ตอนที่ 137 กลับบ้าน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 137 กลับบ้าน

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบหก ยามเย็น เรือสำเภาก็ได้มาถึงหลินเจียง

สำหรับทุกเรื่องที่ไป๋ยู่เหลียนได้กล่าวมาในวันนี้ ผลสรุปสุดท้ายก็คือฉินถงได้กลายมาเป็นเหยื่อของผลประโยชน์ทางการเมือง

คาดว่าในตอนแรกคงทำตามแผนการของตระกูลฉิน ที่คิดจะฟูมฟักฉินถงให้กลายเป็นนายพลสูงสุด แต่ท้ายที่สุดแล้วในตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทั้งหกของเมืองหลวง ตระกูลฉินก็อ่อนแอที่สุด

แค่ราชครูเฟ่ยเพียงใช้หนึ่งคันธนูก็ลบล้างแผนการของตระกูลฉิน ทั้งยังทำให้เฟ่ยปังได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมของเมืองหลวง และหนึ่งในนั้นตระกูลเยี่ยนย่อมยอมหลีกทางให้แก่ตระกูลเฟ่ย มิฉะนั้นเยี่ยนฮ้าวชูก็มิมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ฐานะขุนนางขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพตะวันออก

แต่การคาดเดานี้ก็ยังมีความขัดแย้งอยู่หลายจุด ยกตัวอย่างหากฉินถงไม่ตาย หากตระกูลเยี่ยนและตระกูลเฟ่ยร่วมมือกัน เฟ่ยปังได้กลายเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม เยี่ยนฮ้าวชูได้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพตะวันออกก็มิใช่เรื่องลำบากอันใด

แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องสังหารฉินถงกัน ?เพียงเพื่อกดดันจวนฉินเยี่ยงนั้นรึ ? สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ความน่าจะเป็นของเรื่องนี้มิสูงนัก เพราะฉินถงคือหลานคนโตของฉินปิ่งจง และถึงแม้ในเวลานั้นฉินปิ่งจงจะยังมิได้แตกหักกับฉินหยูเหิง และเขามิใช่หัวหน้าตระกูล เป็นเพียงแค่นักปราชญ์ท่านหนึ่ง มิได้เป็นภัยคุกคามต่อใคร เยี่ยงนั้นแล้วความลับที่ซ่อนอยู่นั้นเกรงว่าคงมิอาจมีผู้ใดรับรู้ไปตลอดกาล

หลังจากที่ถึงหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เขียนจดหมายหนึ่งฉบับแล้วมอบให้ไป๋ยู่เหลียน ไป๋ยู่เหลียนพาวีรชนทั้งห้าร้อยคนแยกย้ายกันขึ้นรถม้าไปยังเรือนซีซาน ส่วนฟู่เสี่ยวกวน ซูม่อ ซูเจวี๋ยรวมทั้งซูโหรวตรงไปยังจวนฟู่ที่หลินเจียง

ท้ายที่สุดเขาได้จากหลินเจียงมา 2 เดือนแล้ว ย่อมต้องกลับบ้านไปดูความเรียบร้อยเสียหน่อย

ในตอนที่รถม้ามาถึงจวนฟู่ หลังจากที่กลุ่มของฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไป ฟู่ต้ากวนที่กำลังเดินไปมาอยู่ในลานด้านหน้าก็สะดุ้งขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็ตะโกนอย่างดีใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า บุตรชายของข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หัวเราะ ร่างท้วมของบิดาผอมลงไปมากแล้ว

หลังจากที่ฟู่ต้ากวนกล่าวจบ ห้องที่อยู่ติดลานด้านหน้าก็ได้มีสตรีที่งดงามทั้งห้าเดินออกมา แต่ละนางงามหยดย้อยราวกับน้ำที่ชุ่มชื้น นั่นย่อมเป็นแม่ทั้งห้าของเขาอย่างแน่นอน

“ไอหยา เสี่ยวกวนบุตรของข้า ทำแม่เจ็ดคิดถึงจะตายแล้ว ! ” คำพูดนี้มาจากชวูหลิงหลง

ฟู่เสี่ยวกวนจะทำเยี่ยงไรได้ ? แม่เจ็ดผู้นี้อายุอ่อนกว่าเขาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่นางกลับเป็นมารดาด้วยนี่สิ !

“ไอหยา แม่ทั้งห้าของข้านี่เอง ข้าเองก็คิดถึงพวกท่านเหลือเกิน มามามา เสี่ยวกวนมีของขวัญมามอบให้พวกท่านด้วย ลองดูว่าชอบอันใดก็เลือกไปได้เลย”

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ คนรับใช้หลายคนขนย้ายกล่องใบใหญ่ห้าใบลงมาจากรถม้า

เขาเปิดกล่องเหล่านั้นออกทีละใบ แสงสีทองเป็นประกายทำให้ดวงตาของพวกนางมืดบอด “อย่าเอาไปจนหมด เก็บเอาไปให้กับแม่รองด้วย”

“แม่รองเล่า ? ”

