บทที่ 70.1 ให้ข้าเป็นเสาหลักของทุกคน (1)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

“หัวหน้า กลับบ้านกันเถอะ” ประโยคที่เรียบง่าย แต่มันทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป สีหน้าของพวกเขาดูน่าเกลียดขึ้นมาทันที กำปั้นของสี่น้อยกำแน่น ใบหน้าของเขาฉายแววว้าวุ่นใจ เซียวเอี๋ยนหลับตาและถอนหายใจเบาๆ แม้อู่ หยายังดูค่อนข้างรับเรื่องนี้ไหวเนื่องจากเธอยังเด็กมากและสามารถเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ครั้งต่อไปได้ตลอดเวลา แต่เธอก็ยังดูมีสีหน้าผิดหวังฉายชัดออกมา

หลินเทียนอ้าวมองไปที่ขี้เมาเป่า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจและส่ายหัว เขาพูดอย่างอ่อนใจ “แม้คนบัญชา แต่ฟ้าก็เป็นผู้ลิขิต เจ้าพูดถูก แทนที่จะดื้อรั้นเดินหน้าต่อไปและกลายเป็นที่อับอายในสายผู้อื่น พวกเราก็ควรจะกลับไปเช่นกัน ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างเต็มที่เอง”

“ช้าก่อน!” ในขณะนั้น โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและกวาดมองสีหน้าผิดหวังของสหายร่วมทาง เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเราจะกลับไปแบบนี้ไม่ได้ พวกเราต้องเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์”

“หืม?” ขี้เมาเป่ามองเขาพลางขมวดคิ้ว “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เราจะเข้าร่วมได้อย่างไร? จุดประสงค์ของเราไม่ใช่แค่เข้าร่วมเฉยๆเท่านั้น ด้วยอาการบาดเจ็บของเรา ข้ากลัวว่าแม้แต่รอบแรกพวกเราก็ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ นับประสาอะไรกับการแข่งขันในช่วงหลัง หรือแม้แต่ฝันถึง 4 อันดับแรก ทั้งหมดจะกลายเป็นความอัปยศอดสูของพวกเราไปเสียเปล่าๆ”

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึก เขาได้กรุ่นคิดเรื่องนี้ไว้อย่างถี่ถ้วนก่อนจะพูดออกมาแล้ว เขารู้ว่าการประลองครั้งนี้มีความสำคัญเพียงใดต่อสมาชิกทั้ง 5 ของโรงเรียนเจ้ามณี โดยเฉพาะเหล่ารุ่นพี่ และอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นความใฝ่ฝันของพวกเขา แต่ถึงกระนั้น ความฝันนี้กลับพังทลายลงไปเพราะตัวเขาและเจ้าแมวอ้วน ถ้าพวกเขากลับไปในสภาพนี้ โจวเหว่ยชิงก็คงจะไม่มีทางให้อภัยตัวเองได้ อีกทั้งคนที่เหลือก็ต้องทนอยู่กับความเศร้าเสียใจเช่นกัน แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น เมื่อมาถึงจุดนี้ นิสัยองอาจกล้าหาญที่เขาอาจได้รับถ่ายทอดมาจากแม่ทัพโจวก็โผล่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก และเขาตัดสินใจแล้วว่าตนจะต้องเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์นี้อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะต้องเปิดเผยไพฑูรย์ตาแมวสองสีของตนออกมาก็ตาม แน่นอนว่ามันอาจจะก่อปัญหาให้เขาอีกเป็นโขยง แต่ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ เขาก็อาจจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต

ถึงอย่างไรเขาก็ได้ไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดก่อนที่จะตัดสินใจทำเช่นนี้แล้ว ก็เหมือนกับที่หญิงสาวผมขาวผู้ลึกลับนามว่าเทียนเอ๋อร์ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าภูเขาหิมะสวรรค์กำลังจับตามองเขาอยู่ หากเขาประสบปัญหาจากการเปิดเผยไพฑูรย์ตาแมวสองสี เขาก็สามารถเข้าร่วมภูเขาหิมะสวรรค์ หรือหากไม่มีทางเลือกอื่น แม้แต่นิกายปีศาจสวรรค์เขาก็จะยอมเข้าร่วมกับพวกเขา

