ตอนที่ 110-1 คำถาม กับการล่าหมี

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ซย่าโหวถิงอยากแสดงให้เห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่า นางเป็นคนพิเศษในสายตาตน จึงบอกให้หยิ๋นเชวี่ย  สาวใช้ของตน ไปเป็นเพื่อนอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองหยิ๋นเชวี่ย ก็ดีเหมือนกัน น่าจะช่วยนำทางกับยืนเฝ้า เบี่ยงเบนสายตาผู้คนได้สักพัก

 

 

ทั้งสองย่อตัวให้องค์หญิงฉางเล่อ แล้วจึงลงจากปรัมพิธี เดินไปด้านหลัง

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาซึ่งนั่งอยู่แถวหน้า มองตามร่างเพรียวบางชุดสีน้ำเงินสดเดินออกไปเรื่อยๆ จน กลายเป็นจุดเล็กๆ และสุดท้ายก็เลี้ยวหายไป มือที่ได้รับการดูแลรักษาจนขาวนุ่ม เคาะลงบนโต๊ะตัวเล็กเบาๆ

 

 

“นางไปไหนอีก”

 

 

“เรียนท่านหญิง ห้องพักผ่อนสตรีอยู่ด้านหลังของกระโจม จากทิศทางที่พวกนางไป…น่าจะไปห้องพักผ่อนนะเพคะ”

 

 

เฉี่ยวเย่ว์แอบชะเง้อมอง ก่อนรายงาน

 

 

ตาสวยของท่านหญิงหย่งจยากระพริบเล็กน้อย อารมณ์ความคิดไม่สงบเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นเดินมาถึงด้านหลังของปรัมพิธี ก็เห็นคนในวังไม่น้อยเดินลาดตระเวนระหว่างกระโจม ซึ่งทั้งสองไม่มีปัญหาใดๆ ตลอดทางเดิน ด้วยคนในวังล้วนรู้จักหยิ๋นเชวี่ยดี รู้ว่านางเป็นคนสนิทขององค์หญิงฉางเล่อ ยังหยุดโค้งคำนับให้นางเล็กน้อยด้วย

 

 

พอเดินผ่านกระโจมหงส์ของเจี่ยงฮองเฮา ก็เห็นทหารรักษาพระองค์ยืนเฝ้าหน้าประตู และยังมีองครักษ์อีกสองสามคนยืนห้อมล้อมคนๆ หนึ่งอยู่ คลับคล้ายได้ยินเสียงดังลอยมา

 

 

“…พระมาตุลาเสด็จ อาการประชวรของฮองเฮาต้องดีขึ้นมากแน่ๆ อยู่ด้านใจเพคะ เชิญ…” จากนั้นก็มีคนเลิกผ้าม่านขึ้น นำคนผู้นั้นเข้าไป

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้นระทึก เท้าจึงก้าวด้วยจังหวะที่ช้าลงตาม หยิ๋นเชวี่ยรู้สึกผิดสังเกต จึงหันมามองด้วยความแปลกใจ “คุณหนูอวิ๋น?”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มยิงฟัน ก่อนยกแขนขึ้น ชี้ไปยังกระโจมหงส์ที่อยู่ไม่ไกล

 

 

“กระโจมสีแดงนั่น เป็นกระโจมที่ประทับของฮองเฮาใช่ไหม”

 

 

ที่แท้คุณหนูอวิ๋นกำลังตื่นตาตื่นใจนี่เอง หยิ๋นเชวี่ยจึงลดความเร็วฝีเท้าลง ยิ้มพลางอธิบาย

 

 

“ใช่แล้ว นั่นเป็นกระโจมที่ประทับของฮองเฮา ส่วนกระโจมสีทองข้างๆ ก็เป็นกระโจมที่ประทับของฝ่าบาท เป็นที่ๆ ทรงใช้พักผ่อนระหว่างล่าสัตว์”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมีท่าทีชื่นชมพลางอยากรู้อยากเห็น “ไม่เหมือนกระโจมของพวกเราจริงๆ น๊า”

 

 

หยิ๋นเชวี่ยหัวเราะ “แน่นอนสิเจ้าคะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ แล้วไม่พูดมากอีก เดินไปยังห้องพักผ่อนที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับหยิ๋นเชวี่ย

 

 

ห้องพักผ่อนตกแต่งอย่างงามสง่าและสะอาดสะอ้าน ม่านประตูเป็นผ้าไหมสีเขียว มุมล่างมีแจกันทรงกรวย ในแจกันปักดอกไม้ปลอมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไป ล้างมือและเช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าเนื้อนิ่ม

 

 

ตามหลักแล้ว ถ้ามาเยี่ยมเยียน สองพี่น้องก็ไม่น่าจะคุยกันยืดยาวถึงเรื่องครอบครัว แต่ถ้าตนไปดักรอเร็วไป อาจถูกจับพิรุธได้ จึงโอ้เอ้ต่ออีกหน่อย พอเห็นว่าควรแก่เวลา อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยดึงหยกประจำตัวที่ห้อยไว้กับเอวลงมา วางไว้ใต้โต๊ะวางของในห้องพักผ่อน จากนั้นก็จัดทรงผมให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินออกไป

 

 

ขณะเดินกลับทางเดิม ผ่านกระโจมหงส์ อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นคนของเจี่ยงยิ่นยังคงยืนรออยู่นอกกระโจม จึงหยุดฝีเท้า แล้วหันมาคุย

