ตอนที่ 138 ผู้มีความสามารถ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 138 ผู้มีความสามารถ

ค่ำคืนนี้ จวนฟู่ได้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย บรรยากาศครึกครื้นยิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนเล่าเรื่องการใช้ชีวิต ณ เมืองหลวงให้แก่พวกเขาฟัง แต่เขามิได้กล่าวถึงเรื่องที่ทำให้ท่านเสนาบดีกรมพิธีการกระอักเลือด อีกทั้งมิได้เล่าเรื่องที่ตนถูกลอบฆ่า เนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะเป็นห่วง เรื่องราวที่เขากล่าวนั้นเรียบง่ายราวกับเป็นเรื่องที่จัดการได้โดยง่ายดาย

ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่งเรื่องความยากลำบากขึ้นบ้างเล็กน้อย แม่ทั้งหกของเขากลับเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

สุดท้ายฟู่ต้ากวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ลูกข้า เจ้ามีนางในดวงใจหรือไม่ ? บัดนี้จวนฟู่ของเรามีแม่สื่อมามิขาดสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรสาวของเหยาจี้ นางไปหาแม่เจ็ดของเจ้าแทบจะทุกวัน พ่อมองดูแม่นางก็มิได้มีข้อบกพร่องใด เจ้าว่า…จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเป็นอย่างไร ?”

แม่ทั้งหกมองมายังฟู่เสี่ยวกวน เขานำมือลูบจมูกแล้วหัวเราะว่า “เรื่องนี้ท่านพ่อวางใจได้ ข้ามีนางในดวงใจแล้ว อยู่ที่เมืองหลวง ปีใหม่พวกเราเดินทางไปก็จะได้พบ”

“ใครกัน ? เล่าให้ฟังได้หรือไม่” ชวูหลิงหลงถามด้วยความสงสัย

แม้นางจะแต่งงานแล้ว แต่นางก็อายุเพียง 16 ปี ยังมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา

“ต่งชูหลาน บุตรสาวของท่านเสนาบดีต่ง นางเคยเดินทางมายังหลินเจียงเพื่อเจรจาเกี่ยวกับพ่อค้าหลวง”

“เป็นนางเองหรือ ! ” แม่ทั้งหกของเขาตกตะลึง ฟู่เสี่ยวกวนมีความสัมพันธ์กับกรมการคลังนี่เอง มิน่าเล่าเขาถึงได้ดำเนินการทุกอย่างราบรื่นในเมืองหลวง มิธรรมดาเสียจริง แต่ก็น่าเห็นใจสตรีเมืองหลินเจียงที่เฝ้าคร่ำครวญคิดถึงเขาตลอดเวลา

ฟู่ต้ากวนขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่าสถานการณ์ครอบครัวของตนเป็นเช่นไร แม้ตัวเขาจะเคยกล่าวไว้ว่าหากหาภรรยาควรหาให้ได้เช่นแม่นางต่งชูหลาน แต่บัดนี้เมื่อเขาได้ยินว่านางในดวงใจของบุตรชายคือแม่นางต่งชูหลาน ก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที

ครอบครัวของทั้งสองมิเหมาะสมกัน เกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจขึ้นอีกครา

“ครอบครัวของเขา…มีความคิดเห็นว่าอย่างไร ?” ฟู่ต้ากวนเอ่ยถาม

“หาได้มีความคิดเห็นใดไม่ ข้าและแม่นางต่งมีความรู้สึกตรงกัน อีกทั้งข้าได้รับตำแหน่งจิ้นซื่อจากฝ่าบาทอีกด้วย”

เมื่อฟู่ต้ากวนลองคิดทบทวนดู อืม จริงด้วยสิ ! บัดนี้ลูกข้ามีตำแหน่งในราชการ ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้อาจมีความเป็นไปได้

“เจ้าคาดว่าจะแต่งงานกันเมื่อใด ? พ่อจะได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า”

“ท่านพ่ออย่าได้รีบร้อนใจไป รออีกสักสองสามปีเถิด”

“ได้อย่างไรเล่า ? แม่นางชูหลานจะรอเจ้าได้หรือ ? ครอบครัวของนางจะเห็นด้วยหรือ ? มิได้ ๆปีใหม่นี้เดินทางไปสู่ขอนางที่เมืองหลวงเป็นไร ? ”

“เอ่อ…ควรรออีกสักหน่อยจริง ๆ ท่านพ่อ เนื่องจากมิได้มีเพียงแม่นางต่งชูหลานเพียงคนเดียว”

“หืม ?…” ฟู่ต้ากวนตกตะลึง แม่ทั้งหกของนางก็หัวเราะออกมา “ฟู่เสี่ยวกวน เจ้านี่ไม่ธรรมดาเสียจริง เดินทางไปเมืองหลวงเพียงสองเดือน ก็มีนางในดวงใจถึงสองคน อีกคนหนึ่งคือใครกัน ?”