“เราจะเดินหน้าเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ต่อ ข้าจะเป็นเสาหลักของกลุ่มให้เอง” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ทันทีที่เขาพูดแบบนั้น ทุกคนก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ

ดวงตาของสี่น้อยเผยให้เห็นถึงความซาบซึ้ง แต่เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “น้องชาย ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกแย่กับเหตุการณ์นี้ แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น บางครั้งโชคร้ายก็มักจะจู่โจมเข้าหาพวกเราโดยไม่ทันได้ตั้งตัวล่ะนะ”

โจวเหว่ยชิงส่ายหน้า ตอนนี้ดวงตาของเขาไม่มีแววซุกซนขี้เล่นเหมือนปกติ แต่เป็นแววตาที่กำลังคิดคำนวณอย่างเยือกเย็น “กลุ่มพวกเรามี 8 คน ดูจากสภาพภายนอกแล้ว พวกท่านทั้ง 4 ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตามทั้งข้าและซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้รับบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง พวกเราจึงสามารถใช้พลังต่อสู้ได้เต็มที่ อู่หยาและเย่เป่าเปาน่าจะฟื้นตัวในอีกไม่กี่วัน เมื่อถึงเวลาที่งานประลองเริ่มขึ้น เราทั้ง 4 คนก็จะสามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้ ดูจากอาการบาดเจ็บของท่าน หัวหน้าควรใช้เวลาประมาณ 1 เดือนหรือมากกว่านั้นเพื่อให้ฟื้นคืนสู่สภาพที่ดีที่สุด ส่วนสี่น้อย อาการของท่านก็น่าจะคล้ายกัน สำหรับเซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่า พวกเขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่ามากและอาจต้องใช้เวลานานกว่านี้ หากพวกเราทั้ง 4 คนสามารถผ่าน 2 รอบแรกไปได้ ความสามารถในการต่อสู้ของทั้งกลุ่มก็จะกลับคืนมาอย่างน้อย 8 ใน 10 ส่วน หากเราสามารถรั้งอันดับ 8 เอาไว้ได้ เวลานั้นกลุ่มของเราก็จะฟื้นตัวได้เกือบ 9 ใน 10 ส่วนแล้ว ถึงตอนนั้นใครจะกล้าบอกว่าพวกเราไม่มีความสามารถมากพอจะก้าวขึ้นสู่ 4 อันดับแรกอีก? การต่อสู้ที่ยากที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้คือ 2 รอบแรก แต่ถ้าเราโชคดีในตอนจับฉลาก เราอาจจะได้กลุ่มที่อ่อนแอกว่าก็ได้ ถึงอย่างไรเรายังคงมีโอกาสอยู่”

เมื่อฟังการวิเคราะห์ของเขา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป และความหวังก็ดูเหมือนจะโชติช่วงขึ้นมาในใจของทุกคน

โจวเหว่ยชิงรีบกล่าวต่อ “รุ่นพี่เย่เป่าเปามีมณี 4 ชุด และระดับพลังปราณของเขาก็มากพอจะเข้าร่วมการประลอง ส่วนอู่หยา ในแง่ของการโจมตีทางกายภาพ นางแทบจะเทียบได้กับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุดด้วยซ้ำ ส่วนปิงเอ๋อร์อาจไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่เพราะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสูงสุด ความเร็วของนางจึงเหนือกว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุดทั่วๆ ไป นอกจากนี้ แม้ว่าความสามารถในการโจมตีของนางอาจจะไม่ทรงพลังมากนัก แต่นางก็ยังสามารถแสร้งว่าตนเองเป็นปรมาจารย์อสูรเพื่อนำหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งระดับปรมะขั้นแรกขึ้นไปบนสนาม เมื่อรวมกับทักษะการยิงธนูของนาง แน่นอนว่านั่นย่อมเป็นพลังที่น่ากลัว”

ขี้เมาเป่ากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ถึงอย่างนั้นก็ยังอาจจะไม่เพียงพอ เจ้ารู้ดีว่างานประลองครั้งนี้มีความสำคัญเพียงใด แม้ว่ารอบแรกๆ พวกเราอาจจะไม่ได้พบกับกลุ่มที่เก่งกาจ แต่อาณาจักรที่เล็กกว่านั้นก็ยังส่งจ้าวมณีสวรรค์ที่เก่งและยอดเยี่ยมที่สุดมาอยู่ดี”

โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “ยังมีเสาหลักของกลุ่มอย่างข้าอยู่อีกหนึ่งคน ข้ามั่นใจว่าตราบใดที่เราไม่ได้เผชิญหน้ากับกลุ่มที่มีมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์หนุนหลังอยู่ ข้าก็จะสามารถกำราบคู่ต่อสู้ได้ 2 คนหรือมากกว่านั้น แม้ว่าข้าไม่อยากทำให้ท่านตกใจ แต่ข้าก็ต้องบอกรุ่นพี่สี่น้อยว่าก่อนหน้านี้ที่ข้าเอาชนะท่านไม่ใช่เพราะโชคช่วย”

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงพูดเช่นนั้น สีหน้าสี่น้อยก็ดูแปลกประหลาดขึ้นมาทันที “เหว่ยชิง เจ้ากำลังพยายามจะปลอบใจข้าหรือยั่วโมโหข้ากันแน่?! เจ้ากำลังบอกว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าข้างั้นรึ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “หึๆ แข็งแกร่งกว่าท่านแน่นอน!”

สี่น้อยพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง “เจ้าเด็กคนนี้นี่! เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้าที่ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถทดสอบความจริงได้ด้วยตัวเอง ข้ารู้ความตั้งใจของเจ้าดี และเจ้าต้องการให้พวกเราเข้าร่วมงานประลอง แต่เราไม่สามารถเอาชีวิตของเจ้าไปเดิมพันเช่นนี้ได้ ถึงอย่างไรในงานประลองมณีสวรรค์ก็มีการอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่ ดังนั้นการเผลอฆ่าคู่ต่อสู้จึงไม่ถือว่าผิดกฎ”

นอกจากหลินเทียนอ้าวที่ดูครุ่นคิดอย่างหนักและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่นั่งนิ่งๆ อย่างสงบเยือกเย็นแล้ว เพื่อนร่วมทางที่เหลือต่างก็มองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือ แม้แต่เย่เป่าเปาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ก่อนหน้านี้เย่เป่าเปารู้สึกว่าพลังของโจวเหว่ยชิงก็ไม่เลวเท่าไหร่นัก ทว่าในช่วง 3 วันที่ผ่านมา เขาก็ได้ตระหนักว่ามีช่องว่างอันยิ่งใหญ่ที่เขาแทบจะแทรกผ่านไปไม่ได้ระหว่างพลังของเขากับสมาชิกจากโรงเรียนเจ้ามณีคนอื่นๆ ความสามัคคี การทำงานเป็นกลุ่ม การรับรู้ ปฏิกิริยาตอบสนอง ความสามารถในการต่อสู้ แม้แต่ทักษะที่ทรงพลัง เขายังขาดสิ่งเหล่านี้อยู่มาก ดังนั้นเมื่อได้ยินโจวเหว่ยชิงพูดว่าเขามีพลังมากกว่าสี่น้อย เขาจึงไม่เชื่ออย่างสนิทใจ

“อู่หยา” โจวเหว่ยชิงเมินสี่น้อยและหันไปหาอู่หยาแทน

“มีอะไรหรือ?” อู่หยาตอบ เธอนั่งบนพื้นและมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างไม่แน่ใจ เธอไม่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ เพียงแค่ได้รับผลกระทบจากพลังปราณธาตุปีศาจของแม่มดน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้เนื่องจากไอปีศาจเหล่านั้นถูกโจวเหว่ยชิงดูดออกไปแล้ว เมื่อรวมกับการพักผ่อนหลายวันและพื้นฐานร่างกายที่แข็งแรงแต่เดิม เธอจึงฟื้นตัวได้เร็วมาก

โจวเหว่ยชิงมองอู่หยา ปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะที่พูดว่า “มาประลองความแข็งแกร่งทางกายภาพกันเถอะ”

“อะไรนะ? เจ้าจะประลองเรื่องความแข็งแกร่งทางกายภาพกับข้า!” ดวงตาของอู่หยาแทบจะถลนออกมา การแสดงออกของเธอชัดเจนว่า ‘น้องชาย เจ้าป่วยอยู่หรือเปล่า!’ เธอไม่ใช่คนเดียว ทุกคนที่เหลือจ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าคล้ายคลึงกัน