บทที่ 130 หลบหนี
ถึงแม้ทางนี้จะมี90กว่าคน แต่ก็ไม่มีใครกล้าต้านทานอสูรม้าทองเกล็ดม่วง ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่นำทีมมาทั้ง3คน ก็เกรงว่าถ้าเผชิญหน้ากับมันก็อาจจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
“แคร่ก!”
ในท้องฟ้ายามค่ำคืน มีแสงสายฟ้าฟาดผ่านเข้ามา ค่ำคืนนี้ ช่างเป็นคืนที่น่ากลัวจนใจเต้นสำหรับเหล่าจอมยุทธแดนพรสวรรค์ทั้งหลาย
หลัวซิวก็วิ่งหนีไปขับเขาด้วย เขาไม่คิดหรอกว่าตนเองจะมีพลังต้านทานอสูรม้าทองเกล็ดม่วงได้
วิชาท่าร่างถูกเขาใช้ออกมาอย่างสุดขีดความสามารถ อีกนิดเดียวก็จะเป็นวิชาท่าร่างถึงแดนบริบูรณ์แล้ว ในความเคลื่อนไหวนั้นจะมีเงาเศษเก้าสายผ่านออกมา ราวกับผีในความมืด หาร่องรอยไม่ได้
“เฮือก!เฮือก!เฮือก!……”
เสียงโอดโอยดังขึ้น อสูรม้าทองเกล็ดม่วงมันน่ากลัวกว่าฝูงแมงมุมพิษลายเสือหลายเท่า หลังจากค่ายกลถูกทำลาย ทุกวินาทีจะมีคนถูกฉีกเป็นชิ้นกลืนกินเข้าไป
สายฟ้าหลายสายสาดเข้ามา ที่ท้องฟ้ามีฝนพรำลงมา ฝนตกไม่หนัก
ตอนที่สายฟ้าส่องสว่างไปทั้งป่านั้น หลัวซิวเห็นจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น9ที่เป็นคนนำทีมมา ถูกกรงเล็บสีม่วงตะครุบจนแหลกเป็นละอองเลือด
“หนี!”
มีเพียงคำเดียว ที่ผุดขึ้นมาในหัวของหลัวซิว
“โฮก!”
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงคำรามเสียงสนั่นหวั่นไหว ท่าทางวิ่งหนีอย่างรวดเร็วของหลัวซิวก็นิ่งไป สัมผัสได้ว่ามีพลังที่น่ากลัวจับตัวเขาไว้
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที คิดไม่ถึงว่าตนเองหนีไปไกลขนาดนี้ ยังถูกอสูรม้าทองเกล็ดม่วงจับตามองอีกจนได้
เสียงโครมครามดังขึ้นจากด้านหลัง ต้นไม้ใหญ่โค่นล้ม อสูรม้าทองเกล็ดม่วงพุ่งเข้ามาโจมตี หลัวซิวเห็นดวงตาสีเขียวที่น่ากลัวส่องสว่างเป็นลางๆ และเขาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
เป็นอสูรถึงระดับ4 จะมีตัวสำนึก สัมผัสได้ถึงบริเวณโดยรอบ หลัวซิวคาดว่าตนเองหนีเร็วเกินไป ดังนั้นก็เลยดึงจุดสนใจของอสูรม้าทองเกล็ดม่วง สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ล่ากลุ่มจอมยุทธ์เหมือนมันเป็นนักล่าอสูรเสียเอง
ขอเพียงอยู่ในขอบเขตประสาทสัมผัสของมัน ก็จะไม่มีใครสามารถหลบการตามล่าของมันได้
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงเสมือนกับผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ฝึกจิต ตัวสำนึกครอบคลุมในขอบเขตที่จำกัด
หลัวซิวเร่งความเร็วของตนเองให้สูงที่สุด สถานที่ที่เขาวิ่งผ่านจะเป็นเงาเศษทิ้งไว้ ยากจะแยกแยะจริงเท็จ
แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น ความเร็วของเขาก็ยังสู้อสูรม้าทองเกล็ดม่วงไม่ได้ อสูรที่น่ากลัวตัวนี้ แค่กระโดดทีเดียว ก็ไปได้ไกลกว่าหลายร้อยเมตร ไม่สนใจสิ่งกีดขวางใดๆ ต้นไม้ใหญ่ล้มโค่น หินพลังทลาย
“พลังแปรเสวียนเทียน!”
