บทที่ 69.3 แม่มดน้อยผู้ทรงพลัง (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ในช่วงเวลาแห่งความว้าวุ่นใจนั้น โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองลงไปยังหน้าอกของตนเองที่มีเจ้าแมวอ้วนซุกอยู่ เขารู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาจะต้องเชื่อมโยงกับการวิวัฒน์ระดับของเจ้าแมวอ้วนแน่ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่หมดสติไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับประโยชน์มากมายจากเจ้าแมวอ้วน ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ได้รับความเจ็บปวดเหมือนอย่างเคยเมื่อทะลวงจุดตายที่สำคัญเช่นนี้

เขายกมือขึ้นลูบหัวเจ้าแมวอ้วนและพูดด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง “ขอบคุณนะแมวอ้วน เจ้ากำจัดเสื้อผ้าของข้าก็เพื่อช่วยข้านี่เอง…ขอบคุณ”

เจ้าแมวอ้วนที่กำลังเดือดดาลด้วยความโกรธพลันสะดุ้งเมื่อได้รับสัมผัสอบอุ่นจากมือของเขาเช่นนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของเขา แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่อาจบรรยายได้ ความรู้สึกเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่มาก แม้แต่บิดาของเธอก็ยังไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเช่นนี้มาก่อน

ขณะที่เขาพูด โจวเหว่ยชิงก็เดินออกจากถ้ำไปด้วย ในตอนแรกเขาวางแผนจะยกย่องชมเชยเจ้าแมวอ้วนให้มาก กว่านี้ แต่ในขณะที่เขาก้าวออกไปและเห็นฉากตรงหน้า ทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจ เขาพุ่งไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งนอนอยู่บนพื้นทันที

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?” โจวเหว่ยชิงอุ้มซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขน ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด รังสีสังหารเข้มข้นปะทุออกมาจากร่างกายของเขาทันที ในขณะที่เขาประคองร่างของเธอเอาไว้ พลังปราณสวรรค์ของเขาก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างของเธอทีละน้อย

ฉากตรงหน้าทำให้เขาตกใจมาก พื้นทั้งหมดเต็มไปด้วยเลือดและเกลื่อนไปด้วยซากศพของอสูรสวรรค์จำนวนมาก ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาได้เข้าร่วมภารกิจที่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์หลายครั้งและเขาก็มีประสบการณ์ในการจัดการกับพวกมันมากมาย มองปราดเดียวเขาก็บอกได้แล้วว่าอสูรสวรรค์เหล่านี้ทรงพลังเพียงใด นอกจากนี้ เพื่อนร่วมกลุ่มของเขาทุกคน ไม่ว่าจะนั่งหรือนอนอยู่บนพื้น ทุกคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนๆ กัน เป็นเช่นนี้เขาจะสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร!?

พลังปราณที่โจวเหว่ยชิงถ่ายเทให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำให้เธอฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย ในบรรดาสมาชิกกลุ่มทั้งหมด เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก ทว่าสาเหตุที่เธอหมดสตินั้นก็เป็นเพราะความเหนื่อยล้าและความกดดันจากการต่อสู้ครั้งก่อนๆ เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงที่อยู่ตรงหน้าเธอปลอดภัยดี เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมกอดเขาเอาไว้แน่นเพื่อให้อ้อมกอดอันอบอุ่นของเขาปลอบประโลมจิตใจ ในที่สุดเธอก็ผ่อนคลายลงและมีดวงตาแดงก่ำ

“อ้วนน้อย ข้าคิดว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้ว ดีจังที่เจ้าสบายดี”

โจวเหว่ยชิงกอดเธอไว้อย่างแนบแน่น หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนใบหน้าซีดเซียว เขานึกไม่ออกว่าตนจะเป็นอย่างไรหากต้องสูญเสียซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไป และเขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน

“อ้วนน้อย ข้าไม่เป็นไร แค่เหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าควรรีบไปตรวจดูคนที่เหลือก่อน 3 วันที่ผ่านมานี้ เพื่อปกป้องเจ้าและแมวอ้วน พวกเราต้องผ่านการต่อสู้ไม่ต่ำกว่า 10 ระรอก เมื่อสักครู่มีเด็กสาวชุดดำคนหนึ่งโผล่ออกมา และนางก็เกือบจะฆ่าพวกเราทั้งหมด”

