“เซี่ยลี่เจ้าใช้ปิ่นมุกดอกหลี่ว์ เซี่ยผิงเจ้าใช้ปิ่นมุกดอกบัว ต่อไปพวกเจ้าติดปิ่นมุกนี้ไว้บนศีรษะ เช่นนี้วันหน้าเพียงข้าเห็นปิ่นมุกบนศีรษะพวกเจ้า จะไม่เข้าใจผิดว่าพวกเจ้าคือผู้ใดแล้ว”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยพูดขึ้น
ปิ่นมุกสองด้ามนี้ แม้จะไม่ได้มีคุณภาพดีที่สุด แต่เมื่อวานเธอซื้อมาขณะเดินเล่นกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ แต่ประณีตงดงามยิ่งนัก
เห็นชัดว่าเซี่ยลี่และเซี่ยผิง สองพี่น้องชื่นชอบปิ่นมุกสองด้ามนั้นอย่างยิ่ง หลังรับปิ่นนี้ไป เอ่ยขอบคุณด้วยสีหน้าดีใจ
หลังหวีผมเสร็จ เล่อเหยาเหยาไปที่ห้องโถง เซี่ยผิงและเซี่ยลี่เดินตามเธออยู่ด้านหลัง
ภายในห้องโถง บนโต๊ะได้มีอาหารของว่างหลากหลายเมนูจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้เล่อเหยาเหยาที่เห็นท้องก็ร้องประท้วงทันที
ทว่าสิ่งที่ทำให้เล่อเหยาเหยาไม่คาดฝันคือ ขันทีน้อยที่ปรนนิบัติรับใช้ในห้องโถง กลับเป็นเสี่ยวมู่จื่อ!
เมื่อเห็นเสี่ยวมู่จื่อ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาก็ตะลึงงัน
เพราะเสี่ยวมู่จื่อรับผิดชอบงานในห้องครัว ปกติเพียงลำเลียงอาหารพวกนั้น วันนี้กลับอยู่ที่ตำหนักหย่าเฟิง
คิดไปแล้ว นี่คงเป็นการจัดการของเหลิ่งจวิ้นอวี๋แน่นอน!
เขารู้ว่าเธอเบื่อหน่ายอยู่ในตำหนักหย่าเฟิง ภายในวังอ๋องมีสหายไม่มาก และเธอสนิทสนมกับเสี่ยวมู่จื่อ จึงให้เสี่ยวมู่จื่อมาทำงานที่ตำหนักหย่าเฟิง
เล่อเหยาเหยาคิดในใจ เสี่ยวมู่จื่อที่ยืนอยู่ตรงนั้นมาตลอด เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาย่างเท้าก้าวเข้ามา ร่างกายดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ตะลึงอยู่ตรงนั้น
อาจเพราะเห็นเล่อเหยาเหยาแต่งกายเป็นผู้หญิงครั้งแรก จึงตกใจเกินไป ใบหน้าสวยงดงามนั้น จึงดวงตาเบิกกว้างดุจระฆัง ปากนั้นก็อ้ากว้าง จนแมลงบินเข้าไปได้
เมื่อเห็นท่าทางเกินไปของเสี่ยวมู่จื่อ ไม่เพียงเล่อเหยาเหยา กระทั่งเซี่ยลี่และเซี่ยผิงที่เดินตามเธอมาทางด้านหลังต่างอดปิดปากหัวเราะไม่ได้
“ฮ่า ๆ รีบปิดปากลงเถิด นกน้อยจะบินเข้าไปแล้ว”
เล่อเหยาเหยาเห็นเสี่ยวมู่จื่อมีท่าทางเกินจริง อดพูดหยอกล้อไม่ได้
เมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่อที่ไม่กล้าเชื่อสายตาจึงได้สติ จากนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ ระมัดระวังขึ้น
“ท่านคือเสี่ยวเหยาจื่อจริงหรือ เป็นสตรีจริงหรือ!”
“ฮ่า ๆ จริงแน่นอน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาอดกระพริบตาให้เสี่ยวมู่จื่ออย่างเจ้าเล่ห์ไม่ได้ ก่อนยืดหน้าอกที่ไม่ได้รัดผ้าที่นูนเว้าเล็กน้อยออกมา
สำหรับท่าทางนี้ของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่อพลันหน้าแดง อาจเพราะเขินอายท่าทางกล้าหาญเกินกว่าสตรีของเล่อเหยาเหยา!
