ตรงข้ามกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่โอบกอดเล่อเหยาเหยา ชายหล่อหญิงงาม ภาพนั้นงดงามดุจภาพวาด จนผู้คนรอบข้างต่างอิจฉา
แต่ตงฟางไป๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา เห็นชัดว่ารู้สึกโดดเดี่ยว
พายุฝนด้านนอกยังคงตกอย่างไร้วี่แววที่จะหยุดลง เหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังเอ่ยเรื่องการอภิเษกของตนและเล่อเหยาเหยาจบ จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“จริงสิ พักนี้คล้ายได้ยินว่ามีข่าวของน้องสาวของเจ้า จริงหรือ”
“อืม จากคำพูดของคนผู้นั้น มีที่อยู่ของน้องข้าในต้าเซี่ย คล้ายกับว่าปีนั้นไม่รู้ผู้ใดอุ้มเธอไป ตอนนี้ข้าส่งคนออกไปตามหาแล้ว หวังว่าครั้งนี้จะเจอตัวเธอ”
ตงฟางไป๋เอ่ยพูดเสียงขรึม แววตาเป็นประกายมีทั้งความหวังและผิดหวัง
เพราะตามหามานานหลายปี ทุกครั้งที่เขากอดความหวังที่ยิ่งใหญ่ไว้ ความผิดหวังมักรุนแรงเช่นกัน
แต่ตงฟางไป๋ยังคงไม่หยุดตามหาเรื่องราวของน้องสาว
เพราะปีนั้นกลางอุทกภัย เป็นเขาที่ปล่อยมือน้องสาวไป ตอนนี้เขาจึงต้องตามเธอกลับมา พี่ชายเช่นเขา จะชดเชยให้กับเธออย่างดี
เมื่อเห็นแววตาเสียใจของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็รู้ว่าตงฟางไป๋กำลังคิดเช่นไร
“พี่ไป๋ เพียงยืนหยัดกอดความหวังไว้ไม่ยอมแพ้ น้องสาวของท่านต้องตามหาเจอแน่”
เล่อเหยาเหยาให้การสนับสนุนและกำลังใจกับตงฟางไป๋
เพราะเธอชื่นชอบพี่ชายผู้นี้จากใจจริง และหวังจากใจว่าชายหนุ่มที่แสนดีเช่นนี้ จะสามารถได้รับความสุข!
ตงฟางไป๋ได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา และเห็นรอยยิ้มสดใสงดงามบนใบหน้าของเธอ รอยยิ้มนั้นดุจพระอาทิตย์ที่เต็มไปด้วยพลัง ทำให้ความมืดมนในใจเขาสลายไป
เห็นเช่นนั้น ตงฟางไป๋ยิ้มให้เล่อเหยาเหยา ก่อนเอ่ยว่า
“แน่นอน!”
พายุฝนหยุดลง หลังจากตกหนักกว่าหนึ่งชั่วยาม
และเวลานี้เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว
เมื่อเห็นด้านนอกอากาศแจ่มใส เล่อเหยาเหยาก็เหน็ดเหนื่อย ใบหน้าดูอ่อนเพลีย
เพราะเล่อเหยาเหยาทุกวันต้องนอนกลางวัน วันนี้เพื่อออกมาเดินเล่น จึงไม่ได้ทานผลไม้และนอนกลางวัน ตอนนี้เธอจึงเหนื่อยล้าอย่างหนัก
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น จึงเสนอความคิดกลับวัง เล่อเหยาเหยาย่อมตอบตกลง
ส่วนตงฟางไป๋ยังต้องกลับไปที่โรงหมอ ดังนั้น พวกเขาสามคนต่างแยกย้ายกัน
เมื่อเดินบนถนนใหญ่ที่ชื้นแฉะ สูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่น มือเล็กของเล่อเหยาเหยาถูกมือใหญ่ทรงพลังรัดไว้ ค่อยๆ เดินอยู่บนถนนใหญ่ มองผู้คนบนถนนรอบกาย
รู้สึกว่าพวกเขาเวลานี้ เรียบง่ายและมีความสุขอย่างยิ่ง
“อวี๋ ข้าหวังว่าพวกเราจะสามารถเป็นเช่นนี้ตลอดไปจริงๆ เรียบง่าย สนุก มีความสุข”
“ฮ่า ๆ นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋หมุนสายตา ก่อนเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาอย่างรักลึกซึ้ง
พระอาทิตย์ตกดิน เมฆบนเส้นชอบฟ้า แสงสีส้มนั้นสาดเฉียงเอียงลงมา กระจายไปทั่วแผ่นดิน
สายลมเย็นพัดเอื่อยช้าๆ ผ่านไป ทำให้ชายเสื้อของเล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋ปลิวไสว
ส่วนมือของพวกเขาจับกันแน่นตลอดเวลา ภาพนี้ งดงามดุจในบทกวีภาพวาด น่ามองจนคนมิอาจละสายตา!