โจวเหว่ยชิงรีบระงับอารมณ์ เขาไม่ใช่คนโง่ เพียงแค่เสียสติไปชั่วครู่เพราะเห็นภาพซ่างกวนปิงเอ๋อร์นอนหมดสติบนพื้นเท่านั้น เขาเข้าใจได้ทันทีว่าการโจมตีของอสูรสวรรค์เหล่านี้เกิดจากการวิวัฒน์พลังของเจ้าแมวอ้วนและคนที่เหลือต่างก็ใช้เวลาทั้ง 3 วันต่อสู้เพื่อปกป้องพวกเขาเอาไว้ เป็นเวลาถึง 3 วัน! ดูจากสภาพของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เหนื่อยล้าจนเป็นลมไป เขาก็จินตนาการได้แล้วว่าการต่อสู้พวกนั้นจะต้องยากลำบากแค่ไหน

เขาวางซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลงบนพื้นในท่าที่สะดวกสบายอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังหลินเทียนอ้าวอย่างรวดเร็ว

ต้องบอกว่าหลินเทียนอ้าวคู่ควรกับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มจริงๆ อาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงมาก แต่เขายังคงเป็นคนเดียวที่สามารถนั่งไขว่ห้าง ทำสมาธิเข้าญาณเพื่อรักษาตัวเองได้

แค่ความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียว เขาก็มีมากกว่าผู้อื่นแล้ว

“หัวหน้า ท่านเป็นยังไงบ้าง?” โจวเหว่ยชิงมองไปที่หลินเทียนอ้าวอย่างเป็นห่วง เขาค่อนข้างจะตกใจเมื่อเห็นหลินเทียนอ้าวมีใบหน้าซีดเซียว ลมหายใจของอีกฝ่ายไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งกล้ามเนื้อของเขาก็กระตุกอย่างชัดเจนด้วยความเจ็บปวด โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่าการป้องกันของเขาทรงพลังเพียงใด และหากเขาได้รับความเสียหายเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าการต่อสู้นั้นจะรุนแรงแค่ไหน

โจวเหว่ยชิงไม่มีทักษะธาตุชีวิต เขาจึงไม่สามารถช่วยรักษาหลินเทียนอ้าวได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือส่งพลังปราณสวรรค์ให้หลินเทียนอ้าว ทั้งหมดก็เพื่อช่วยเหลือเขาในกระบวนการฟื้นฟูร่างกายของตนเอง

โจวเหว่ยชิงนั่งอยู่ข้างหลังหลินเทียนอ้าว วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนหลังกว้างของเขาและค่อยๆ ส่งผ่านพลังปราณสวรรค์ของเขาเข้าไปให้อีกฝ่าย

ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบบางสิ่งที่แปลกออกไป ภายในร่างกายของหลินเทียนอ้าวกลับมีพลังบางอย่างที่เขาคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด และเมื่อโจวเหว่ยชิงได้ส่งพลังปราณสวรรค์ของตัวเองเข้าไป ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

กระแสพลังที่เย็นสดชื่นไหลย้อนเข้ามาในร่างกายของเขาผ่านฝ่ามือและวงล้อทักษะธาตุที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็หมุนไปที่พื้นที่สีเทาซึ่งแสดงถึงทักษะธาตุปีศาจ

“เกิดอะไรขึ้น?” โจวเหว่ยชิงรู้สึกตื่นตระหนก เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อเขาทะลวงผ่านวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 ไปแล้ว เขาจะสามารถควบคุมทักษะกลืนกินได้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง? แต่…แต่ตรงหน้าเขาคือหลินเทียนอ้าว เขาไม่ต้องการที่จะกลืนกินอีกฝ่าย!

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงพยายามไขปริศนาเรื่องนี้ กระแสพลังเย็นยะเยือกที่เข้าสู่ฝ่ามือของเขาก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น นอกจากนี้ เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าพลังปรานเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดไว้แต่แรก นี่ไม่ใช่พลังปรานธาตุดินของหลินเทียนอ้าว แต่เป็นพลังปราณสวรรค์ธาตุปีศาจที่เย็นยะเยือก!

เมื่อพลังปราณธาตุปีศาจถูกโจวเหว่ยชิงดูดกลืนออกไป เขาก็รู้สึกได้ชัดว่ากล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นบนหลังของหลินเทียนอ้าวผ่อนคลายเล็กน้อยจนอีกฝ่ายสามารถกลับไปนั่งตัวตรงได้ พลังปรานธาตุปีศาจบริสุทธิ์นี้ถูกผสมเข้ากับพลังปราณสวรรค์ธาตุมืดบางอย่าง และทันทีที่โจวเหว่ยชิงดูดกลืนพวกมันเข้ามา พลังปราณเหล่านั้นก็ถูกดูดซับโดยจุดตายทั้ง 13 แห่งของเขาและถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังปราณของตัวเอง จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็พลันสัมผัสได้ว่าพลังปรานสวรรค์ของเขาพัฒนาขึ้นพร้อมๆ กับระดับพลังเขา!

