หลี่จิงเทียน กลัวจนตัวสั่น!

เขากลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่าเหมือนกับหวังเจวีย เขายังไม่อยากตาย เขายังอยากใช้ชีวิตเสเพลของเขาต่อไปอีก!

อย่างไรก็ตามเผิงอิงอิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาในขณะนี้กลับดูไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด…แต่แสดงสีหน้าพึงพอใจด้วยซ้ำ

“หึหึ ต้องขอบคุณไอ้หวังเจวียนั่นจริง ๆ ที่ช่วยทำให้เราได้รู้ว่าเราไม่ควรข้ามเส้นไหนของอวี้ฮ่าวหรานในอนาคต”

การรู้ว่าฝั่งตรงข้ามที่แข็งแกร่งกว่ามีจุดไหนที่ไม่ควรข้ามเส้นด้วยเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เมื่อรู้ได้เช่นนี้เธอจึงรู้สึกพึงพอใจ

มันคงจะไม่เป็นไรหากเป็นหลี่จิงเทียน เพราะเขาคือน้องชายของหลี่เม่ย ต่อให้เขาจะทำให้อวี้ฮ่าวหรานโมโหแค่ไหน อวี้ฮ่าวหรานคงไม่ทำถึงขั้นฆ่าแกงกันแน่นอน…

แตกต่างจากเธอที่เป็นคนนอกและอวี้ฮ่าวหรานไม่ชอบหน้าเธออยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากเธอพลาดก้าวข้ามเส้นของอวี้ฮ่าวหรานแล้วล่ะก็ ชะตากรรมของเธอคงน่าอนาถมากกว่าหวังเจวียแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เผิงอิงอิงก็เอ่ยขึ้นปลอบประโลมหลี่จิงเทียน “นายน้อยหลี่ คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก ตราบใดที่เราไม่ไปยุ่งกับเรื่องของพี่สาวของคุณ อวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางกล้าฆ่าคุณแน่นอนเพราะคุณคือน้องชายของผู้หญิงที่เขารักที่สุด!”

หลี่จิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสั่นกลัวอยู่ต่อให้ได้ยินคำปลอบประโลมนี้ จริง ๆ แล้วเขาไม่ใช่คนที่กล้าหาญอะไรนัก

“อ…โอเค ง…งั้นพวกเราหาวิธีอื่นเล่นงานเขากันดีกว่า…”

หลี่จิงเทียนพูดอย่างตะกุกตะกักเนื่องจากการตายของหวังเจวีย ทำให้เขาขวัญผวา

อีกด้านหนึ่ง

ในออฟฟิศของอวี้ฮ่าวหราน

อวี้ฮ่าวหรานนั่งครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ ในระหว่างที่มองพนักงานของบริษัทเขากำลังเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ที่เสียหายในห้องของเขาใหม่

เวลาเดียวกับตอนนี้ในเมื่อวาน มันคือเวลาที่หลี่เม่ยตัวปลอมเดินเข้ามาในออฟฟิศของเขา

ในเวลานั้นเขารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดถึงอารมณ์ช่วงเวลานั้นเขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดไปไกลจู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็มีสายเข้า

“เฮ้ น้องอวี้ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวาน หวังเจวียถูกฆ่าตายคาในคฤหาสน์ของตัวเอง นี่เป็นฝีมือนายหรือเปล่า?”

เฉิงกัวอันเอ่ยถามถึงเรื่องหวังเจวีย ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานรับสาย

“ใช่ ผมเป็นคนทำเอง! ไอ้สารเลวนั่นสมควรตาย!” อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น

“เป็นฝีมือของนายจริงๆ!!”

เฉิงกัวอันอุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเพราะอีกฝ่ายคือบริษัทไป๋เชา!

“น้องอวี้ ทำไมนายต้องฆ่าหวังเจวียด้วยตัวเองแบบนี้?”

ในความเข้าใจของเฉิงกัวอัน ตระกูลหวังนั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับยาและเครื่องมือการแพทย์ มันไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเครือฮ่าวหรานเลยนี่นา?

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่ตอบคำถามขอ เฉิงกัวอัน

หลังจากเงียบกันไปพักหนึ่ง เฉิงกัวอันก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากเล่าอะไรให้ฟังดังนั้นเขาจึงถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ในเมื่อนายไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าตอนนี้ในเมื่อนายยั่วยุหวังเจาไปแล้ว นายก็ระวังเขาเอาไว้ให้ดีด้วย ไอ้คน ๆ นี้มันมีเส้นสายในเมืองฮ่วยอันมากมาย” เฉิงกัวอันหยุดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อพูดถึงจุดนี้ จากนั้นเขาสูดหายใจเข้าลึกและพูดต่อ “แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ว่านายจะทำอะไร จงจำเอาไว้ว่า…ฉันเฉิงกัวอันพร้อมสนับสนุนนายเสมอโดยไม่มีข้อแม้!”

สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนเป็นใจเย็นลงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอีกฝ่าย จากนั้นเมื่อแลกเปลี่ยนคำพูดกันได้อีกไม่กี่คำสายก็วางไป

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงช่วงบ่าย เนื่องจากวันนี้ไม่มีงานอะไรมากนัก อวี้ฮ่าวหรานจึงวางแผนที่จะออกจากบริษัทเร็วสักหน่อย

เนื่องจากการที่เขาเลื่อนตำแหน่งให้ผู้จัดการหวังก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ผู้จัดการหวังมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น พักหลังมานี้จึงไม่ค่อยมีอะไรให้เขาทำมากสักเท่าไหร่

อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาขับรถออกจากบริษัทไปได้ไม่เกิน 10 นาที อวี้ฮ่าวหรานก็มีความรู้สึกว่าเขากำลังถูกใครบางคนจับตามองอยู่!

