บทที่ 131 รับรู้ห้วงดาบ
ในหัวของหลัวซิวปรากฏเงาร่างคนๆหนึ่ง ในมือถือดาบรบเล่มหนึ่ง รังสีอำมหิตอันน่ากลัวค่อยระเบิดออกจากร่าง แต่ละดาบฟาดฟัน
“ตึก ตึก ตึก…”
หลัวซิวถอยหลังไปสามก้าว สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
เมื่อครู่เขารับรู้ได้ถึงว่ามีห้วงดาบฟาดฟันมาที่ตน อันที่จริงเป็นภาพลวงตาที่ขอบเขตสร้างขึ้นชนิดหนึ่งและหลงเหลืออยู่ในห้วงดาบ
ขอบเขตได้กระโดดออกจากขอบข่ายของวิชายุทธ์ธรรมดา หลัวซิวยังห่างไกลจากการควบคุมขอบเขตของห้วงยุทธ์ของตนได้มากนัก ดังนั้นในการปะทะขอบเขตเมื่อครู่ จึงพ่ายแพ้ลงในฉับพลัน ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวสังเกตเห็นหินนิพพานสีเขียวหนึ่งอันอยู่ไม่ไกลเบื้องหน้า ด้านบนมีรอยดาบ
ห้วงดาบที่เขารับรู้ได้เมื่อครู่ ได้ส่งผ่านมาจากรอยดาบบนหินนิพพานอันนั้นนี่เอง
“ห้วงดาบเหลือรอย?”
หลัวซิวหรี่ตามอง และเดินขึ้นหน้าไปอีกก้าว
ทันใดนั้นในหัวเขาพลันปรากฏเงาร่างหนึ่ง ฟาดฟันดาบ พกพารัศมีหินนิพพาน ประหนึ่งเวลาหยุดชะงักลงณบัดนั้น
“ข้ารับดาบนี้ไม่ได้!”
หลัวซิวพลันเกิดความคิดเยี่ยงนี้ออกมา และถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อครู่เขาถอยหลังติดกันสามก้าว เป็นเพราะมิอาจรับดาบเยี่ยงนี้ได้
แต่ครั้งนี้หลัวซิวกลับทนอดกลั้นไม่ถอย ภายใต้การบีบคั้นของห้วงดาบที่ไม่ยอมแพ้ไม่ลดละเยี่ยงนี้ สีหน้าเขายิ่งซีดเผือด รู้สึกราวกับหายใจมิออก
แข็งแกร่งนัก!
หลัวซิวตกตะลึงยิ่งนัก หากว่ามีคนฟันดาบเยี่ยงนี้ออกมาจริงๆ เขาต้องโดนฆ่าตายในฉับพลันแน่ ไม่ว่ากระบี่เขาจะเร็วเพียงใด ท่วงท่าว่องไวแค่ไหน หากเพราะห้วงดาบที่ไม่ยอมแพ้ไม่ลดละเยี่ยงนี้สะกดร่างเขาไว้หมด ไร้หนทางหนีได้
บรึ้ม!
เพราะหลัวซิวไม่ได้ถอยหนี ดาบนี้ประหนึ่งฟาดฟันลงมาที่ตนจริงๆ ทำให้สมองของเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง จากนั้นก็กระอักเลือดคำโตออกมา
หลังจากกระอักเลือดออกมา สีหน้าหลัวซิวซีดเผือดหนักกว่าเดิม แต่เขายังคงไม่ถอยหนี ในสมองปรากฏภาพดาบนั้นไม่หยุด โดยเฉพาะรังสีไม่ยอมแพ้ไม่ลดละนั่น ทำให้เขาคลับคล้ายรับรู้ขึ้นมาได้เล็กน้อย
ข้อมือสั่นเล็กน้อย กระบี่เงามืดลอยเข้ามือ เขาหลับตาฟันกระบี่ออกไป โดนอากาศด้านหน้าเกิดเป็นเสียงตัดขาด ประกายกระบี่สีดำขาวพล่านออกมา ทำให้ห้วงดาบอันร้ายกาจพุ่งเข้ามาหา จนแทบจะบีบให้สลายไป
หลัวซิวลืมตาขึ้น ดาบเมื่อครู่เรียกได้ว่าเลียนแบบความมุ่งมั่นของดาบนั้นที่ไม่ยอมแพ้ไม่ลดละ ถึงจะเป็นการเลียนแบบ หากกลับยิ่งใหญ่กว่ากระบวนท่ากระบี่สามกระบวนท่าของวิชากระบี่แสงเหนือที่บันทึกไว้ในทักษะยุทธ์ระดับ5เสียอีก
หลัวซิวตื่นเต้นยิ่งนัก หากเขาสามารถบรรลุความล้ำลึกของห้วงกระบี่ได้ เหนือกว่าขอบข่ายของวิชากระบี่ได้ และเข้าไปสู่ระดับโลกกระบี่ได้ ฝีมือของเขามีหรือจะพัฒนาขึ้นเพียงระดับเดียว?