 

 

“หยิ๋นเชวี่ย นั่งมาครึ่งค่อนวันจนปวดขาไปหมด องค์หญิงฉางเล่อบอกว่า ข้าไม่ต้องรีบกลับก็ได้ เช่นนั้นข้าขอเดินเล่นแถวนี้สักพักนะ”

 

 

“หา?” หยิ๋นเชวี่ยสะดุดกึก เห็นทีคุณหนูอวิ๋นท่านนี้คงเห็นของสวยๆ งามๆ จนละลานตา จึงโอนอ่อนผ่อนตาม “เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวเดินเป็นเพื่อนคุณหนูอวิ๋น”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่า นางกลัวว่าตนจะไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไปเดินป้วนเปี้ยนข้างกระโจมของผู้สูงศักดิ์เข้า ต้องคอยดูตนไว้ให้ดี จึงได้แต่ยิ้มให้ แล้วว่า

 

 

“ได้สิ ลำบากเจ้าแล้ว”

 

 

แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็เดินอย่างไม่ตั้งใจ วนอยู่แถวกระโจมหงส์ ทิ้งระยะห่างไม่กี่จั้ง รอให้เจี่ยงยิ่นออกมา ปากก็ไม่เงียบเสียง พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทางเสียดาย

 

 

“กว่าจะตามเสด็จออกมาต่างถิ่นสักครั้ง แต่ฮองเฮากลับไม่สบายเสียนี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทรงหายดีแล้วหรือยัง”

 

 

“คุณหนูอวิ๋นอย่าห่วงไปเลย บ่าวว่าทรงไม่น่าจะเป็นอะไรนะเจ้าคะ” หยิ๋นเชวี่ยตอบ

 

 

ขณะชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ม่านประตูกระโจมหงส์ก็ถูกเลิกขึ้นพร้อมเสียงลมดังพรึ่บ มีคนก้าวออกมา

 

 

องครักษ์สองสามคนก้าวเข้าไปรับ แล้วเดินออกมาพร้อมกัน

 

 

บุรุษที่อยู่หน้าสุด รูปร่างผอมเพรียวลม คิ้วตกเล็กน้อย เป็นความงามที่แฝงความเศร้า มวยผมแบบนักพรตแล้วเสียบปิ่นไม้ท้อไว้ ท่ามกลางอากาศที่เย็นและแห้ง เขายังคงสวมชุดผ้าทอยาวสีขาว ซึ่งไม่เข้ากับฤดูกาลเอาเสียเลย ราวกับว่าบำเพ็ญเพียรจนไม่กลัวหนาวมาแต่ไหนแต่ไร แม้อายุย่างเข้าเลขสี่ แต่ยังคงมีบุคลิกสง่างาม เขาคือเจี่ยงยิ่น

 

 

เขาดูแจ่มใสกว่าที่อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นที่งานเลี้ยงสังสรรค์ในวังเมื่อครั้งก่อน ใบหน้ามีเลือดฝาดเล็กน้อย อาจเพราะคดีถังโจว ซึ่งเป็นปมในใจได้สิ้นสุดลงแล้ว

 

 

ก่อนหน้านี้ เจี่ยงยิ่นกำลังพูดคุยอยู่กับหนิงซีฮ่องเต้ในกระโจมที่ประทับ พอได้ยินว่าเจี่ยงฮองเฮารู้สึกไม่

 

 

ค่อยสบายขณะนั่งอยู่ในปรัมพิธีฝ่ายสตรี แล้วยังถูกพยุงกลับกระโจมหงส์อีก จึงมาถามไถ่เยี่ยมเยียนและปลอบ

 

 

ประโลมน้องสาว ตอนนี้กำลังพาคนเดินอ้อมกระโจมหงส์กลับไป

 

 

โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ในเวลาและสถานที่ๆ เหมาะสมเช่นนี้ หากพลาดไป อวิ๋นหว่านชิ่นคงต้องตบหน้าตัวเองอย่างแรง จึงไม่พูดพล่ามทำเพลงอีก จับเข้าที่เอว แล้วหันกายมาพลางหน้าตาตื่น

 

 

“แย่แล้ว หยิ๋นเชวี่ย หยกประจำตัวที่ข้าห้อยไว้กับเอวหาย ไม่รู้ว่าทำตกในห้องพักผ่อนหรือเปล่า นั่นเป็นหยกที่ท่านแม่ข้าให้ไว้ ต้องหาให้เจอ”

 

 

หยิ๋นเชวี่ยมอง เห็นพู่ตรงสายคาดเอวของคุณหนูอวิ๋นเปลือยเปล่า ไม่มีแผ่นหยก จึงรีบว่า

 

 

“เดี๋ยวบ่าวรีบไปหาให้ ใจเย็นๆ นะเจ้าคะคุณหนูอวิ๋น บ่าวอย่างพวกเราใจซื่อมือสะอาด ถ้าเก็บได้ก็จะส่งให้ส่วนกลาง” ลังเลสักพัก ค่อยกำชับอีก

 

 

“คุณหนูอวิ๋นอย่าเพิ่งเดินไปไหน รอบ่าวอยู่ตรงนี้นะเจ้าคะ”

 

 

“อืม” อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ ข้ารออยู่ตรงนี้ล่ะ”