“ให้นมลูกอยู่ที่เรือนตะวันออก… ข้าว่ามันไม่คุ้มค่าเสียเลยที่เจ้าซื้อของเหล่านี้มา”

“ท่านพ่อ ของเหล่านี้มีคนให้มาอีกทีหนึ่ง”

“โอ้ ! เยี่ยงนั้นจะมากกว่านี้ก็ย่อมได้”

คนรับใช้สองคนนำแผ่นป้ายหนึ่งใบลงมา ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวกับฟู่ต้ากวนว่า “ของสิ่งนี้ขอมอบให้ท่าน ท่านเลือกเองเลยว่าจะนำไปแขวนในวันเวลาใด ฝ่าบาททรงเขียนด้วยพระองค์เอง”

ฟู่ต้ากวนปลื้มปีติทันพลัน เขาจ้องมองป้ายนั้นอย่างละเอียด และใช้มือลูบมัน “กล่าวได้ว่า ป้ายจวนฟู่ของพวกเราก็ได้รับพระราชทานจากฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ไอหยา นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งสำหรับสุสานบรรพบุรุษของตระกูลฟู่ มิได้การ พรุ่งนี้ข้าจักไปหน้าหลุมศพมารดาเจ้าแล้วจุดธูปสักดอกสองดอก”

แม่ทั้งห้าที่ในมือนั้นต่างก็ถือของสวยงามอยู่หลายชิ้น ทันทีที่ได้ยินว่าป้ายนั้นเป็นป้ายพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ ทันใดนั้นก็มาล้อมรอบและมองดูอย่างมีความสุข นี่คือเกียรติยศที่สูงส่งหาที่ใดเปรียบ ใคร่ครวญดูหลินเจียงที่ใหญ่โตแห่งนี้สิ ตระกูลใดบ้างที่ได้รับป้ายพระราชทานเยี่ยงนี้จากองค์ฮ่องเต้ ?

ในตอนนี้พวกนางถือว่าเป็นคนของจวนฟู่กันทั้งสิ้น ตระกูลฟู่ได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้พวกนางก็ได้รับเกียรตินั้นด้วยเช่นกัน

นี่คือแนวคิดของวงศ์ตระกูล หญิงสาวที่แต่งงานแล้วโชคชะตาของชีวิตจะเป็นหนึ่งเดียวกับตระกูลของสามี

“บุตรชายของข้า เสี่ยวกวน เจ้ายอดเยี่ยมยิ่ง ! พวกเจ้ามาดูกัน ของสิ่งนี้คือสิ่งที่เสี่ยวกวนได้รับมาจากฝ่าบาทด้วยมือของตนเอง… เสี่ยวกวนเอ๋ย เจ้าในตอนนี้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ได้รับตำแหน่งขุนนางแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองดวงตาที่เปล่งประกายของชวูหลิงหลง และกล่าวยิ้ม ๆ “ได้รับมาแค่ขุนนางตำแหน่งเล็ก ๆ ฝ่าบาทประทานฐานะจิ้นซื่อให้แก่ข้า และตกรางวัลตำแหน่งว่างงานอย่างฉาวซ่านต้าฟู”

ชวูหลิงหลงดีใจอย่างยิ่ง และจึงเอ่ยถาม “ฉาวซ่านต้าฟูนี้เป็นขุนนางขั้นใดกัน ? ”

“ขั้นห้า”

“ไอหยา นี่มันช่างน่าทึ่งมากเสียจริง ข้ามีลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ห่างไกลกัน ปีนี้อายุได้ 40 ปี จนถึงตอนนี้ยังเป็นเพียงนายอำเภอขั้นที่เก้า พวกเจ้าดูสิ เสี่ยวกวนไปเมืองหลวงเพียงสองเดือนเป็นช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ แต่กลับได้ตำแหน่งขุนนางขั้นที่ห้ากลับมา หากเวลาผ่านไปได้อีกสักหน่อย ขุนนางขั้นหนึ่งคงมิหนีไปไหนแน่ !”

แม่ทั้งห้าและบิดาในยามนี้ยินดีอย่างถึงที่สุด ความสุขในที่นี้ทำให้ฉีซื่อที่อยู่เรือนตะวันตกตกใจไปด้วย นางอุ้มลูกเดินออกมา ฟู่เสี่ยวกวนคำนับฉีซื่อทันทีที่พบ “คำนับแม่รอง ได้ยินว่าข้าได้มีน้องสาวแล้ว ขอข้าอุ้มได้หรือไม่ ? ”

ฉีซื่อส่งบุตรสาวในมือให้ ฟู่เสี่ยวกวนมองน้องสาวที่ยังแบเบาะและมีความสุขขึ้นมาทันพลัน มิว่าอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ก็ถือว่าตนเองนั้นได้มีน้องสาวแล้ว

“แม่รอง ของเหล่านี้ข้านำกลับมาจากเมืองหลวง ท่านลองดูและเลือกของที่ชอบไปได้เลย… นอกจากนี้ เรือนที่เมืองหลวงได้ปรับปรุงเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใหญ่กว่าเรือนนี้ตั้งหลายสิบเท่า ท่านพ่อกล่าวว่ายามข้ามปีจะพาพวกเราทั้งครอบครัวไปยังเมืองหลวง”

