ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ซย่าโหวถิงหยุดดื่มน้ำชาไปสองอึก ก่อนว่า
“อย่างไรก็ตาม ในสายตาเสด็จพ่อ พวกเราล้วนเป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรดีสักนิด นางสิ ถึงจะเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่เอาชนะพวกเราได้ในทุกๆ เรื่อง บวกกับความละอายใจที่มีต่อครอบครัวลี่หยางอ๋อง เสด็จพ่อก็ยิ่งรักและเอ็นดูนางจับจิตจับใจ!”
สาวใช้ของซย่าโหวถิงก็อดรนทนไม่ไหว พึมพำออกมาบ้าง
“ถ้าดูแลตัวเองอย่างสงบจริงๆ ก็ว่าไปอย่าง องค์หญิงของเราก็ใช่ว่าจะเป็นคนขี้น้อยใจแบบนั้น แต่ท่านหญิงหย่งจยามักมีอัธยาศัยดีกับองค์หญิงทุกท่านเวลาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ทว่าลับหลังกลับคอยกลั่นแกล้งองค์หญิงของเรา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะเรียนหนังสืออยู่กับอาจารย์หญิง พอเห็นฝ่าบาทเสด็จมา นางก็จงใจทำให้ฝ่าบาทเห็นว่าองค์หญิงของเราท่องหนังสือไม่ออก จนถูกอาจารย์หญิงตำหนิ อีกครั้งหนึ่ง ฝ่าบาทปราชัยจากศึกสงครามกลับมา กำลังไม่สบอารมณ์ นางก็จงใจบอกให้องค์หญิงท่านหนึ่งสวมชุดสีแดง ยกน้ำชาเข้าไป…เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ล่ะ ที่ทำให้ฝ่าบาทโปรดปรานนางมากยิ่งขึ้น”
ถ้านางคิดว่าองค์หญิงท่านอื่นๆ โง่งมเหมือนหมู ล้วนห่วงแต่เรื่องความสวยความงาม ก็ย่อมต้องวาดภาพตัวเองให้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สมบูรณ์แบบ ด้วยวิธีนี้ ย่อมสามารถเป็นคนโปรดของฝ่าบาทได้อย่างต่อเนื่อง
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกมาตลอดว่าท่านหญิงหย่งจยาดูแปลกๆ อยู่บ้าง ทั้งๆ ที่นางก็นับว่าเกรงใจตนอยู่ แต่ทุกครั้งที่อยู่กับนาง ตนก็มักรู้สึกอึดอัดใจชอบกล ตอนนี้พอได้ยิน ก็เข้าใจโดยรวมแล้วว่า ท่านหญิงหย่งจยามีความเป็นตัวของตัวเองสูง และชอบทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง
ประดุจคนในพื้นที่กับคนต่างถิ่นพบกันครั้งแรก ต่างฝ่ายต่างก็มีความเคยชินบางอย่างที่คล้ายไม่พอดีกัน
ขณะกำลังพูดคุย ขันทีผู้ดูแลด้านล่างของปรัมพิธีก็ประกาศว่า เชิญเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิงทุกท่านไปขึ้นม้าที่ลู่วิ่งด้านนั้น
ซย่าโหวถิงกัดริมฝีปาก “ไม่ได้การ ครั้งนี้ข้าต้องชนะ ต้องกู้ศักดิ์ศรีคืนให้เหล่าองค์หญิง”
อวิ๋นหว่านชิ่นชะเง้อมองลู่วิ่งแข่งม้าที่กว้างขวาง เส้นชัยมีแถบผ้าแดงขึงกั้นไว้ จึงกลอกตามายิ้ม
“องค์หญิง การขี่ม้าของท่านหญิงหย่งจยาเป็นอย่างไรบ้าง”
ซย่าโหวถิงอึ้งไปสักพัก ก่อนพูดตามความเป็นจริง
“ดีกว่าข้า ขี่แซงข้าได้ในทุกๆ ปี…แถมยังทิ้งห่างไม่น้อย”
สาวใช้ก็พูดขึ้นอีก “จะไม่ดีได้ไง ฝ่าบาทดึงครูฝึกขี่ม้าที่ดีที่สุดในวังไปให้นาง ม้าพันธุ์ดีที่ดินแดนตะวันตกให้เป็นบรรณาการมาในทุกๆ ปี นางก็เลือกเอาตัวที่ดีที่สุดไป”
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงปิ่นปักผมลูกปัดดอกไม้อันหนึ่งออกจากมวยผม ยัดใส่มือซย่าโหวถิง แล้วกระซิบที่ข้างหูนางสองสามคำ
ซย่าโหวถิงพอใจมาก รีบจับปิ่นไว้ในมือแน่น แล้วเดินลงจากปรัมพิธีไป
พอไปถึงหน้าลู่วิ่ง ซย่าโหวถิงก็จับบังเ**ยน เหยียบโกลน พลิกตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้า เมื่อหันมองไป ก็เห็นท่านหญิงหย่งจยาขี่ม้ามาหยุดอยู่ข้างๆ ตน แย้มยิ้มพลางว่า
“องค์หญิงสิบ อ่อนข้อให้ด้วย” แม้ยิ้ม แต่เต็มไปด้วยท่าทีดูแคลน
พอเสียงเป่าปากของขันทีดังวี๊ด เหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่กำลังกุมบังเ**ยนแน่น ก็ออกตัวควบม้าไปยังเส้นชัยอย่างรวดเร็ว
วิ่งไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง ท่านหญิงหย่งจยาก็ควบนำกลุ่มคน เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะควบผ่านแถบผ้าแดง ซย่าโหวถิงจึงตัดสินใจ สูดหายใจเข้าลึกๆ จับบังเ**ยนให้แน่นขึ้น กระชับเท้าเข้าที่ห่วงโกลนโลหะ แนบไปกับท้องม้า ยื่นมือลงไปด้านล่าง ใช้ปลายแหลมของปิ่นในมือ จิ้มเบาๆ เข้าที่ท้องม้า!