แต่ภาพนี้ในสายตาของบางคน กลับเหมือนเสี้ยนหนามที่ทิ่มแทงดวงตาของเธอจนเจ็บปวด!
หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋และเล่อเหยาเหยาค่อยๆ หายไปจากถนนใหญ่ เงาร่างผอมเพรียวค่อยๆ เดินออกมาจากมุมของร้านค้า
เห็นชัดว่าคนผู้นี้ยืนอยู่ตรงนั้นมานานมากแล้ว
ไม่เพียงผมทั้งหมดจะเปียกชื้น กระทั่งกระโปรงหลัวที่สดใสงดงามก็เต็มไปด้วยหยดน้ำ
ส่วนใบหน้านั้น ขาวซีดดุจกระดาษ
บนใบหน้ายังปรากฎหยดน้ำตา
ท่าทางนี้ของหญิงสาว มองแล้วดุจผุดขึ้นมาจากน้ำอย่างตื่นตระหนก
ทว่าสายตาเธอดุร้ายดุจปีศาจ แววตาปรากฎประกายโหดเหี้ยมไม่หยุด ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
และหญิงสาวผู้นี้มิใช่ผู้ใด คือเหนียนซูหลาน!
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาแต่งกายเป็นสตรีเดินจูงมือกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ แววตาเหนียนซูหลานเต็มไปด้วยความตกตะลึง ไม่เชื่อสายตา และยังไม่ยินยอม อำมหิต
“พี่อวี๋เป็นของข้า ผู้ใดกล้าแย่งพี่อวี๋กับข้า ข้าจะต้องให้นางตาย”
…
ความไม่สบายใจทะลักขึ้นมาในใจ เหมือนเมื่อครู่เกิดเสียงฟ้าผ่าขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เล่อเหยาเหยาอดสั่มเทิ้มทั่วร่างกายไม่ได้ ทันใดนั้นพลันลืมตาขึ้น ก่อนตกใจได้สติขึ้นมา
“เป็นอันใด ฝันร้ายหรือ”
ขณะเล่อเหยาเหยาหอบหายใจ ตื่นขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก เธอยังไม่ได้สติจากความหวาดกลัวเมื่อครู่ เสียงทุ้มแฝงความกังวลพลันดังขึ้นข้างหูเธอ
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหูนี้ เล่อเหยาเหยายังคงเลื่อนลอยหมุนสายตากลับมา เมื่อเห็นชายหนุ่มข้างกาย พลันกอดชายหนุ่มไว้แน่น ราวกับคนที่กำลังจะจมน้ำเห็นขอนไม้
“อวี๋”
เสียงอ้อนเบาๆ ดังขึ้นอย่างตั้งใจ
“เด็กโง่ เปิ่นหวางอยู่ที่นี่ เพียงฝันร้าย ไม่ต้องกลัว”
กอดคนตัวเล็กในอ้อมกอดเบาๆ ก่อนเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยอย่างอ่อนโยน
หลังผ่านไปนาน เล่อเหยาเหยาจึงค่อยๆ ลุกจากอ้อมกอดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เมื่อเห็นการแต่งตัวของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาตกใจเมื่อรับรู้ว่าตอนนี้เป็นตอนเช้าแล้ว
จำได้ว่าเมื่อคืนพวกเขากลับมาวังอ๋อง เธอเหนื่อยล้าอย่างมาก จึงทานของว่างไปเพียงเล็กน้อย พลันนอนลงบนเตียง ไม่นานก็หลับสนิทไป
เวลานี้เห็นแสงอาทิตย์เจิดจ้าด้านนอก จั๊กจั่นบนยอดไม้คล้ายเปี่ยมไปด้วยพลัง ส่งเสียงไม่หยุดหย่อน
แสงอาทิตย์สีทองเจิดจ้านั้น สาดส่องเข้ามาจากด้านนอก ทำให้ภายในห้องสว่างไสว
ส่วนชายหนุ่มตรงหน้า เวลานี้ยืนอยู่ข้างเตียง ดูจากการแต่งตัวของเขา น่าจะตื่นนอนนานแล้ว เพราะแต่งกายเรียบร้อย
เห็นเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋วันนี้ สวมเสื้อคลุมหมางผาวสีม่วงบนกาย ปกเสื้อและชายเสื้อใช้เส้นด้ายสีเงินปักเป็นลายเมฆ แสดงความสูงส่งออกมา!
