บทที่ 212 กระบี่ของข้าคนนี้... กระหายเลือด!

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“แม่นาง… อย่าเลยขอรับ!”

ดวงตาของอาจารย์อาอู๋แทบถลนออกจากเบ้าหลังจากที่ได้ยินข้อเสนอของอู๋อวิ๋นไป่ สวรรค์ช่วย แม่นางของข้า เหตุใดจึงแกว่งเท้าหาเสี้ยนเช่นนี้ นครหลวงตอนนี้อันตรายนัก การกระทำแค่เล็กน้อยอาจทำให้เกิดเหตุอาเพศใหญ่หลวงได้เลยทีเดียว เราคงไม่อยากกลายเป็นเสี้ยนหนามของฝูงขั้นนักพรตยุทธการหรอกนะขอรับ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเห็นทีจะจบไม่สวยแน่!

แม้ตำหนักเมฆาขาวจะแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายแล้วตอนนี้ก็มีแค่พวกเขาสองคนอยู่ในนครหลวงเท่านั้น

อู๋อวิ๋นไป่ไม่สนใจคำประท้วง แต่กลับหันไปจ้องอาหนี่ไม่วางตา

ประมุขอสรพิษผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรนั้นเรียกได้ว่าเป็นบุคคลในตำนาน เขาสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อสรพิษขึ้นมาให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าตำหนักเมฆาขาวได้โดยลำพัง

อู๋อวิ๋นไป่โตมากับการอ่านตำนานเกี่ยวกับประมุขอสรพิษที่ตำหนักเมฆาขาวบันทึกเอาไว้ แม้นางจะจำไม่ได้ว่าประมุขอสรพิษคนปัจจุบันเป็นคนที่เท่าไร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางหายตื่นเต้นอยากเจอประมุขอสรพิษแม้แต่น้อย

อาหนี่อึ้งทำอะไรไม่ถูกเหมือนสมองหยุดสั่งการ มนุษย์ตรงหน้าเขานี้เป็นอะไรไป เหตุใดจึงหมกมุ่นกับประมุขอสรพิษเช่นนี้ หรือว่า… เมื่อหลายพันปีก่อนพวกเราจะมาจากเชื้อสายเดียวกันจริงๆ

แค่คิดอาหนี่ก็เสียวสันหลังวาบแล้ว

“ข้าโตมากับการอ่านตำนานอันแสนทึ่งของประมุขอสรพิษ ข้าอยากเจอบุคคลในตำนานเช่นนั้นมานานแล้ว อยากรู้เหลือเกินว่าชายที่ทำให้บิดาผู้แสนแข็งแกร่งของข้าบาดเจ็บ จนต้องใช้เวลากว่าสามปีในการรักษาตัวนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร”

ความตื่นเต้นหายไปจากใบหน้าอู๋อวิ๋นไป่ ก่อนที่นางจะหันไปอธิบายให้อาหนี่ฟังอย่างใจเย็น

เอ่อ… ดูเหมือนว่าตอนนี้เรื่องจะเอนเอียงไปทางเศร้ามากกว่า หรือเหตุผลที่นางหมกมุ่นกับประมุขอสรพิษมาจากการที่อีกฝ่ายเคยทำให้บิดาของนางบาดเจ็บกัน

ความคิดของอาหนี่กระจัดกระจายไปทั่ว

“แค่บอกมาก็พอ เจ้าจะพาข้าไปเจอหรือไม่พาข้าไปเจอ” อู๋อวิ๋นไป่กอดอกยกคางขึ้นพลางเอ่ยถาม

“ได้สิ! หากเจ้าช่วยหยูฟู่และท่านลุงหยูเฟิ่งได้ ข้าจะอ้อนวอนท่านผู้อาวุโสสูงสุดทุกทางให้จัดการพบปะนี้ให้!” อาหนี่พูดเสียงรอดไรฟัน เผ่าของเขามีโอกาสได้พบประมุขอสรพิษแค่เพียงปีละครั้ง โอกาสที่ว่านี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง

“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลง” อู๋อวิ๋นไป่พอใจเป็นอันมาก นางหัวเราะเบาๆ พลางดีดนิ้ว

