

ตั้งแต่ครานั้นเป็นต้นมาเขาจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ กลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดตระกูลฉู่ กลับมาอยู่ข้างกายฉู่เป้ย

หลายปีต่อมาเขานำทัพควบม้ากลางทะเลทรายไปแย้งชิงชนเผ่าแซ่เหลียงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเจียงซาน

เหลียงซีดั้นด้นไปพักอาศัยอยู่กับสามีของนางที่เมืองสวินหยางโดยไม่สนใจโลกภายนอกว่ากำลังเกิดเรื่องใดขึ้น ผ่านไปไม่กี่ปีนางก็สามารถปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสามีอย่างร่มเย็นสงบสุข จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง…

————————————-