หลัวซิวก็ใช้วิชาอาถรรพณ์ ทันใดนั้นความเร็วก็เพิ่มขึ้นมา วูบเดียว ก็ทิ้งระยะห่างกับอสูรม้าทองเกล็ดม่วง
วิชาดาบเร็วเดิมทีก็เป็นทักษะที่เพิ่มพลัง เอามาใช้กับวิชาท่าร่างก็เพิ่มความเร็วได้เหมือนกัน
บวกกับพลังที่เพิ่มจากพลังแปรเสวียนเทียน ความเร็วที่หลัวซิวเพิ่มขึ้นมา เพียงพอที่จะเทียบเท่าปรมาจารย์ฝึกจิตที่เก่งๆ ได้เลย
แต่ว่าหลังจากเพิ่มพลังแล้ว หลัวซิวก็รู้ว่าเลือดลมไหลเวียนมาก มึนๆ หัว เพราะว่าใช้พลังแปรเสวียนเทียน ทำให้ร่างกายต้องแบกรับ
แต่ว่าตอนนี้จะมาสนใจอะไรมากไม่ได้แล้ว ถ้าถูกอสูรม้าทองเกล็ดม่วงตามมาได้ล่ะก็ จะต้องตายแน่นอน
ไม่นาน ในประสาทสัมผัสของหลัวซิว ระยะห่างของเขากับอสูรม้าทองเกล็ดม่วง ก็ห่างมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่าอสูรระดับ4ตัวนั้นจะล้มเลิกการตามฆ่าเขาแล้ว
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงได้มีสติปัญญาแล้ว ตอนแรกมันตามฆ่าหลัวซิว ก็เพราะสนใจเหยื่อที่มีความรวดเร็วเท่านั้นเอง พอมันเห็นว่าเหยื่อมีความเร็วมาก เหยื่ออื่นๆ ก็หนีไปไกลหมดแล้ว
ดังนั้นอสูรม้าทองเกล็ดม่วงก็เลยล้มเลิกตามฆ่าหลัวซิว แต่ไปตามฆ่าเหยื่ออื่นแทน
เพื่อที่จะได้กินเหยื่อเดียว แต่ต้องทิ้งเหยื่ออื่นๆ ไป อสูรม้าทองเกล็ดม่วงไม่ได้โง่อย่างนั้น
หลัวซิวก็คิดถึงจุดนี้ได้ ในใจก็รู้สึกว่าโชคกี เขาไม่กล้าอยู่ที่เดิม ยังคงรักษาความเร็วนั้นไว้และรีบออกไปจากขอบเขตบริเวณนี้
ไม่นาน ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของตนเองเสียหายไปเยอะ ก็เลยหาที่กำบังเพื่อฟื้นพลังเสียหน่อย
หยิบผังค่าย2อันออกมาจากแหวนเก็บของ มีผังค่ายซ่อนงำขั้น5และผังค่ายคุ้มกัน
ผังค่าย ก็ถูกเรียกว่าอุปกรณ์ค่ายกล เป็นสมบัติที่อาจารย์ค่ายกลใช้ในการฝึก เอาค่ายกลประทับลงด้านบน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่ไม่รู้เรื่องค่ายกล ก็สามารถใช้หินพลังจิตมาขับเคลื่อนได้
เพื่อความปลอดภัย หลัวซิวก็เลยใช้ผังค่ายระดับ5
เขาได้ขุมทรัพย์ของราชายุทธ์ปู้เฉินที่ทิ้งไว้ ด้านในผังค่ายระดับ5ไม่น้อย แต่ไม่มีผังค่ายที่ใช้โจมตีได้
ผ่านไปครึ่งวัน หลัวซิวก็ฟื้นตัวมาจนถึงขีดสุด ก็หยิบแผนที่ย่อของเทือกเขากวนเหลยออกมา ก็พบว่าเมื่อคืนที่วิ่งหนีตาย ตอนนี้ได้เข้ามายังส่วนลึกของเทือกเขากวนเหลยแล้ว