แม่ทั้งห้าต่างยินดียิ่งขึ้น มีเพียงฉีซื่อที่ผิดหวังเล็กน้อย นางหวังอย่างยิ่งว่าตนเองจะคลอดบุตรชาย พร้อมกับจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน อายุที่ยังเยาว์วัยแต่ได้สร้างกิจการที่ใหญ่โตขึ้นมา คิดว่าหยุนชิงที่นอนอยู่ในหลุมศพก็คงตื่นขึ้นมาหัวเราะเช่นกัน

“แม่รอง นี่คือน้องสาวคนแรกของข้า ข้าชื่นชอบนางยิ่งนัก ต่อจากนี้ไปนางจะได้ใช้ชีวิตเยี่ยงองค์หญิง ท่านต้องดูแลนางให้ดี ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนี้อย่างจริงจัง ฉีซื่อชะงัก ในใจพลันดีใจปลื้มปีติยิ่ง นี่คือคำสัญญาที่ฟู่เสี่ยวกวนมีต่อนาง

ปมในใจของนางพลันคลายออก และกล่าวยิ้ม ๆ “เมื่อได้ยินเสี่ยวกวนกล่าวเยี่ยงนี้ แม่รองก็สบายใจยิ่งนัก แม่รองนั้นย่อมเลี้ยงดูเสี่ยวซีเป็นอย่างดี ส่วนความมั่งคั่งและความร่ำรวยในภายภาคหน้าของเสี่ยวซี คงขึ้นอยู่กับเจ้าที่เป็นพี่ชายของนางแล้ว”

“นางชื่อฟู่เสี่ยวซีหรือ ? เป็นชื่อที่ดี แม่รองสบายใจเถิด รอนางเติบใหญ่เสียหน่อยจะได้ไปเล่าเรียนที่เมืองหลวง” ความจริงฟู่เสี่ยวกวนนึกตำหนิชื่อนี้อยู่ในใจ ตัวซีนั้นเขียนได้ยากเกินไป ภายภาคหน้าหากน้องสาวได้เข้าเรียน เกรงว่าจะลำบากนางอยู่เล็กน้อย

เมื่อส่งเด็กคืนฉีซื่อแล้ว ฟู่ต้ากวนจึงกล่าวขึ้นมา “เอาล่ะ ๆ ยกของทั้งหมดนี้ไปเก็บเสีย พวกเสี่ยวกวนเพิ่งจะกลับมา คงเหนื่อยกับการนั่งรถและเรือ รีบไปอาบน้ำอาบท่าเถิด กำชับโรงครัวให้ทำอาหารดี ๆ ขึ้นโต๊ะเพื่อรองรับบุตรชายของข้าและพรรคพวกที่เดินทางมาไกล”

ฟู่เสี่ยวกวนกับซูม่อและคนอื่น ๆ เดินไปยังเรือนหลัง และในท้ายที่สุดความวุ่นวายเมื่อครู่ก็ค่อย ๆ สงบลง

เขาสั่งให้ชุนซิ่วจัดสาวใช้สองคนไปจัดเก็บห้องให้แก่ซูเจวี๋ยและซูโหรวสองห้อง แล้วจึงเข้าไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำอีกสักเล็กน้อย หลังจากนั้นก็มาถึงภายในเรือน และล้มตัวนอนบนเก้าอี้เอนหลัง

ช่างสบายยิ่งนัก !

“เจ้าว่า… ข้าในตอนนี้เป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินทั้งอย่างนี้ก็ดีพอแล้ว ในตอนนี้ข้ากลับนำพาตัวเองออกไปทรมานกับอีกหลายเรื่อง ซีซานก็เติบใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมืองหลวงก็ยิ่งลึกลง เจ้าต้องการสิ่งใดเยี่ยงนั้นรึ ? ”

กลุ่มพี่น้องของซูม่อสามคนนั่งล้อมโต๊ะหิน ซูโหรวยังคงปักผ้า ในยามนั้นก็เหลือบสายตามามองฟู่เสี่ยวกวน

“เหล่าชายหนุ่มที่อยู่บนโลกใบนี้ย่อมอยากสร้างคุณูปการ”

ชุนซิ่วยกน้ำชาเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงและเริ่มชงชา

“พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปซีซาน ต่อจากนั้นก็มีอีกสองเรื่องที่สำคัญยิ่ง”

เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ฟู่เสี่ยวกวนราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เมื่อครู่ราวกับซึมเศร้าอยู่เล็กน้อย แต่เพียงพริบตาเขาก็มีพลังเพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยเท่าสำหรับการเตรียมพร้อมในวันพรุ่งนี้

ซูโหรวได้เหลือบดวงตาเรียวขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนอีกหน นึกถึงที่ศิษย์น้องผู้นี้กล่าวว่าคนผู้นี้แตกต่าง… คงต้องดูว่าเขานั้นแตกต่างเยี่ยงไร