พอม้าเจ็บ ก็กางขา ควบตะบึงไปด้านหน้า แสดงศักยภาพที่ซ่อนไว้ออกมา ความเร็วจึงเพิ่มเป็นทวีคูณ พลิกผันแซงม้าที่ท่านหญิงหย่งจยาขี่ในพริบตา วิ่งผ่านแถบผ้าแดงไปก่อน
หลังจากรู้ตัวว่าเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก ซย่าโหวถิงก็จับบังเ**ยนทั้งสองข้างตรงหัวม้าไว้แน่น ก่อนระบายลมหายใจยาวๆ ออกจากปาก ค่อยๆ ลูบผมแผงม้าอย่างอ่อนโยน ปลอบใจที่ทำให้ตกใจ พอม้าหยุดลง ก็ได้ยินเสียงขันทีประกาศแสดงความยินดี ดังมาจากด้านตรงข้าม
“การแข่งม้าของฝ่ายสตรีในปีนี้ องค์หญิงฉางเล่อชนะเลิศ!”
หนิงซีฮ่องเต้เสด็จออกจากกระโจมที่ประทับนานแล้ว และได้ฉวยโอกาสก่อนออกล่าสัตว์ เฝ้าชมการแข่งขันของสตรีต้าเซวียนอย่างตื่นเต้น พอได้ยินว่าซย่าโหวถิงชนะ กลับแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ค่อนข้างดีใจ
“ตบรางวัลลงไป! ลูกสาวเราคือวีรสตรีบนหลังม้าอย่างแท้จริง!”
ท่านหญิงหย่งจยานั่งอยู่บนหลังม้า จ้องมองซย่าโหวถิงด้วยแววตามืดหม่น
ซย่าโหวถิงดีใจไม่หาย ขี่ม้ากลับมา ประสานมือขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณ แล้วจึงเรียกขันทีคนสนิทและนางในเข้าไปรับของรางวัลแทน ส่วนตัวเองก็ลงจากหลังม้าอย่างหน้าชื่นตาบาน และเดินกลับปรัมพิธี ท่ามกลางเสียงแสดงความยินดีของเหล่าสตรีชั้นสูง
ท่านหญิงหย่งจยาค่อยๆ ขี่ม้ากลับมา พลางมองดูด้านล่างของปรัมพิธี ก่อนกระโดดลงจากหลังม้า มอบแส้ม้าให้ขันที แล้วจึงเงยหน้าขึ้น มองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น พลางนึกในใจ
ซย่าโหวถิง ยัยคนไม่ได้เรื่อง เป็นองค์หญิงแล้วไง เป็นลูกสาวแท้ๆ ของฮ่องเต้แล้วไง สู้ตนได้ที่ไหน ที่แท้ก็มีกุนซืออยู่เบื้องหลังนี่เอง
แต่ก็ไม่แสดงท่าทีอะไร เดินกลับไปนั่งที่เดิม
การแข่งขันของฝ่ายสตรีเสร็จสิ้นลง ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงไม่น้อย ฝ่ายบุรุษก็เกือบพร้อมที่จะออกล่าสัตว์แล้ว
แดดบนภูเขาแรงมาก แม้มีผ้าตาดบังอยู่ เจี่ยงฮองเฮาก็ยังมึนศีรษะเล็กน้อย เมื่อวานหลังจากเสียขวัญ รู้สึกกระสับกระส่ายอยู่บ้าง ต่อมาพอออกเดินทาง โยกเยกบนรถม้า เกิดอาการเมารถนิดหน่อย บวกกับถูกมเหสีรองเหวยแย่งอำนาจไป จึงโกรธจนไม่สบายขึ้นมา ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถึงกับหายดี
พอไป๋ซิ่วฮุ่ยเห็นฮองเฮามีสีหน้าไม่สู้ดี ก็เกรงว่าอาจมีปัญหา จึงพยุงนางกลับไปพักผ่อนในกระโจมหงส์
ที่อยู่ด้านหลัง แล้วจึงบอกคนไปเรียกหมอหลวงให้มาตรวจดูอาการ
ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่น เนื่องจากกำลังคิดอยู่เสมอว่าจะพบหน้าเจี่ยงยิ่นอย่างไรดี จึงจับตามองเจี่ยงฮองเฮามาตลอด ด้วยทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ออกเดินทางตามเสด็จมาด้วยกัน ย่อมต้องมาพบเจอกัน ขณะจ้องมอง ก็ได้ยินเสียงดังลอยมา
“…ได้ เช่นนั้นบ่าวจะไปเชิญพระมาตุลาเจี่ยงมาเฝ้าฮองเฮา”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอะใจ แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ก่อนหันไปบอกซย่าโหวถิง
“องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันอยากพักนิดหน่อย ไม่ทราบว่าทรงพอที่จะอะลุ่มอล่วย ให้หม่อมฉันออกจากที่นี่สักครู่ได้ไหมเพคะ”
เนื่องจากอุบายที่อวิ๋นหว่านชิ่นนำเสนอ ทำให้ซย่าโหวถิงเชิดหน้าชูตาขึ้นมา ขณะปิติดีใจ ไหนเลยจะไม่รับปากเล่า “ไปเถิดๆ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยิ้มพลางว่า “ขอบพระทัยองค์หญิง”