ตอนที่ 241 ความจริง!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

“สงบสติอารมณ์หน่อย!” หลินจื้อตงเผชิญหน้ากับคำถามของเพื่อนก็ไม่ได้ขุ่นเคืองใจ หากแต่ตอบกลับอย่างเยือกเย็น

“จริงๆ แล้ว พวกเราทุกคนเป็นคนของเหลยถิง เป็นเพื่อนกัน พูดคุยกันดีๆ สิ มู่อิง อย่าเพิ่งรีบร้อน ฟังจื้อตงอธิบายก่อนไม่ดีกว่าเหรอ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ หลินจื้อตงพูดกล่อมมู่อิงที่โทสะพุ่งขึ้นสูงด้วยท่าทีอ่อนโยนและน้ำเสียงนิ่มนวล ในขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้หลินจื้อตง บอกให้เขารีบๆ อธิบาย

“ความจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหัวหน้าเฉียวกำลังกักตนอยู่ละก็ ฉันคงแนะนำเขาโดยตรง ให้หัวหน้าเฉียวลงมือปราบคนพวกนั้นด้วยตัวเองแล้ว” หลินจื้อตงไม่ได้เอ่ยปากอธิบาย หากแต่พูดความคิดของเขาออกมา

“ทำไมต้องใจร้อนขนาดนี้ด้วย? ค่อยๆ วางแผนไม่ได้หรือไง? นายรู้ไหมว่าการกระทำของนายจะทำให้ภาพลักษณ์ของเหลยถิงเราเสื่อมเสีย?” มู่อิงได้ยินคำกล่าวของหลินจื้อตงก็เด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยด้วยความเดือดดาลแทบจะชี้ไปที่จมูกของหลินจื้อตง

หลินจื้อตงใช้มือผลักนิ้วที่อยู่ตรงหน้าออกไป เขาหันหน้าไปถามคนอื่นๆ ว่า “พวกนายก็คิดแบบนี้เหมือนกันเหรอ?”

ชายหนุ่มที่เดิมทีเป็นคนไกล่เกลี่ยพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “จื้อตง หลายวันนี้นายทำเกินเลยไปบ้างจริงๆ ก่อนที่หัวหน้าจะกักตนก็เคยบอกไว้ว่า ต้องผ่านการประชุมของพวกเราก่อนถึงจะทำเรื่องที่เป็นตัวแทนของเหลยถิงได้ นายข้ามหน้าข้ามตาพวกเราไป ยั่วโมโหอีกฝ่ายโจ่งแจ้งขนาดนี้…” เขามองไปยังคนอื่นๆ แวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า “พวกเรารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมมากเลยนะ”

มุมปากของหลินจื้อตงมีรอยยิ้มหยันเล็กน้อย เขามองไปยังคนอื่น สายตาของพวกเขาไม่ปกปิดความไม่พอใจเลยสักนิดเดียว เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่ใช่ฉันไม่อยากบอกพวกนาย แต่ฉันกลัวว่าหลังจากที่บอกพวกนายแล้ว ความลับนี้จะรั่วไหลน่ะสิ เวลานั้นมันจะสร้างความเสียหายให้เหลยถิงของเราไม่ใช่น้อยๆ เลย”

“นายไม่เชื่อพวกเราเหรอ?” มู่อิงเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง

“ใช่ ฉันไม่เชื่อใจพวกนาย” หลินจื้อตงตอบโดยไม่เกรงใจเลยสักนิดเดียว

“แก….” คำพูดของหลินจื้อตงทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนี้ต่างหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกว่าคำพูดนี้สบประมาทพวกเขา

ชายหนุ่มที่เป็นคนไกล่เกลี่ยเห็นว่าท่าไม่ดีแล้วก็รีบเอ่ยว่า “จื้อตง นายพูดแบบนี้ได้ยังไง เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปีขนาดนี้ ขนาดความเชื่อใจยังไม่มีให้เลยหรือไง?”

หลินจื้อตงได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเริ่มอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ไม่ใช่ไม่เชื่อใจพวกนาย แต่ฉันไม่เชื่อใจคนที่อยู่ข้างกายพวกนายต่างหาก ควรรู้เอาไว้นะว่า ยิ่งคนรู้เยอะ ความลับก็จะยิ่งรั่วไหลได้ง่ายขึ้น และเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของเหลยถิงพวกเราว่าท้ายที่สุดจะรวมกลุ่มอำนาจของโรงเรียนให้เป็นหนึ่งเดียวได้หรือเปล่า?”