“ข้าดีขึ้นมากแล้ว” หลินเทียนอ้าวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนหน้านี้ขณะที่แม่มดน้อยโจมตีโล่ประสานของเขา ด้วยการโจมตีครั้งสุดท้ายนั้น โล่ของเขาก็เกือบจะถูกทำลายไปแล้ว 3 วันมานี้หลินเทียนอ้าวเป็นเสาหลักให้คนในกลุ่มทั้งหมด เป็นเสาที่ยึดพวกเขาไว้ด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงเผาผลาญพลังตัวเองมากจนเกินควร ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น แม่มดน้อยก็คงจะไม่รู้สึกว่าเขาจัดการได้ยากเช่นนี้ หลังจากได้รับบาดเจ็บหนัก สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับหลินเทียนอ้าวก็คือพลังปราณธาตุปีศาจที่แสนเย็นยะเยือก ทันทีที่มันเข้ามาในร่างกายของเขา มันก็เริ่มกัดกินพลังปรานและทำลายเส้นเชีพจรของเขา เขาจึงต้องใช้พลังงานสวรรค์จำนวนมากเพื่อที่จะสกัดมันเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจขจัดมันออกไปจากร่างกายได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สามารถเพ่งสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บส่วนอื่นได้เลย เขารู้ดีว่าหากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าบาดแผลอื่นๆ ของเขาจะหายดีแล้ว แต่พลังปราณปีศาจก็จะยังคงอยู่ในร่างกายของเขาและกลายเป็นอาการบาดเจ็บเรื้อรังต่อไป

ในขณะที่เขาเริ่มรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ โจวเหว่ยชิงก็มาถึง และเมื่อมือของอีกฝ่ายวางลงบนหลังของเขา หลินเทียนอ้าวก็รู้สึกว่าพลังปราณปีศาจที่เป็นตัวก่อปัญหากำลังถูกโจวเหว่ยชิงดึงกลับออกไป เมื่อร่างกายไม่หลงเหลือพลังปราณปีศาจอยู่แล้ว เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะตอนนี้เขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การรักษาบาดแผลที่เหลือได้แล้ว

“เหว่ยชิง เดินไปดูขี้เมาเป่าอีกด้านหน่อย เขาได้รับบาดเจ็บหนักที่สุด อีกทั้งยังถูกพลังปราณธาตุปีศาจรบกวนอยู่ด้วย ช่วยเขาก่อน จากนั้นก็ไปช่วยสี่น้อย และอู่หยาตามลำดับ เย่เป่าเปาเพิ่งหมดสติไปเพราะเหนื่อย ส่วนเซียวเอี๋ยนก็เผาผลาญพลังชีวิตของตัวเองเพื่อเรียกเปลวไฟแห่งชีวิตออกมา แต่เขาสามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเองอย่างช้าๆ”

แม้จะกำลังบาดเจ็บสาหัส หลินเทียนอ้าวก็ยังคงเป็นหัวหน้าที่รับผิดชอบต่อกลุ่ม เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะซักไซ้โจวเหว่ยชิงเกี่ยวกับวิธีที่เขาสามารถจัดการกับพลังปราณธาตุปีศาจที่เย็นยะเยือกในร่างกายของเขา ถึงอย่างไรการจัดการกับอาการบาดเจ็บของทุกคนก็สำคัญกว่ามาก

1 ชั่วโมงต่อมา โจวเหว่ยชิงก็สามารถดึงพลังปราณธาตุปีศาจทั้งหมดจากร่างเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บของทุกคนได้สำเร็จ ในเวลาเดียวกัน พลังปราณธาตุปีศาจจำนวนมหาศาลเหล่านี้ก็เป็นเหมือนยาบำรุงกำลังชั้นดีเพราะมันช่วยเพิ่มระดับพลังปราณของเขาได้มากทีเดียว

เมื่อทุกคนมารวมตัวกัน โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้ทันที ในบรรดาเพื่อนทั้ง 7 คนของเขา คนเดียวที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บหนักคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ด้านเย่เป่าเปาที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บบางส่วนจากการต่อสู้ใน 3 วันที่ผ่านมาเช่นกัน ทว่าอาการบาดเจ็บของทั้งเขาและอู่หยาไม่สาหัสมากนักเมื่อเทียบกับคนที่เหลือ โดยเฉพาะอู่หยา อาการบาดเจ็บหลักของเธอมาจากการบุกรุกของพลังปราณธาตุปีศาจที่โจวเหว่ยชิงดึงออกไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงค่อนข้างสบายดี แต่อย่างไรก็ตาม คนที่เหลือต่างก็ยังตกอยู่ในความคับแค้นใจ