แต่หลิวซิวก็รู้ดีว่า ตนยังห่างชั้นจากการบรรลุห้วงกระบี่มากนัก การเลียนแบบดาบนั้นเป็นเพียงการเลียนแบบแค่รูปร่างแต่ไร้จิตวิญญาณเท่านั้น
หลังจากสงบจิตใจลงได้ หัวใจอันลิงโลดด้วยความดีใจของเขาประหนึ่งโดนน้ำเย็นสาดราด การเลียนแบบผู้อื่นถือเป็นหนทางที่ผิดพลาดทางหนึ่ง สิ่งที่เขาต้องทำมิใช่เลียนแบบหากเป็นสัมผัสมันตรงๆ และบรรลุโลกกระบี่ของตนเอง
และเขายังห่างไกลจากระดับชั้นโลกกระบี่นัก สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่ไปลองบรรลุความล้ำลึกของแดนโลกยุทธ์ แต่เป็นการเลื่อนระดับวิชากระบี่ของตนจากแดนบรรลุผลไปถึงแดนบริบูรณ์
ระดับที่บรรลุถึงโลกยุทธ์ ประหนึ่งการฝึกบำเพ็ญเพียร ต้องทีละก้าวทีละก้าว หากมีความคิดที่จะบรรลุห้วงกระบี่อย่างรวดเร็วจากวิชากระบี่ไปยังโลกกระบี่ มันจะเป็นการเดินเส้นทางผิด จำต้องไปตามขั้นตอน ต้องฝึกฝนวิชากระบี่จนถึงแดนบริบูรณ์เสียก่อน
หลังจากในใจมีความคิดเช่นนี้ หลัวซิวจึงก้าวเท้าเดินไปทางหินนิพพานที่มีรอยดาบอยู่ ในหัวปรากฏภาพที่ดาบนั้นฟาดฟันลงมาไม่หยุด
เขายิ่งเข้าใกล้รอยดาบนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ห้วงดาบที่แฝงไม่ยอมแพ้ไม่ลดละไว้ยิ่งน่ากลัว ประหนึ่งจิตวิญญาณก็จะโดนฟันขาดไปด้วย
ระหว่างที่กำลังจมอยู่ในการรับรู้ชนิดนี้ กระบี่เงามืดในมือหลัวซิวก็สะบัดฟาดฟันเป็นพักๆ ภายใต้การบีบคั้นของห้วงดาบเช่นนี้ แดนวิชากระบี่ก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น
ในที่สุดหลัวซิวเดินมายืนหน้าหินนิพพาน ยื่นมือออกไปลูบรอยดาบบนหินนิพพาน
คลับคล้ายความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ไม่ลดละนั่นเริ่มชัดเจนในหัวมากขึ้น ประหนึ่งมีเงาร่างหนึ่งเต็มไปด้วยเลือดเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้าท่ามกลางพายุฝน ไม่ยอมแพ้ให้กับโชคชะตา
“ห้วงยุทธ์เป็นการผสมผสานของแดนใจกับโลกยุทธ์เข้าด้วยกันใช่หรือไม่?” หลัวซิวคล้ายกับรับรู้ได้
เขาอายุเพียง14 และไม่มีแดนใจเยี่ยงนั้น วิชากระบี่ของเขาก็ไม่ได้ไปถึงระดับแดนบริบูรณ์ ไม่สามารถผสานแดนใจเข้าในวิชากระบี่ และเปลี่ยนเป็นห้วงกระบี่ได้
การรับรู้ห้วงดาบ สัมผัสที่หลัวซิวได้มามากที่สุดคือ ตนเริ่มเข้าใจในแดนโลกยุทธ์ และรับรู้มันด้วยตัวเอง