อาจารย์อาอู๋ที่ยืนอยู่เบื้องหลัน้ำตาไหลอาบสองแก้ม แม่นางของข้า… ท่านไม่ทำตัวเอาแต่ใจไม่ยั้งคิดเช่นนี้ไม่ได้หรือขอรับ หากท่านอยากเจอประมุขอสรพิษ เหตุใดจึงไม่ไปขอท่านพ่อของท่านตอนเรากลับไปยังตำหนักเมฆาขาวแล้วเล่า

“เถ้าแก่ปู้ ข้าขอสุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งที่มีขายวันนี้ได้หรือไม่! เอามาให้ข้าหนึ่งจอก!” อู๋อวิ๋นไป่รู้สึกเหมือนกำลังเหาะเหินเดินอากาศ นางโบกมือไปมาอย่างห้าวหาญ

“แม่นางขอรับ… คิดให้รอบคอบอีกทีได้หรือไม่ขอรับ” อาจารย์อาอู๋พยายามเกลี้ยกล่อม

แต่อู๋อวิ๋นไป่กลับเมินอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง นางหันไปสนใจปู้ฟางแทน

ปู้ฟางพยักหน้าหน้าตาย จากนั้นก็เดินหันหลังกลับเข้าครัวไป

ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าครัว เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากทางเข้าร้านพอดิบพอดี ร่างหลายร่างพากันเบียดเสียดเข้าร้านมา

คนกลุ่มแรกมีสมาชิกตระกูลโอวหยางรวมอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าการบรรลุขั้นปราณของสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางจะทำให้ทุกคนในตระกูลตกใจเป็นอันมาก จนต้องรีบรุดมาที่ร้านแต่เช้าในวันนี้

โอวหยางเสี่ยวอี้ยื่นคอออกมา ดวงตามองไปที่ห้องครัว หากเถ้าแก่ปู้ไม่ได้อยู่ในร้าน แปลว่าตอนนี้เขาอยู่ในครัว

“อยากสั่งอะไรก็บอกข้ามานะเจ้าคะ”

โอวหยางเสี่ยวอี้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ของตน ซึ่งรวมถึงการรับรายการอาหารที่ลูกค้าสั่งด้วย

“วันนี้ร้านเรามีสุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งขายแค่ห้าจอกเท่านั้น” เสียงของปู้ฟางลอยออกมาจากห้องครัว จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมเหยือกหยกสีขาวในมือ สีหน้าดูนิ่งเฉยไร้อารมณ์เป็นที่สุด

แม้ฝูงชนจะไม่พอใจกับจำนวนสุราที่ลดน้อยถอยลงอีกแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ประท้วงอะไร เนื่องจากสุรานี้ช่วยให้คนบรรลุขั้นปราณได้… ของนั้นยิ่งหายากยิ่งแสนล้ำค่า เป็นสัจธรรมของโลกโดยแท้

ปู้ฟางวางเหยือกหยกสีขาวลงบนโต๊ะแล้วเปิดฝาออก ในเหยือกมีสุราเหลืออยู่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น กลิ่นสุราหอมฟุ้งระเบิดออกจากเหยือกทันที ทำให้ทุกคนเมามายไปตามๆ กัน

กลิ่นสุราลอยออกจากตรอกเล็กแต่เช้า เข้ายึดครองพื้นที่โดยรอบจนหมดสิ้น

จ๋อมแจ๋ม ปู้ฟางใช้กระบวยไม้ไผ่ตักน้ำสุราสีฟ้าอมเขียวใสขึ้นมาใส่จอก หมอกที่ก่อตัวเป็นทางสามสายลอยอยู่เหนือจอก อัดแน่นไปด้วยพลังปราณเข้มข้นที่ไหลเวียนออกมา

“นี่สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งที่สั่ง ดื่มให้สนุก” ปู้ฟางพูดพร้อมยื่นจอกสุราให้อู๋อวิ๋นไป่ ผู้ซึ่งอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป

อู๋อวิ๋นไป่รับจอกมา ดวงตาจ้องไปที่จอกในมือไม่วอกแวกไปไหน นางเลียริมฝีปากแดงเรื่อ กลืนน้ำลายเอื๊อก จากนั้นก็จิบไปหนึ่งจิบ

รสชาติแหลมร้อนรุ่มกระจายตัวในปากของหญิงสาวทันที ทำให้รู้สึกยะเยือกไปทั้งตัว ดวงตาของนางเป็นประกาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกระดกอีกสามจิบจนหมดจอก

ปู้ฟางรับจอกที่อู๋อวิ๋นไป่โยนมาด้วยสีหน้ามึนงง จากนั้นก็หันไปมองนางด้วยสายตาสงบนิ่ง

