เล่ม 1 ตอนที่ 194 ช่วงชิงศิลาทมิฬ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“เจ้า…” หากซีเย่ว์ซียังฟังไม่ออกอีกว่าซือหม่าโยวเย่ว์เจตนา เช่นนั้นก็เป็นคนโง่งมแล้ว

“องค์หญิงอย่าทรงโมโหไปเลย งานประมูลนี้ทุกคนเสนอราคาได้อย่างอิสระ ท่านเสนอราคาได้ ข้าก็ต้องทำได้เช่นเดียวกัน คุณหนูจวินหลาน ข้าพูดได้ถูกต้องหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์โยนคำถามไปให้จวินหลาน

“ย่อมได้อยู่แล้ว” จวินหลานพูดยิ้มๆ อย่างไม่หวั่นเกรงเชื้อพระวงศ์จันทร์ประจิมเลย

“ถึงอย่างไรที่วันนี้ข้ามาก็เพียงเพื่อดูความคึกคักเท่านั้น เคล็ดวิชาและยาวิเศษอะไรเหล่านั้นมิได้ดึงดูดความสนใจของข้าเลยสักนิด ถ้าหากองค์หญิงทรงอยากเล่นสนุก ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเล่นเป็นเพื่อนหรอกนะ เพียงแต่ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหยุดเมื่อไหร่”

ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตรงไปตรงมา ข้ากำลังแกล้งเจ้าเล่น รอให้ถึงตอนที่เจ้าเสนอราคาแล้วข้าไม่เสนอ ก็มาดูกันว่าพอถึงตอนนั้นแล้วเจ้าจะยังมีเงินมาประมูลสิ่งของเหล่านั้นแข่งกับผู้อื่นอยู่หรือไม่

ซีเย่ว์ซีถูกยั่วโมโหเสียจนควันแทบออกหูแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาเช่นนี้กับนางมาก่อนเลย แต่อีกฝ่ายมีสถานะไม่ธรรมดา และที่สำคัญที่สุดก็คือไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขาเลย ถ้าหากเล่นกับอีกฝ่ายเฉยๆ ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าหากเสียโอกาสในการแย่งชิงยาวิเศษร้อยโคจรไปเพราะเหตุนี้ นางคงนึกเสียใจไปจนตายแน่

ชายชราที่อยู่กับนางก็ส่ายหน้าให้นางเป็นเชิงว่าอย่าทะเลาะกับอีกฝ่ายจนสูญสิ้นสติปัญญาไป

จวินหลานเห็นซีเย่ว์ซีไม่เอ่ยคำ จึงยิ้มแล้วถามว่า “ห้องหมายเลขสามเสนอราคาหกพันหก ยังมีผู้ใดอยากเสนอราคาอีกหรือไม่”

ความเงียบงัน

ตลกแล้ว แม้กระทั่งซีเย่ว์ซียังยอมแพ้ แล้วใครจะกล้าไปแตะต้องคนระดับนี้อีกเล่า!

ฉินหว่านยังอยากเสนอราคาอยู่ แต่ถูกบิดาของตนยั้งเอาไว้ ผู้ที่แม้แต่โรงประมูลยังต้องรักษามารยาท พวกเขาย่อมมิอาจไปยั่วยุได้อยู่แล้ว

ฉินหว่านกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ฟังจวินหลานทุบค้อนประมูลด้วยความไม่ยินยอม

สิ่งของในตอนแรกล้วนมิได้สูงค่าอะไรมากนัก ดังนั้นจึงจ่ายด้วยเงินสดทั้งสิ้น เพียงไม่นานสาวใช้คนหนึ่งก็ยกถาดเข้ามา ซือหม่าโยวเย่ว์ให้นางวางถาดลง หลังจากนั้นจึงนับหกพันหกตำลึงทองให้ ก่อนจะให้นางออกไป

สาวใช้ปิดประตูห้องอย่างรู้หน้าที่ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเปิดถาดออกแล้วเลิกม่านสีแดงที่อยู่ด้านในขึ้น

ในกล่องใบเล็กมีก้อนหินสีดำก้อนหนึ่งวางอยู่ ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบก้อนหินขึ้นมาก็พบว่ามีไอหนาวเย็นสายแล้วสายเล่าพรั่งพรูออกมา

“สิ่งนี้คือศิลาทมิฬอย่างนั้นหรือ” เธอมองดูอย่างละเอียด นอกจากอุณหภูมิที่ต่ำอยู่บ้าง ก็ไม่เห็นว่าจะมีความแตกต่างไปจากก้อนหินอื่นๆ แต่อย่างใดเลย

หมัวซาดูเหมือนจะตื่นเต้นอยู่พอสมควรจนซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าสร้อยข้อมือม่านถัวสั่นสะท้านไม่ใช่น้อยเลย