“คือ…อีกคนหนึ่งคือองค์หญิงเก้า หยูเวิ่นหวิน”

“หา…! ” ทุกคนล้วนอุทานเป็นเสียงเดียวกัน แม้แต่ฟู่ต้ากวนเองก็นั่งงงเป็นไก่ตาแตก

องค์หญิงงั้นหรือ !

องค์หญิงก็ต้องคู่กับพระราชบุตรเขยมิใช่หรอกหรือ ?

หรือองค์หญิงเก้าจะลดตัวลงมากัน ?

ว่าแต่เขาไปรู้จักกับองค์หญิงเก้าได้เยี่ยงไร ?

เขานำทรัพย์สมบัติมากมายกลับมา หรือนี่คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงมอบให้ ?

คาดว่าคงเป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นฝ่าบาทจะทรงเขียนป้ายจวนฟู่ด้วยพระองค์เองเยี่ยงนั้นหรือ ? ฝ่าบาททรงต้องการให้ตระกูลฟู่มีหน้ามีตา เพื่อยกระดับราชบุตรเขยของตนนั่นเอง

ดังนั้นแม่ทั้งหกจึงมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาร้อนผ่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉีชื่อ บัดนี้นางจึงได้เชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้โกหกนาง

หากฟู่เสี่ยวกวนและองค์หญิงเก้าแต่งงานกันจริง ๆ หากเสี่ยวซีต้องการเพชรนิลจินดานั่นมิใช่เรื่องง่ายดายหรือ อีกอย่างในอนาคตคาดว่าจวนฟู่คงต้องย้ายไปยังเมืองหลวง

“เรื่องราวระหว่างนั้นค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นท่านพ่ออย่าได้รีบร้อนใจไป ข้าจะจัดการให้เหมาะสมอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องการสู่ขอ พวกท่านจงกล่าวว่าข้ามีคู่หมั้นหมายแล้ว ให้พวกนางถอดใจเสีย อย่าได้กล่าวชื่อแม่นางต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินออกไป อาจทำให้พวกนางเสียหายได้”

การเลี้ยงต้อนรับดำเนินไปอย่างราบรื่น ฟู่ต้ากวนดื่มสุราไปมิใช่น้อย ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจเขาเนื่องจากมีแม่ทั้งหกคอยดูแล หลังจากนั้นเขาได้พาซูม่อเดินทางออกจากจวนฟู่ไปยังสำนักศึกษาหลินเจียง

ฉินปิ่งจงเดินทางมาก่อนหน้าเขาสองวันแล้ว เขาจะเดินทางไปพบฉินปิ่งจงเพื่อนำตัวฉินเฉิงเย่ไปยังซีซาน

ตอนนั้นที่จวนฉินในเมืองหลวง ฉินเฉิงเย่ให้ความสนใจกับอาวุธปืนมาก อีกทั้งเคยประจำการอยู่สำนักอาวุธปืนมาก่อน เขาและอาจารย์ค้นคว้าทดลองมาด้วยกัน และได้ทำการปรับปรุงวิธีต่าง ๆ นานา เพียงแต่ราชสำนักมิให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าใดนัก จึงมิได้มีทุนการค้นคว้าทดลอง ดังนั้นวิธีการต่าง ๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นมาล้วนแต่ยังมิได้ปฏิบัติจริง

เขาผู้นี้มีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน เขาชื่นชอบในการค้นคว้า ความคิดหลักแหลม ท่าทางว่องไว พวกเขาเจรจากันเรื่องอาวุธนี้ ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่ามีลักษณะคล้ายกับปืนคาบศิลาเมื่อชาติที่แล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเขาอาจจะได้บุคคลมีความสามารถมาร่วมงานด้วย อีกทั้งก่อนหน้านี้ฉินเฉิงเย่กล่าวว่ามีนายช่างด้านอาวุธจำนวนมากต้องการออกจากที่นั่น หากฟู่เสี่ยวกวนยินดีเขาก็พร้อมที่จะไป ดูเหมือนว่าอาจจะพานายช่างมาได้หลายคน อีกทั้งหยูเวิ่นหวินได้ทูลขอพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยให้จัดหานายช่างจากสำนักหล่อสักสิบคนให้กับเขาด้วย

พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกการวิจัยอาวุธปืนกลุ่มแรกของซีซาน อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่มีความสามารถมากที่สุดบนโลก ณ เวลานี้ด้วย

เมื่อเดินทางมาถึงสำนักศึกษาหลินเจียง สระบัวข้างศาลาเหลียงถิงมืดสนิทไร้แสงไฟ อากาศเริ่มเย็นลง ฉินปิ่งจงมิอาจทนทานต่ออากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน

บ่าวรับใช้นำทางฟู่เสี่ยวกวนและซูม่อมายังชั้นสอง ที่นี่มีแสงไฟส่องสว่างไสว

ที่ห้องหนังสือชั้นสอง ฟู่เสี่ยวกวนได้พบกับฉินปิ่งจงและฉินเฉิงเย่ ทุกคนล้วนสนุกสนานครึกครื้น พวกเขาได้ร่วมดื่มชาด้วยกัน

“เจ้าเดินทางมาถึงหลินเจียงเมื่อใดกัน ? ” ฉินปิ่งจงเอ่ยถาม

“ข้าเพิ่งมาถึงเมื่อตอนเย็นวันนี้”

“เหตุใดมิพักผ่อนร่างกายเสียก่อนเล่า ? ”

“ในวันพรุ่งนี้ข้าจักเดินทางไปยังซีซาน ดังนั้นเวลาจึงมีไม่มากนัก……เฉิงเย่ เจ้าสามารถพานายช่างกลุ่มนั้นมาได้หรือไม่ ? ”

ฉินเฉิงเย่สีหน้าดีใจคล้ายกับนกที่ถูกปล่อยออกจากกรงให้เป็นอิสระ

“มีทั้งสิ้น 8 คนล้วนเป็นนายช่างใหญ่ แต่เรื่องค่าตอบแทนข้าบอกกับพวกเขาตามที่ท่านกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ จะกลับคำมิได้เชียว”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะและตบลงที่บ่าของฉินเฉิงเย่และกล่าวว่า “วางใจเถิด เรื่องเงินทองข้ามีมากเหลือ”

ฉินเฉิงเย่ดีใจยิ่งนัก เขาเอ่ยว่า “เกรงว่าท่านจะมิรู้ถึงค่าใช้จ่ายในการทดลองอาวุธปืนมาก่อนว่ามากน้อยเพียงใด”

“มิต้องเป็นกังวล ขอเพียงพวกท่านตั้งใจและกล้าหาญในการค้นคว้าทดลองเป็นพอ”

ฉินปิ่งจงมองดูฉินเฉิงเย่ด้วยสายตาประหลาดใจ นับจากฉินทงจากไป เขาพยายามฝึกฝนหลานชายเขาในทุก ๆ ด้าน แม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการเรียนรู้ไม่แน่นนัก แต่ความสนใจของเขากลับแตกต่างจากผู้อื่น”

บัดนี้ในที่สุดฉินเฉิงเย่ก็ค้นพบความสนใจของเขาเสียที เขารับรู้ได้ถึงความสนใจของหลานชายของเขาที่ออกมาจากใจจริง ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเขาเถิด

“โม่เหวินได้เข้ารับหน้าที่แล้ว เขากล่าวว่าเมื่อทุกสิ่งอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะเดินทางมาเยี่ยมเจ้าที่หลินเจียง”

“ได้อย่างไรเล่า ? บัดนี้เขาเป็นถึงเต้าถาย เมื่อข้าจัดการธุระที่ซีซานเรียบร้อยแล้ว ข้าจักเดินทางไปเยี่ยมเขาด้วยตนเอง”

ฉินปิ่งจงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากจะกล่าวไป ตำแหน่งเต้าถายนี้ก็ได้เจ้าช่วยเหลือจึงได้มา”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงไปชั่วขณะ ฉินปิ่งจงส่ายหัว “ข้ารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับองค์หญิงเก้าดี เพียงแต่ข้าคาดไม่ถึงว่าในใจพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยนั้นจะชื่นชมเจ้าถึงเพียงนี้ !”

“ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางได้รับฟังข่าวดีมาข่าวหนึ่ง ข้าครุ่นคิดอยู่นาน และเห็นว่าควรจะบอกเรื่องนี้แก่เจ้า เพื่อให้เจ้าได้เตรียมใจล่วงหน้า”

ฟู่เสี่ยวกวนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ฉินปิ่งจงจึงกล่าวต่อว่า “ชาวฮวงยอมรับข้อเสนอของฝ่าบาท ซึ่งหมายความว่าพวกเขากำลังก่อสร้างพระราชวังเพื่อเตรียมต้อนรับองค์หญิงสาม แน่นอนว่าคงมิได้ยิ่งใหญ่เท่ากับราชวงศ์หยู จากการคาดประมาณ พระราชวังนี้จะสร้างแล้วเสร็จในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า เมื่อองค์หญิงสามเสด็จไปยังแคว้นฮวง คาดว่าเจ้าจะได้เป็นเอกอัครราชทูตในการเดินทางครั้งนี้”

“ผู้ใดเป็นคนกล่าวกัน ? ”

“องค์หญิงใหญ่ หยูซูหรง ! ”