เมื่อมองกระจกมองหลัง อวี้ฮ่าวหรานก็เห็นว่าขณะนี้มีรถสองคันกำลังขับตามเขาอยู่ห่าง ๆ และคนภายในรถต่างจ้องมองเขาเขม็ง

ใครกัน?

หวังเจาลงมือเร็วขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?

เมื่อเดาไม่ถูก อวี้ฮ่าวหรานจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางขับนำไปยังแถบชานเมืองที่ร้างผู้คนแทน

หลังจากขับไปต่ออีกราวครึ่งชั่วโมง สองข้างทางที่เคยมีแต่ตึกสูงก็กลายเป็นป่ารก และถนนที่ลาดยางเป็นอย่างดีก็กลายเป็นถนนลูกรัง

อวี้ฮ่าวหรานจงใจขับออกจากถนนหลักและเข้าไปในเส้นทางที่ได้รับการบุกเบิกแบบหยาบ ๆ ซึ่งปกติแล้วไม่มีคนใช้

เมื่อขับเข้าไปตามทางถนนลูกรังได้ไกลพอสมควร อวี้ฮ่าวหรานก็เหยียบเบรกอย่างกระทันหันและนั่นทำให้รถ BMW สองคนที่ขับตามหลังเข้ามาหยุดลงด้วย

เมื่อรถทั้งหมดหยุดลง พื้นที่รกร้างก็กลายเป็นเงียบสงบและวังเวงเหมือนเดิม มันเงียบจนสามารถได้ยินเสียงลมพัดผ่านได้อย่างชัดเจน

“ลงมา!”

อวี้ฮ่าวหรานลงจากรถก่อนที่จะตะโกนใส่กลุ่มคนที่อยู่ในรถ BMW ทั้งสองคันที่ขับตามเขามา

เมื่อถูกท้าทาย กลุ่มคนชุดดำที่อยู่ในรถ BMW ลงจากรถในทันทีด้วยสีหน้าที่ดุดัน พวกเขามีกันอยู่ 8 คนซึ่งแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี!

“ดูเหมือนว่าแกจะมั่นใจในตัวเองมากสินะ รู้ทั้งรู้ว่ากำลังถูกตามล่า แกยังกล้านำพวกฉันองค์กรอสรพิษมาที่เปลี่ยว ๆ แบบนี้อีก!”

สองคนที่ดูเหมือนเป็นผู้นำกลุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าดูถูก พวกเขาทั้งคู่มีร่างกายที่ผอมบางเป็นอย่างมากจนราวกับเป็นคนที่ไม่ได้กินข้าวมาเป็นสัปดาห์

“อสรพิษ?”

อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจ

องค์กรนี้มันดื้อด้านหรือมันโง่มากกันแน่? ครั้งที่แล้วเขาจัดการหนึ่งในเจ้าตำหนักของพวกมันไปอย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้พวกมันกลับส่งกลุ่มคนที่ดูไม่ได้ดูแข็งแกร่งกว่าเลยมาตามล่าเขาอีกเนี่ยนะ?

“ไอ้หนุ่มวันนี้แกเตรียมตัวตายได้เลย! ฉัน…เสี่ยวฉี! เจ้าตำหนักอสรพิษสีชาดจะเป็นคนส่งแกไปนรก!”

“ฮึ่ม! ฉัน…โจวหยินอัน! เจ้าตำหนักอสรพิษหยินหวนจะเป็นคนส่งแกลงนรกเช่นกัน!”

ผู้นำกลุ่มคนชุดดำทั้งสองต่างแนะนำตัวเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

“เหอะ ๆ ฉันไม่ได้สนใจอยากจะรู้ชื่อของพวกแกเลยสักนิด”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นตอบกลับด้วยสีหน้าเหยียดหยาม

เป็นเจ้าตำหนักอสรพิษแล้วยังไง? สำหรับเขาคนพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับมดแมลง

“โอหังดีจริง ๆ! แกไม่รู้ตัวหรือไงว่าตอนนี้แกกำลังถูกทั้งองค์กรของเราหมายหัวอยู่!”

“ฮึ่ม! ครั้งนี้แกตายแน่! แกบังอาจฆ่าเจ้าตำหนักขององค์กรเราไปสองคน โทษของความผิดของแกมันมีแค่อย่างเดียวคือความตาย!”

เสี่ยวฉีและโจวหยินอัน เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา

ในเวลาเดียวกันนั้น จู่ ๆ ก็มีรถอีก 4 คันขับตามมาสมทบและจากนั้นนักฆ่าอีกมากกว่า 12 คนก็วิ่งเข้ามาเสริม

ณ ตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานถูกล้อมเอาไว้ด้วยนักฆ่ามากกว่า 20 คนแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น นักฆ่าทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่สามารถใช้พลังภายในได้ทั้งหมด

“ช่างอ่อนแอเหลือเกิน…”

อวี้ฮ่าวหรานกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

“อ่อนแอ? เฮอะ! แกมันไอ้ปากดี! เดี๋ยวแกจะได้รู้แน่ว่าใครกันที่อ่อนแอ!”

เสี่ยวฉีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาลเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน จากนั้นเขาโบกมือส่งสัญญาณให้คนของเขาเข้าโจมตีทันที

“ฆ่ามัน!”