“หมัวซา ศิลาทมิฬนี้คือศิลาอะไรหรือ”

“สิ่งชั่วร้ายดำมืดน่ะ” หมัวซาออกมาจากสร้อยข้อมือม่านถัวแล้วมองศิลาทมิฬตาลุกวาว

“สิ่งชั่วร้ายดำมืดหรือ เช่นนั้นท่านจะเอามาทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจ

หมัวซาเหลือบมองเธอปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าเป็นคนในภพมาร สำหรับคนในด้านสว่างอย่างพวกเจ้าแล้วมันนับเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ของสิ่งนี้จะส่งเสริมข้าอย่างมหาศาลเลยทีเดียว”

“เหตุใดศิลาทมิฬนี่ถึงได้เย็นเฉียบเช่นนี้เล่า”

“ศิลาทมิฬนั้นหาได้ยากยิ่งในภพมารและพบปีศาจ โดยทั่วไปแล้วจะก่อตัวขึ้นในพื้นที่มหาสงครามโบราณเท่านั้น มันต้องใช้หยาดโลหิตของมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษในการหล่อเลี้ยงจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ย่อมต้องแฝงความเยียบเย็นเอาไว้อยู่แล้วล่ะ” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วก็โยนศิลาทมิฬกลับลงกล่องไปโดยสัญชาตญาณ

“ของสิ่งนี้มีประโยชน์อันใดกับท่านหรือ”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก” หมัวซาพูด “อย่าลืมลูกปัดแก้วผลึกของข้าล่ะ”

พอพูดจบเขาก็ม้วนศิลาทมิฬเก็บกลับเข้าไปในสร้อยข้อมือม่านถัว

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูกล่องอันว่างเปล่าแล้วเก็บมันลงไปในแหวนเก็บวัตถุอย่างยอมรับชะตากรรม

“จริงๆ เลยนะ ไม่รู้ว่าท่านหรือข้ากันแน่ที่เป็นเจ้านาย”

งานประมูลเบื้องล่างยังคงดำเนินต่อไป สิ่งของประมูลห้าสิบชิ้นแรกน่าจะถูกคนที่ชั้นหนึ่งประมูลไปเกือบหมด ส่วนห้าสิบชิ้นหลังถึงจะมีคนบนชั้นสองประมูลบ้างประปราย

โดยทั่วไปแล้วคนที่ร่วมประมูลอยู่ในขณะนี้ล้วนเป็นผู้ที่มิได้มีความสนใจต่อสิ่งของหลายชิ้นในช่วงท้าย รู้ดีว่าตนสู้ผู้อื่นมิได้ มิสู้ประมูลสิ่งที่ตนถูกใจไปตั้งแต่ตอนนี้เสียยังดีกว่า

หลังจากที่แก่นมารสัตว์อสูรเทพของโอวหยางเฟยออกมาแล้วก็ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นไม่น้อย แม้กระทั่งสมาคมนักหลอมวัตถุและสมาคมนักหลอมยาก็ยังร่วมเสนอราคาด้วย ในท้ายที่สุดแก่นมารสัตว์อสูรเทพที่เดิมมีราคาเพียงไม่กี่พันก็ถูกประมูลไปในราคาสามหมื่นตำลึงทอง

ตำลึงทองจากการประมูลถูกส่งมาถึงยังห้องส่วนตัวอย่างรวดเร็ว เจ้าอ้วนชวีเห็นโอวหยางเฟยรับตำลึงทองมาอย่างสงบเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างอิจฉาว่า “ถ้ารู้ก่อนข้าก็คงหยิบเอาแก่นมารสัตว์อสูรเทพออกมาประมูลด้วยแล้วล่ะ”

“รู้อะไรก็ไม่สู้รู้ก่อนหรอกนะ เข้าใจหรือไม่” เว่ยจือฉีพูดยิ้มๆ

“แต่งานประมูลนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ นะ มีหมดทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากนี้ยังได้ราคาสูงกว่าไปขายข้างนอกด้วย” เจ้าอ้วนชวีพูด

“ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ขาย ดังนั้นเจ้าย่อมต้องหวังว่าราคาจะสูงสักหน่อย แต่ถ้าหากเจ้าได้เจอของที่เจ้าอยากซื้อ เจ้าก็คงจะไม่รู้สึกดีสักเท่าไหร่นักหรอกนะ” เป่ยกงถังพูด

“จะว่าไปก็ใช่” เจ้าอ้วนชวีพยักหน้า

ยิ่งมาถึงช่วงท้ายๆ ราคาสิ่งของก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น คนที่อยู่ชั้นล่างโดยทั่วไปล้วนกลายเป็นผู้ชมกันหมดแล้ว ผู้เสนอราคาหลักกลายเป็นคนบนชั้นสองและชั้นสามแทน