…
ทว่าหลังเขินอาย เสี่ยวมู่จื่อหัวเราะอย่างใสซื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า
“ฮิ ๆ มิน่าก่อนนี้ข้าจึงรู้สึกแปลกๆ ท่านไม่เหมือนบุรุษแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้หยาบคายเช่นบุรุษ เวลาอาบน้ำ ก็ให้ข้าเฝ้าอยู่ด้านนอก เดิมคิดว่าท่านเขินอาย ไม่ชอบให้ผู้อื่นเห็นท่านอาบน้ำ ที่แท้ท่านกลับ…”
พอพูดถึงตรงนี้ เสี่ยวมู่จื่อทั้งดีใจและตรงไปตรงมา
เมื่อเห็นเสี่ยวมู่จื่อที่ไม่เพราะเห็นเธอเป็นผู้หญิงจึงมองเธอเปลี่ยนไป ยังคงเป็นเช่นเดิมดุจก่อนหน้านี้ มีอิสระ ทำให้เล่อเหยาเหยาอบอุ่นในใจ
เพราะเสี่ยวมู่จื่อคือสหายที่ดีต่อเธออันดับหนึ่ง ตั้งแต่เธอมาถึงยุคสมัยนี้ เธอไม่อยากสูญเสียสหายสำคัญเช่นนี้ไป!
ขณะคิดในใจ ดวงตาคู่งามเล่อเหยาเหยากวาดมองไป เห็นภายในห้องโถงมีเพียงเสี่ยวมู่จื่อ เซี่ยผิงและเซี่ยลี่ ไม่มีผู้อื่น หัวหน้าขันทีลี่ก็ไม่อยู่
นั่นย่อมแน่นอน เพราะวังอ๋องถือเป็นครอบครัวใหญ่ หัวหน้าขันทีลี่จะปรากฎตัวมาตอนเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับมาเท่านั้น เพราะต้องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวันตามหน้าที่ เวลาที่เหลือ เขาจึงยุ่งเป็นพิเศษ
เมื่อหัวหน้าขันทีลี่ไม่อยู่ เล่อเหยาเหยาจึงผ่อนคลายลง
แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะบอกสถานะของเธอแก่หัวหน้าขันทีลี่แล้ว แต่หัวหน้าขันที่ลี่ยังเข้มงวดกับเธอเช่นเดิม
อาจเป็นเพราะหัวหน้าขันทีลี่เพียงต่อหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ สีหน้าจะดูดีขึ้นบางส่วน คนอื่นต่างโกรธเคืองไม่พอใจ! สำหรับเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาไม่อยากยุ่งวุ่นวาย
และตอนนี้เมื่อเห็นหัวหน้าขันทีลี่ไม่อยู่ เธอจึงมีอิสระสบายใจ
จากนั้นเมื่อเห็นบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายเมนู ครบถ้วนเลิศรส ยิ่งทำให้รู้สึกหิวอย่างหนัก
เห็นเช่นนั้น ท้องของเล่อเหยาเหยาร้องประท้วงขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ
พลางลูบหน้าท้องไปมา ก่อนเล่อเหยาเหยาจะพลันนั่งลง กวักมือเรียกเสี่ยวมู่จื่อ เซี่ยผิงและเซี่ยลี่ว่า
“เมื่อตอนนี้มีเพียงพวกเรา พวกเจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจข้า นั่งลงทานอาหารด้วยกันเถิด เพราะอาหารมากมายบนโต๊ะ ข้าคนเดียวทานไม่หมดแน่นอน”
เล่อเหยาเหยาเห็นสามคนตรงหน้า จึงเอ่ยปากขึ้น
แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเล่อเหยาเหยา เซี่ยลี่และเซี่ยผิงต่างพลันส่ายหน้าปฏิเสธเอ่ยปากขึ้นพร้อมกันว่า
“จะได้เช่นไร นี่ผิดกฎระเบียบ หากหัวหน้าขันทีลี่รู้เข้า ต้องลงโทษพวกเราแน่”