ใบหน้าของอู๋อวิ๋นไป่แดงก่ำไปหมด แก้มระเรื่อทำให้นางดูน่ารักน่ามอง หลังจากที่เรอออกมาหนึ่งยก นางก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างโงนไปเงนมา ศีรษะหมุนติ้ว ก่อนจะหงายหลังล้มลงบนพื้นเสียงดังตึง

“แม่นาง!” อาจารย์อาอู๋ตกใจมาก รีบก้าวออกมารับตัวอู๋อวิ๋นไป่เอาไว้ แต่อีกฝ่ายก็เมามายจนไม่ได้สติไปเสียแล้ว

สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งหนึ่งจอกนั้นมีฤทธิ์แรงมาก ที่เขากล่าวกันว่า “สลบในจอกเดียว”นั้น… ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแม้แต่น้อย

“เถ้าแก่ปู้… พวกข้าขอตัว นี่ห้าร้อยผลึกค่าสุรา เอาไว้เจอกันวันหลังก็แล้วกัน” อาจารย์อาอู๋มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าอึ้งพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้นางเพิ่งประกาศกล้าเสียดิบดีว่าจะช่วยชีวิตคน แต่ตอนนี้ดื่มสุราไปจอกเดียวกลับสลบเหมือดนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแล้ว แม่นาง… นี่ท่านเล่นจำอวดอยู่หรือขอรับ

ปู้ฟางรับผลึกมาแล้วพยักหน้าตอบรับ

อาจารย์อาอู๋ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาประคองร่างของอู๋อวิ๋นไป่เอาไว้แล้วเดินออกจากร้านไป ทั้งยังเรียกอาหนี่ที่ดูเหมือนคนเหลงทางให้ตามมาด้วย

ทั้งสามหายตัวออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว

ปู้ฟางเคาะเหยือกหยกสีขาวด้วยกระบวยไม้ไผ่เพื่อเรียกความสนใจของทุกคน ก่อนประกาศเสียงเรียบ “เหลืออีกสี่จอก”

บรรดาฝูงชนกระสับกระส่ายทันที ทุกคนต่างพากันเบียดเสียดมาข้างหน้าเพื่อแย่งชิงสุรา ทำให้เกิดความโกลาหลพอตัว

หลังจากที่ขายสุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งหมดสี่จอก ปู้ฟางก็เก็บเหยือกหยกสีขาวกลับเข้าครัวไป

พอขายสุราเสร็จเรียบร้อย ร้านก็กลับมาทำการตามปกติอีกครั้ง ตระกูลโอวหยางพากันหามผู้เฒ่าโอวหยางกลับไป ส่วนเซียวเสี่ยวหลงก็แบกเซียวเยวี่ยที่นอนแอ้งแม้งจึ๊ปากอยู่บนพื้นออกจากร้านไปเช่นกัน…

“น่าเสียดายจริง วันนี้มีอาหารรายการใหม่แต่กลับไม่มีใครอยากลอง” ปู้ฟางยิ้มพลางพูดพึมพำขณะมองลูกค้าจากไปทีละคนสองคน

“ตายๆ เถ้าแก่ปู้ ขายดีแต่เช้าเลยนะ! เดี๋ยวนี้ต่อให้มาแต่เช้าก็แทบจะเบียดตัวเข้าร้านมาไม่ได้แล้ว” เจ้าอ้วนจินพุงยื่นทักทายอย่างเป็นกันเองขณะเดินผ่านประตูเข้าร้านมาพร้อมกองทัพชายอ้วนขาประจำ

จากนั้นร้านก็กลับมาขายอาหารตามปกติเหมือนทุกๆ วัน

“เสี่ยวอี้ วานเอาอาหารไปให้ลูกค้าที”

“เจ้าค่ะ!”