ฝั่งขี้เมาเป่านั้นได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง และแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะช่วยเขาดึงพลังปราณธาตุปีศาจในร่างกายออกมาแล้ว แต่เนื่องจากเขาบาดเจ็บภายในอยู่ก่อน เมื่อรวมกับอาการบาดเจ็บอื่นๆ ของเขา ขี้เมาเป่าคงจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติดังเดิม สิ่งเลวร้ายลำดับถัดมาคือเซียวเอี๋ยนผู้ซึ่งเส้นชีพจรได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาได้เผาผลาญพลังชีวิตของตนเองเพื่อเรียกเปลวไฟแห่งชีวิตออกมาระหว่างการต่อสู้กับแม่มดน้อย แม้เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่มันก็ทำให้พลังชีวิตของเขาหมดไปเช่นกัน ดังนั้นทั้งเขาและขี้เมาเป่าจึงได้แต่นอนสลบไสลไปอย่างไม่มีสติ ส่วนสี่น้อยดีกว่าอีก 2 คนเล็กน้อยเท่านั้น เขาได้รับบาดเจ็บภายในเช่นเดียวกับหลินเทียนอ้าวและต้องใช้เวลาฟื้นตัวระยะหนึ่ง

ในบรรดาสมาชิกทั้งหมด 8 คนของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ ปรากฏว่าสมาชิกหลัก 4 ใน 5 คนได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว แต่อีกไม่ถึง 20 วันก็จะถึงงานประลองมณีสวรรค์เช่นกัน แน่นอนว่าเวลา 20 วันย่อมไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขาทั้ง 4 ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์

โจวเหว่ยชิงค่อยๆ เก็บเกี่ยววัตถุดิบต่างๆ จากอสูรสวรรค์ที่ตายไปอย่างช้าๆ และเงียบๆ แม้จะรู้ว่าตอนนี้สมาชิกในกลุ่มของเขาปลอดภัยดีเพราะเขาได้ดึงพลังปราณธาตุปีศาจออกมาจากบาดแผลของทุกคนสำเร็จแล้ว แต่คิ้วของเขาก็ยังคงขมวดแน่น เพื่อปกป้องเขาและแมวอ้วน สหายทั้ง 7 คนนี้ไม่ได้ทอดทิ้งเขา พวกเขาต่อสู้อย่างสุดชีวิตตลอด 3 วัน 3 คืน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสิ่งนี้ก็จะทำให้เขาติดค้างคนที่เหลืออย่างหนัก ที่สำคัญกว่านั้นคือ เพื่อปกป้องเขา สมาชิกหลักทั้ง 4 คนถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะหลินเทียนอ้าว เช่นนี้พวกเขาจะทำอย่างไรกับงานประลองมณีสวรรค์! พวกเขามาที่งานประลองนี้ด้วยความหวังที่จะเข้าสู่ 4 อันดับแรก โดยเฉพาะหลินเทียนอ้าวที่มีอายุ 29 ปีแล้ว อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเขาและสิ่งที่เขาทุ่มเทฝึกฝนตลอดช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการจะทำให้สำเร็จก่อนที่จะกลับไปเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของโจวเหว่ยชิง เช่นนี้เขาจะยอมปล่อยผ่านไปได้ง่ายหรือ

เนื่องจากเจ้าแมวอ้วนได้วิวัฒน์พลังขึ้นเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอายที่ดึงดูดบรรดาอสูรสวรรค์ก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงพักผ่อนกัน 3 วันเต็มเพื่อฟื้นฟูและรักษาอาการบาดเจ็บที่รุนแรง ในที่สุดเซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่าก็ตื่นขึ้นมา และแม้ว่าจะไม่มีใครตำหนิโจวเหว่ยชิง แต่เขาก็ยังมองเห็นความโศกเศร้าในดวงตาของพวกเขาได้

พอรุ่งเช้า พวกเขาก็นั่งรอบกองไฟและกินอาหารที่โจวเหว่ยชิงเตรียมเอาไว้ ทุกคนยังคงตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด

ทันใดนั้นขี้เมาเป่าที่ก้มหน้าลงพร้อมกับสีแดงระเรื่อเล็กน้อยในดวงตาก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “หัวหน้า เรากลับบ้านกันเถอะ”

ด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้ พวกเขาจะเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ต่อไปได้อย่างไร!