คาดสายรัดเอวสีทอง เข้ากับหยกไขมันแพะที่สวมใส่
เส้นผมดำสนิทดุจแพรไหม รวบไว้อย่างเป็นระเบียบ รัดด้วยกวนสีทอง ทำให้ใบหน้านั้นเด็ดเดี่ยวสมบูรณ์แบบมากขึ้น ดุจเทพเจ้ากรีกที่รังสรรค์ขึ้นมาอย่างประณีต
โดดเด่นเหนือมนุษย์!
คิ้วกระบี่เข้มดุจหมึก ดวงตาดุจดวงดาวที่โดดเดี่ยว จมูกคมดุจมีด ริมฝีปากดุจกระจับ!
เมื่อมองชายหนุ่มหล่อเหลา มีความสามารถตรงหน้า ใจของเล่อเหยาเหยาอดสงบลงไม่ได้ พลันถูใบหน้าซีดขาวในอ้อมกอดกว้างนั้น ท่าทางนั้นดุจแมวน้อยชอบออดอ้อนตัวหนึ่ง น่าเห็นใจอย่างยิ่ง!
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเพียงยื่นมือช่วยจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงให้เล่อเหยาเหยาอย่างอ่อนโยน แววตาไม่ปิดบังความสงสารแม้แต่นิดเดียว
และเขาก็ไม่สนใจว่าเล่อเหยาเหยาถูไถเช่นนี้จะทำให้เสื้อผ้าตนยับยู่
เพียงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสงสารอย่างที่สุดว่า
“ยังง่วงอยู่หรือไม่ หากง่วงก็นอนต่ออีกหน่อยเถิด”
“ข้าไม่ง่วง อวี๋ถึงเวลาต้องเข้าวังหลวงแล้วหรือ”
สำหรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาเพียงเงยใบหน้าเล็กขึ้น ก่อนเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้า
“อืม ถูกต้อง ทว่าวันนี้เปิ่นหวางจะกลับมาให้เร็ว มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
พอพูดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋หยุดชะงัก ก่อนเอ่ยขึ้นต่อว่า
“ส่วนเจ้า หลังตื่นนอน เป็นเด็กดีทานอาหารเช้า ห้ามทำงานหนัก หากเบื่อหน่าย ก็อ่านหนังสือ หลายวันก่อนเปิ่นหวางให้คนซื้อหนังสือนิทานน่าสนใจมาบางส่วน เจ้าหยิบมาอ่านฆ่าเวลาเถิด หรือจะเย็บปักถักร้อย เดินชมดอกไม้”
น้ำเสียงชายหนุ่มแม้จะทุ้มต่ำ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนอย่างยิ่ง ดุจจะสามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำได้
ส่วนเล่อเหยาเหยาไม่ตัดบทคำพูดของชายหนุ่ม เพียงฟังชายหนุ่มเอ่ยจบอย่างเงียบๆ จึงยื่นปากหัวเราะขึ้น
“อวี๋ ท่านพูดมากยิ่งนัก ฮ่า ๆ”
ภายในน้ำเสียงของเล่อเหยาเหยาดูหยอกล้ออย่างไม่ปิดบัง
เพราะเหลิ่งจวิ้นอวี๋เมื่อก่อนเงียบขรึมพูดน้อยมาตลอด แต่พักนี้เล่อเหยาเหยารู้สึกว่านับวันเขายิ่งพูดมาก ราวกับคำพูดทั้งหมดนี้คือการทดแทนการไม่ได้พูดก่อนหน้านี้
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ย่อมฟังออกถึงการหยอกล้อของเล่อเหยาเหยา ทว่าสุดท้ายเหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงยื่นมือไปเกาจมูกเล็กของเล่อเหยาเหยาเบาๆ ก่อนหัวเราะอย่างจนใจ
“เจ้านี่ช่างซุกซนเสียจริง”
“ฮ่า ๆ”
สุดท้าย เล่อเหยาเหยากับเหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดคุยหยอกล้อกันหลายประโยค จากนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็รีบร้อนเข้าวังหลวงไป
เพราะในราชสำนักยังมีงานใหญ่อีกมากมายรอเขาอยู่!