  …

อู๋อวิ๋นไป่นอนแผ่อ้าซ่าอยู่บนเตียงเหมือนหมึกตากแห้ง ทันใดนั้นร่างของนางก็สั่นเทา นางตีแข้งตีขาไปมา ทำเอาเตียงกระจุยกระจายเละเทะไปหมด

จากนั้นหญิงสาวก็ผุดลุกขึ้นนั่งพลางทำปากยื่น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป นางนวดศีรษะตนเองที่ปวดหนึบ แล้วหันออกไปมองท้องฟ้าข้างนอกที่มืดมิด ดวงตาหรี่จนเล็กหยี อู๋อวิ๋นไป่ผ่อนลมหายใจที่ยังคงมีกลิ่นสุราแรงออกมาเบาๆ

ทันใดนั้นหญิงสาวก็ตกใจจนชะงักแล้วเริ่มสำรวจตนเองดูว่าบรรลุขั้นปราณหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้สัมผัสการบรรลุด้วยตนเองหลังจากที่ได้ดื่มสุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งซึ่งทำจากดอกบัวประมุขเข้าไป

“นี่… นี่มัน… สวรรค์โปรด!”

อู๋อวิ๋นไป่อึ้งจนพูดไม่ออก นางสัมผัสได้ถึงทะเลสาบพลังปราณที่กำลังหมุนวนอยู่ในเส้นปราณ มันปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ออกมาไม่หยุดยั้ง หากเปรียบเทียบเส้นปราณของนางเมื่อวานกับวันนี้ พลังปราณของนางเมื่อวานเปรียบเสมือนน้ำบ่อน้อย ส่วนวันนี้กลับกลายเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่

ใครจะไปคาดคิดว่าสุราจอกเดียวจะช่วยให้นางบรรลุขั้นปราณได้ขณะที่ยังหลับลึกอยู่

พายุพลังปราณที่ใจกลางร่างกายปล่อยคลื่นพลังปราณหมุนเวียนออกมาจากทะเลสาบกว้างใหญ่… เป็นสัญญาณบอกว่านางได้บรรลุขั้นนักพรตยุทธการเรียบร้อยแล้ว

อู๋อวิ๋นไป่ดวงตาเบิกกว้าง เสียงหัวเราะดังลอดริมฝีปากแดงเรื่อออกมา

หญิงสาวยืนนิ่งอยู่กับที่ บังคับพลังปราณให้ไหลออกจากหัวใจ ดันลงไปที่เท้าทั้งสองข้าง ร่างทั้งร่างลอยขึ้นในอากาศ นางเดินเหยียบไปบนอากาศแม้ยังรู้สึกมึนเมาอยู่เล็กน้อย แต่ก็เก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่

ก้าวเหาะเหิน เป็นเคล็ดวิชาที่มีเพียงขั้นนักพรตยุทธการเท่านั้นที่ทำได้

“ข้าบรรลุขั้นปราณจริงๆ เสียด้วย! แถมยังทำได้อย่างไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด ถึงจะเป็นเพราะข้ามีรากฐานที่แข็งแกร่ง แต่สุราของเถ้าแก่ปู้นั้นเรียกได้ว่ามหัศจรรย์เหมือนเวทมนต์โดยแท้… ก่อนหน้านี้ข้ากังวลว่าหากข้าสลบไปเพราะฤทธิ์สุราจะทำให้เสียโอกาสในการบรรลุขั้นปราณ ใครจะไปคิดว่าตื่นมาก็กลายเป็นขั้นนักพรตยุทธการไปเสียแล้ว!” อู๋อวิ๋นไป่กำหมัดด้วยความตื่นเต้น อดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจออกมาอย่างเก็บไม่อยู่

นางเดินออกจากห้องแล้วก็เห็นอาจารย์อาอู๋กำลังนอนแผ่หรา กรนดังเหมือนเครื่องจักร

มนุษย์อสรพิษนามอาหนี่เองก็นั่งอยู่บนหางที่ม้วนของตนเอง หลับตาอยู่เช่นกัน

เมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ อู๋อวิ๋นไป่ก็หยีตาลง ความอ่อนโยนปรากฏขึ้นในดวงตา ก่อนที่นางจะเปิดปากตะโกนเสียงดังลั่น

“อาจารย์อาอู๋!”

ผู้ที่ถูกเรียกชื่อพลันสะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจ ดวงตาง่วงงุนของเขาเบิกกว้าง อาหนี่เองก็เปิดเปลือกตาขึ้น ดูงุนงงเช่นกัน

“มาเร็ว ไปช่วยตัวประกันกัน! กระบี่ของข้าคนนี้… กระหายเลือดมาตั้งแต่ชาติที่แล้วแล้ว!”

อู๋อวิ๋นไป่ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นไปค้างเติ่งอยู่ในอากาศด้วยท่าทางที่เหมือนวีรสตรีผู้ห้าวหาญไม่มีผิดเพี้ยน