“ยังไงหัวหน้าขันทีลี่ไม่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าไม่ต้องกลัว”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยโน้มน้าวใจ แต่เซี่ยลี่และเซี่ยผิงตีให้ตายก็ไม่ทาน เล่อเหยาเหยาจึงไม่บังคับพวกเธอ ให้พวกเธอออกไปรอที่ประตูด้านนอกคอยเฝ้ายาม จากนั้นให้เสี่ยวมู่จื่อนั่งลง
เสี่ยวมู่จื่อตอนแรกอายไม่เป็นตัวของตัวเอง แม้ปกติเขากับเสี่ยวเหยาจื่อจะร่วมโต๊ะทานอาหารที่โรงครัวด้วยกัน แต่ที่นี่ไม่ใช่โรงครัว แต่เป็นห้องโถงของตำหนักหย่าเฟิง
ทานอาหารในห้องโถงหรูหราเช่นนี้ ด้วยสถานะระดับเขา คงรับไม่ไหวเป็นแน่
ทว่าต่อมาเล่อเหยาเหยาแสร้งทำสีหน้าไม่พอใจเอ่ยขึ้น
“พวกเรามิใช่สหายกันหรือ สหายไม่แบ่งแยกรวยหรือจน ตอนนี้เจ้าไม่ทานอาหารกับข้า เพราะไม่เห็นข้าเป็นสหายแล้วใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่อจึงไม่ลังเลนั่งลงทานอาหารกับเล่อเหยาเหยา
เห็นเช่นนั้น ความเคร่งขรึมบนใบหน้าเล่อเหยาเหยาพลันสลายไป
เพราะในความคิดของเธอ ทุกคนต่างเท่าเทียมกัน
แม้ต่อไปหากเธอจะอภิเษกกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เป็นพระชายา เป็นนายหญิงของวังอ๋องแห่งนี้ แต่สำหรับเสี่ยวมู่จื่อ ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พวกเขาคือสหาย!
ดังนั้นตอนนี้ เล่อเหยาเหยาที่นั่งอยู่กับเสี่ยวมู่จื่อ จึงทานอาหารเช้าที่ครบครันบนโต๊ะนั้นอย่างเอร็ดอร่อย
เล่อเหยาเหยาช่วงนี้ทานค่อนข้างมาก เพราะต้องเลี้ยงดูคนถึงสองคน ดังนั้นหลังนั่งลงทานอาหาร ปากก็ไม่หยุดลงเลย
เสี่ยวมู่จื่อพักนี้ก็ร่างกายสูงใหญ่ เพราะอยู่ในช่วงเจริญเติบโต จึงทานอาหารเยอะเช่นกัน ดังนั้นอาหารสิบกว่าเมนูบนโต๊ะนั้น สุดท้ายตกอยู่ในท้องของเสี่ยวมู่จื่อกับเล่อเหยาเหยาโดยไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว
หลังทานอย่างพออกพอใจ เล่อเหยาเหยาคล้ายแมวน้อยแสนขี้เกียจ แลบลิ้นเลียคราบน้ำมัน ก่อนจะรู้สึกง่วงงุน
ทว่าเล่อเหยาเหยายังคิดเดินพักผ่อนก่อน เพราะกินเสร็จแล้วนอน เธอไม่ใช่สุกร
รวมทั้งกินอิ่มเกินไปแล้วนอน จะไม่ดีต่อร่างกายของตน
ดังนั้นหลังทานอาหารอิ่ม เล่อเหยาเหยาจึงเดินไปหลังตำหนักหย่าเฟิง ชื่นชมดอกไม้ ดูปลา เมื่อเหนื่อยก็กลับห้องพักผ่อน
ส่วนเสี่ยวมู่จื่อกลับกำลังปัดกวาดตำหนักหย่าเฟิง รับช่วงงานก่อนหน้านี้ต่อจากเล่อเหยาเหยา
หลังรู้ว่าเวลานี้เล่อเหยาเหยาตั้งครรภ์ ไม่ให้เล่อเหยาเหยาทำสิ่งใด รู้สึกเล่อเหยาเหยาเป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นมา
สำหรับการระวังและใส่ใจของเสี่ยวมู่จื่อ ทำให้เล่อเหยาเหยาอบอุ่นในใจ สุดท้ายจึงเชื่อฟัง ไม่ทำสิ่งใด กลับห้องไปพักผ่อน
การหลับครั้งนี้ ยาวนานจนพระอาทิตย์ตกดินจึงตื่นขึ้นมา
เมื่อเล่อเหยาเหยาตื่นขึ้นมา ดวงตาคู่งามยังคงมึนงง
หลังยืดแขนหาวออกมาอย่างเกียจคร้าน เสียงเต็มไปด้วยความหยอกล้อรักใคร่ ดังขึ้นข้างหู