ในนี้ อาจจะเจอกับอสูรระดับ4ขึ้นไปได้ตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ยังพบว่า ตำแหน่งที่ตนเองอยู่นั้น อยู่ใกล้ๆ วัดกวนเหลยแล้ว
พอเก็บผังค่ายแล้ว หลัวซิวก็ค่อยๆ เดินไปยังที่ตั้งของวัดกวนเหลย เขาเดินไม่เร็วนัก ประสาทสัมผัสถูกปล่อยออกมาตลอดเวลา ถ้าพบว่ามีพลังของอสูรที่แข็งแกร่ง ก็จะรีบเดินอ้อมไปทันที
ผ่านไปเกือบ1วัน หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังที่แหลมคมพุ่งเข้ามาทางด้านหน้า
ด้านหน้าไม่ไกลออกไป เป็นยอดเขาที่มีความสูงหลายร้อยเมตร ที่ยอดเขานั้น มีวัดแห่งหนึ่ง นั่นก็คือวัดกวนเหลย
ใช้วัดกวนเหลยเป็นจุดศูนย์กลาง ขอบเขตโดยรอบ10ลี้ ล้วนเต็มไปด้วยพลังคมดาบที่ส่งออกมา ในพื้นที่นี้ สามารถพบเจอลำธารพาดผ่านกันตลอดทาง ร่องรอยที่ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว มีไอสังหารส่งออกมาตลอดเวลา ทำให้คนเห็นแล้วกลัว
ที่นี่ เป็นพื้นที่ของผู้แข็งแกร่งที่ชื่อว่า กวนเหลย มาฝึกตน หลัวซิวไม่รู้ว่าคนที่ชื่อกวนเหลยมีระดับพลังแค่ไหน แต่สามารถทิ้งร่องรอยที่เก่าแก่แบบนี้ไว้ได้ ผ่านไปหลายปีก็ยังมีห้วงดาบหลงเหลือไว้ อย่างน้อยก็คงจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักพรรดิยุทธ์เลยแหละ
จ้องตามองไป ที่บริเวณใกล้ๆ วัดกวนเหลย หลัวซิวไม่เห็นเงาของจอมยุทธ์คนอื่นๆ เลย เขาบ่นพึมพำเบาๆ แล้วก็เดินหน้าต่อไป
หลัวซิวเดินไม่เร็ว ตอนนี้เขาอยู่แค่บริเวณรอบนอกเท่านั้น ถึงแม้จะมีห้วงดาบรุนแรง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรต่อเขา
แต่ว่าพอเขาเข้าไปลึกขึ้น ห้วงดาบที่พุ่งเข้ามากลับรุนแรงและแหลมคมมากขึ้น
บริเวณใกล้ๆ วัดกวนเหลยไม่มีอสูรอาศัยอยู่เลย คงจะเป็นเพราะว่ากลัวห้วงดาบที่รุนแรงและแหลมคมนี้ ทำให้สัญชาตญาณของอสูรในป่าล้วนรู้สึกว่าที่นี่มีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งมาซ่อนตัวฝึกวิชาที่นี่
ทันใดนั้น หลัวซิวก็หยุดฝีเท้า กระบี่เงามืดทางด้านหลังก็สั่นๆ เหมือนจะมีดาบรบไร้รูปลักษณ์ฟันมาที่เขา
“เพล๊ง!”
กระบี่ยุทธ์ออกจากฝัก หลัวซิวแกว่งกระบี่ฟันไปทางอากาศด้านหน้า รัศมีกระบี่สีดำสาดออกมาเป็นสาย