จิตใจต้องอาศัยประสบการณ์ และหลัวซิวอายุยังน้อย ประสบการณ์ก็ยังน้อย มิใช่เขารับรู้ไม่พอ
ในตอนนี้เอง สายตาหลัวซิวชะงัก รับรู้ถึงรังสีน่ากลัวแล่นผ่านร่างเขาไป
เขาเหลือบตาขึ้นมอง ร่างในชุดสีม่วงเหาะผ่านกลางอากาศ ห้วงดาบอันร้ายกาจซึ่งมีเต็มเปี่ยมรอบๆวัดกวนเหลยดูไม่มีผลกระทบอะไรกับคนผู้นี้เลย
นี่เป็นชายชุดม่วง เมื่อครู่เป็นจิตเทพของเขา ผ่านหลัวซิวไป
“เด็กน้อยที่แดนพรสวรรค์คนหนึ่งกล้ามารับรู้ห้วงดาบที่วัดกวนเหลย ใจกล้าไม่น้อย”
ชายชุดม่วงมองหลัวซิวเรียบๆ จากนั้นสองมือไขว้หลัง มุ่งตรงไปที่วัดกวนเหลยบนยอดเขา
มองตามแผ่นหลังชายชุดม่วงที่จากไป หลัวซิวถอนหายใจเล็กน้อย สามารถเหาะเหินเดินอากาศในละแวกวัดกวนเหลยได้ อย่างน้อยต้องแข็งแกร่งระดับราชายุทธ์
ถ้าแบ่งวัดกวนเหลยออกเป็นสามเขต จุดที่หลัวซิวอยู่ก็แค่รอบนอก จากนั้นจะเป็นดินแดนกลาง จนถึงวัดกวนเหลยสุดท้าย
ยิ่งเข้าลึก ห้วงดาบยิ่งแกร่ง ในนั้นยังมีอันตรายยิ่งใหญ่แฝงอยู่ เพราะในการรับรู้ห้วงดาบ หากตนมิสามารถรับการบีบคั้นของห้วงดาบได้ ก็จะจิตสำนึกพังทลาย จิตวิญญาณแตกสลาย
ชายชุดม่วงเมื่อครู่คงจะมาเพื่อรับรู้ห้วงดาบเช่นกัน และยังพุ่งตรงขึ้นไปวัดกวนเหลยที่ยอดเขาอีก แดนโลกยุทธ์ของเขาต้องก้าวไปถึงระดับสูงมากแน่
หลัวซิวมิใช่จอมยุทธ์คนแรกที่มารับรู้ห้วงดาบในบริเวณวัดกวนเหลย ดังนั้นเพียงแค่โดนชายชุดม่วงมองหนึ่งที และไม่ได้สนใจอีก
เขาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ห้วงดาบที่โผเข้ามายิ่งเพิ่มพูนร้ายกาจมากขึ้น รังสีดาบนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นกลางอากาศ ประหนึ่งฝนเม็ดเล็กมารวมตัวกันปกคลุมลงมาที่หลัวซิว
ทุกรังสีดาบเพียงพอเอาชีวิตได้เลย ทั้งตัวหลัวซิวทุ่มเทความสนใจไปที่จุดเดียว กระบี่เงามืดในมือสะบัดอย่างรวดเร็ว ทำลายรังสีดาบแต่ละอัน
ไม่ช้าไม่นานก็มีคนจำนวนหนึ่งมายังบริเวณวัดกวนเหลย มีจอมยุทธ์พรสวรรค์ และก็มีปรมาจารย์ฝึกจิต รวมถึงผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์
“อ๊า!”
ทันใดนั้นมีเสียงร้องเจ็บปวดดังจากตีนเขา ผู้แข็งแกร่งในแดนปรมาจารย์ฝึกจิตคนหนึ่ง หัวโดนระเบิดจนกลายเป็นหมอกเลือด ล้มลงบนพื้นอย่างไร้หัว ตายคาที่