“หมูน้อยขี้เกียจ ตื่นแล้วหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู แม้ไม่มอง เล่อเหยาเหยาก็รู้ว่าคือผู้ใด
ดังนั้น อดถูไถร่างกายในอ้อมกอดนั้นไม่ได้ ก่อนหาตำแหน่งที่สบาย แล้วเอ่ยปากถามอย่างเกียจคร้านว่า
“อวี๋ ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อใด”
“หนึ่งชั่วยามก่อน เห็นเจ้ายังหลับ จึงไม่รบกวนเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า
“ความจริงวันนี้ข้านอนนานเกินไป”
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นไร นอนเยอะดีต่อครรภ์”
พอพูดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ชะงัก ก่อนเอ่ยขึ้น
“วันนี้จวิ้นซีให้คนนำจดหมายส่งมา เอ่ยว่าวางแผนแต่งตั้งหย่าเอ่อร์เป็นพระชายา เรื่องของพวกเจ้าเขาย่อมพูดกับเสด็จแม่ของเขาด้วยตนเอง”
“หา จริงหรือ เช่นนั้นดียิ่งนัก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้าเล่อเหยาเหยาพลันยิ้มสดใสออกมา ในใจรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุด
แม้จะรู้ว่าหนานกงจวิ้นซีต้องรับผิดชอบถงหย่าเอ๋อร์แน่ ทว่าตอนนี้ในที่สุดได้ยินข่าวนี้ของเขา ทำให้ใจของพวกเขาคลายลงเล็กน้อย
ขณะเล่อเหยาเหยาดีใจ ได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยขึ้นอีกว่า
“เรื่องของพวกเรา วันนี้ข้าเอ่ยกับเสด็จพี่แล้ว ดังนั้นข้าวางแผนจะหาวันมงคลในสองเดือนนี้ จัดงานอภิเษกของพวกเรา”
“สองเดือน”
เร็วเกินไปหรือไม่!
ทว่าเล่อเหยาเหยาก็รู้ว่า ตอนนี้ตนตั้งครรภ์ แม้เด็กคนนี้จะเป็นบุตรของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ แต่หากถูกคนเห็นเธอท้องโตแล้วอภิเษก และเล่าลือออกไปคงดูไม่ดีแน่
ดังนั้นเรื่องนี้ต้องจัดการให้เสร็จรวดเร็วที่สุดยิ่งดี
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงไม่มีความเห็น
และธรรมเนียมของยุคสมัยนี้ เธอไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเรื่องพวกนี้จึงมอบให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋เป็นคนจัดการ เธอเพียงทำตัวเป็นเจ้าสาวคนใหม่ อภิเษกให้กับชายที่ตนรักเท่านั้น
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาเงยหน้า มองชายหนุ่มหล่อเหลาดุจเทพเซียนนี้ ในใจรู้สึกเหลือเชื่อ
สามเดือนก่อน เธอเป็นเพียงนักเรียนมอปลายปีสาม ภายในหัวคิดแต่เรื่องเรียน
คิดไม่ถึงภายในเวลาอันสั้น เธอกลับตั้งครรภ์ต้องแต่งงาน
โลกใบนี้ยากเกินจะคาดเดาได้จริงๆ!
ทว่าเล่อเหยาเหยากลับรู้ว่า แต่งงานกับชายผู้นี้ เธอต้องไม่เสียใจแน่นอน!
เพราะเขารักเธอ เธอก็รักเขา เช่นนี้เพียงพอแล้ว
เล่อเหยาเหยาเดิมทีคิดว่า ตนและเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะมีความสุข สงบสุขเช่นนี้ตลอดไป
คิดไม่ถึง นี่กลับเป็นเพียงความสงบก่อนพายุฝนจะตั้งเค้ามาเท่านั้น!