เล่อเหยาเหยาหลังตื่นนอน มีสาวใช้ใหม่สองคนนั้น เซี่ยผิงและเซี่ยลี่สองพี่น้องยกอ่างน้ำล้างหน้าหวีผมเข้ามาในห้อง
เห็นเพียงสาวน้อยสองคนนี้ แม้อายุจะไม่มาก เพื่งสิบสองสิบสามปี แต่การทำงานของพวกเธอ กลับคล่องแคล่วยิ่งนัก
คนหนึ่งรับหน้าที่บิดผ้าขนหนู คนหนึ่งรับต่อมาส่งให้แก่เล่อเหยาเหยา
สำหรับการถูกผู้อื่นปรนนิบัติ เล่อเหยาเหยายังรู้สึกไม่คุ้นชิน
เพราะเพียงเรื่องล้างหน้าแปรงฟัน ตนมีมือมีเท้า ตนจึงสามารถทำได้
แต่เล่อเหยาเหยาก็รู้ว่า ทั้งหมดนี้คืองานของพวกเธอ หากตนไม่ต้องการ ก็ไม่รู้พวกเธอสองคนจะเป็นดังเช่นเมื่อคืนหรือไม่ ‘ตุ้บ’ พลันคุกเข่าลง ร้องขอเธอห้ามไม่ให้ทำงาน
เฮ้อ บางครั้งความต่ำต้อยของคนโบราณ ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกละอายใจและทำตัวไม่ถูกจริงๆ
แม้เธอจะมาถึงรัชสมัยเทียนหยวนนี้เกือบสามเดือนแล้ว
เล่อเหยาเหยาคิดในใจ ขณะที่คนก็ไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้ว
หลังเมื่อวานตนกลับไปแต่งตัวเป็นสตรี ไม่จำเป็นต้องสวมชุดขันทีพวกนั้นอีก ผมก็ไม่สามารถถักเปียอย่างง่ายๆ ตามสบายได้อีกแล้ว
ไม่ว่ายุคปัจจุบันหรือยุคโบราณ เล่อเหยาเหยาไม่เคยดูเส้นผมของตน และไม่เข้าใจเรื่องทรงผมใดๆทั้งนั้น
ดังนั้นเรื่องทรงผมการแต่งตัวพวกนี้ เล่อเหยาเหยาจึงมอบให้แก่สองพี่น้องด้านหลัง หลังนั่งลง เอ่ยกับสาวน้อยที่ยืนอยู่ซ้ายมือตนว่า
“เอ่อ คือเซี่ยลี่ วันนี้มวยผมอย่างเรียบง่ายเพียงพอแล้ว” เพราะไม่ชอบมวยผมที่งดงามและยิ่งใหญ่เกินไป เล่อเหยาเหยาชื่นชอบเพียงความเรียบง่าย
แต่หลังเล่อเหยาเหยาเอ่ยคำนี้จบ ได้ยินเพียงสาวน้อยที่ชื่อเซี่ยลี่ กลับยิ้มออกมา ก่อนเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาอย่างนอบน้อมว่า
“ทูลองค์หญิง บ่าวชื่อเซี่ยผิง ส่วนนางคือเซี่ยลี่เพคะ”
“เอ่อ”
หลังได้ยินคำพูดของเซี่ยผิง เล่อเหยาเหยายิ้มมุมปาก และลืมว่าวันนี้เป็นครั้งที่เท่าใดที่เธอเรียกชื่อพวกเธอสองพี่น้องนั้นผิด
หมดปัญญา พี่น้องคู่นี้ไม่เพียงรูปโฉมดุจคัดลอกกันออกมา กระทั่งทรงผมและการแต่งกาย ต่างเหมือนกันทุกอย่าง มิน่าผู้อื่นจึงเข้าใจผิด เกรงว่าบิดามารดาพวกเธอ คงเข้าใจผิดเป็นแน่!
เล่อเหยาเหยาคิดในใจ ก่อนหัวเราะให้เซี่ยผิง พลางเอ่ยว่า
“ฮ่าๆ ขออภัยด้วย พวกเจ้าพี่น้องหน้าตาคล้ายคลึงกันมากเกินไป เอาเช่นนี้ดีกว่า เพื่อวันหน้าจะไม่ได้จำพวกเจ้าผิด เอาเช่นนี้”
เล่อเหยาเหยาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก สายตากวาดมองไปยังโต๊ะเครื่องแป้งรอบหนึ่ง ก่อนหยิบปิ่นมุกสองด้ามออกมาจากกล่องเครื่องประดับ ส่งให้กับเซี่ยลี่และเซี่ยผิงคนละด้าม