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้สึกสนใจในสิ่งของเหล่านี้แต่อย่างใด เธออยู่ในห้องมองดูผู้คนเบื้องล่างเสนอราคาแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายบ้างเป็นบางที จึงเรียกราคาไปด้วยสองสามครั้ง แต่เมื่อเธอพบว่าสิ่งของใดที่เธอเสนอราคามากกว่าสามครั้งขึ้นไป คนเหล่านั้นก็จะไม่ไล่ตามมาอีกต่อไป ทำให้เธอซื้อของมาเพิ่มอีกสองอย่างเปล่าๆ

หลังจากนั้นเธอจึงนิ่งเงียบ ไม่ตามไปด้วยแล้ว ไม่ส่งเสียงอีกเลยจนกระทั่งถึงตอนที่ลูกปัดแก้วผลึกออกมา

ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอมาถึงคราวของลูกปัดแก้วผลึก ซือหม่าโยวเย่ว์พบว่าหญิงสาวจำนวนไม่น้อยพากันส่งเสียงอุทานเพราะถูกรูปลักษณ์ภายนอกของลูกปัดแก้วผลึกสะกดเอาไว้

“นี่คือลูกปัดแก้วผลึก ภายนอกงดงาม อายุยาวนาน ใช้สวมใส่เป็นเครื่องประดับก็งดงามเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผู้ที่สวมใส่ลูกปัดแก้วผลึกไปนานๆ จะสามารถรวบรวมพลังจิตได้ สามารถทำให้คนสงบลงได้” จวินหลานพูด

“คุณหนูจวิน ข้าได้ยินมาว่าสิ่งนี้เคยเป็นของราชาปีศาจตนหนึ่ง นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่” มีคนส่งเสียงถาม

ทุกคนในที่นั้นล้วนตกตะลึงกับคำพูดนี้ มีคนที่คิดจะเสนอราคาบางคนล้มเลิกความคิดไป ถ้าหากเป็นสัตว์ปีศาจจริงๆ พอสวมบนร่างกายแล้วคงมิใช่น่ามอง หากแต่เป็นน่าสยดสยองต่างหาก

รอยยิ้มของจวินหลานมิได้ลดน้อยลงเลย เธอพูดอย่างชาญฉลาดว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ลูกปัดแก้วผลึกนี้เคยเป็นสิ่งของของราชาปีศาจแห่งภพมารในยุคหนึ่งจริง ทว่าต่อมามันได้หมุนเวียนไปทั่วทุกแห่งในโลก มิใช่เพียงแค่คนของภพมารเท่านั้นที่ได้ครอบครองมัน แน่นอนว่าหากมิได้เป็นเพราะเหตุผลนี้ ราคาขั้นต่ำของพวกเราก็คงไม่ต่ำถึงเพียงนี้หรอกเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรสิ่งนี้ก็เคยเป็นถึงสิ่งของของราชาปีศาจในยุคหนึ่งเลยทีเดียวนะเจ้าคะ”

“สองหมื่น”

เสียงเสนอราคาเสียงแรกก็เสนอราคาสูงไปถึงสองหมื่น คงไม่คิดจะให้มีใครมาแย่งชิงกับตนแล้วเป็นแน่

“สองหมื่นหนึ่ง”

“สองหมื่นสาม”

“สองหมื่นห้า”

การเสนอราคาไม่มากนัก ค่อยๆ สูงขึ้นทีละเล็กละน้อย

“สามหมื่น” คนที่เสนอราคาเป็นคนแรกเมื่อครู่เพิ่มราคาสูงขึ้นไม่น้อย

เมื่อได้ยินว่าราคาไปถึงสามหมื่นแล้ว คนที่เสนอราคาก่อนหน้านี้ต่างพากันหยุดลง

ซือหม่าโยวเย่ว์กดไฟแล้วพูดว่า “สามหมื่นหนึ่ง”

เดิมทีคนที่อยู่ในห้องส่วนตัวผู้นั้นคิดว่าชัยชนะอยู่ในมือแล้ว คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะลงมือ สีหน้าอมทุกข์ แต่ก็ยังตะโกนออกไปว่า “สามหมื่นห้า”

“สามหมื่นหก”

“สี่หมื่น”

“สี่หมื่นหนึ่ง”

ผู้คนด้านล่างได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์เสนอราคาเช่นนี้ก็อดรู้สึกสนุกขึ้นมามิได้ รู้สึกเหมือนว่าเธอหยอกเย้าซีเย่ว์ซีอีกแล้ว การเย้าแหย่คนเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องน่าสนุกนัก