“หมายความว่าไง?” คำพูดของหลินจื้อตงทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป

“พวกนายต้องใช้พลังจิตสาบานว่าความลับก็หยุดอยู่แค่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่บอกพวกนาย” หลินจื้อตงดึงดันหัวแข็งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างน่าประหลาด และก็ทำให้คนอื่นๆ โกรธเกรี้ยวเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน แทบจะสะบัดแขนเสื้อจากไป

ชายหนุ่มที่เป็นคนไกล่เกลี่ยเอ่ยปากแก้ไขสถานการณ์อีกครั้งว่า “จื้อตง ต้องทำแบบนี้จริงๆ เหรอ ใช้พลังจิตสาบานไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ…”

“ความลับที่ฉันจะพูดก็สำคัญต่อเหลยถิงมากเหมือนกัน ฉันเชื่อว่าถ้าหัวหน้ารู้แล้วก็จะเห็นด้วยกับวิธีการของฉันเหมือนกัน” หลินจื้อตงตอบกลับอย่างเยือกเย็น

มู่อิงเป็นคนแรกที่กระโดดออกมา “สาบานก็สาบานสิ แต่ว่านะหลินจื้อตง ถ้าเกิดความลับที่นายพูดมาสู้ขี้หมาไม่ได้ละก็ ฉันจะรายงานหัวหน้าให้ไล่นายออกไปจากเหลยถิงแน่นอน”

หลินจื้อตงเอ่ยอย่างหยิ่งทระนงว่า “ถ้าเกิดพวกนายคิดว่าความลับนี้ไม่คุ้มค่าให้ใช้พลังจิตสาบานละก็ พวกนายไม่จำเป็นต้องบอกหัวหน้าหรอก ฉันจะขอออกไปเอง”

“ได้ หลินจื้อตง นายต้องทำตามที่พูดไว้ล่ะ!” มู่อิงกล่าวจบแล้วก็เป็นคนแรกที่ใช้พลังจิตสาบาน คนอื่นๆ เห็นมู่อิงทำแบบนี้ ก็ได้แต่ทำตามด้วยความจนใจ

หลินจื้อตงเห็นทุกคนในที่นี้สาบานกันหมดแล้วถึงค่อยหยิบข้อมูลชุดหนึ่งที่อยู่ข้างตัวออกมาก่อนจะส่งไปให้ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยซึ่งอยู่ใกล้กับเขามากที่สุด

ชายหนุ่มเปิดอ่าน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาฝืนข่มกลั้นความหุนหันที่อยากจะถามออกมา ก่อนจะส่งข้อมูลให้คนถัดไป คนที่นั่งอยู่ถัดไปก็ปรากฏสีหน้าเช่นเดียวกับเขา ข้อมูลถูกส่งไปอยู่ในมือของทุกคนอย่างรวดเร็ว สุดท้ายมันก็กลับมาอยู่ในมือหลินจื้อตงก่อนจะถูกหลินจื้อตงโยนเข้าไปที่ข้างตัว เครื่องแปลงพลังงานที่เตรียมไว้นานแล้วหลอมมันทันทีก่อนจะเปลี่ยนเป็นไอแล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง สุดท้ายก็ถูกเขากรอกเข้าไปในก้อนพลังงานอันหนึ่ง

“ทุกคนเห็นกันแล้ว นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมฉันถึงไม่แจ้งพวกนายแล้วยั่วยุฝ่ายตรงข้ามทันที” หลินจื้อตงเอ่ยอย่างเย็นชา

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” มู่อิงเอ่ยด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “คนสองคนฉันยังเชื่อได้ แต่ว่านักเรียนใหม่ของยานบินทั้งลำเป็นแบบนี้หมดเลย นี่มันเวอร์เกินไปแล้ว”

หลินจื้อตงเผชิญหน้ากับมู่อิงที่ทำท่าไม่เชื่อ ใบหน้าเขาก็ดำทะมึนลง “พวกนายไม่เชื่อความสามารถในการแฮคของฉันหรือไง?”

หนึ่งในนั้นอดกล่าวด้วยความกระอักกระอ่วนไม่ได้ว่า “จื้อตงเป็นคนที่มีผลการเรียนดีที่สุดในหมู่แฮคเกอร์ของโรงเรียน พวกเราเชื่อมั่นในความสามารถของนายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเนื้อหาในนั้นมันเวอร์ไปหน่อยจริงๆ ทำให้เราอดสงสัยนิดหน่อยไม่ได้”

“โกงหรือเปล่า?” หนึ่งในนั้นมองหลินจื้อตงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยช้าๆ ว่า “หรือว่าข้อมูลที่จื้อตงได้มาเป็นข้อมูลเท็จ?” ท้ายที่สุด พวกเขาก็ยังไม่เชื่อว่ามีผลคะแนนนี้โผล่ขึ่นมาจริงๆ

ความไม่เชื่อถือของเพื่อนๆ ทำให้สีหน้าของหลินจื้อตงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างยิ่งยวด เขาฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มหยันว่า “ฉันเจอข้อมูลนี้จากในระดับ S ที่ปลอดภัยที่สุดในออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของโรงเรียน ถ้าเกิดระดับ S ใส่ข้อมูลเท็จแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้แล้วว่าข้อมูลจริงวางไว้ตรงไหน? หรือว่าจะวางไว้ในระดับ S ของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของสหพันธรัฐ?”

“ส่วนเรื่องโกง ตัวพวกนายเชื่อเหตุผลข้อนี้หรือไง?” หลินจื้อตงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะหยัน “คนที่ทำการประเมินให้พวกเราเป็นทหารเลือดเหล็กที่ผ่านไฟสงครามมาอย่างโชกโชน อยากให้พวกเขาช่วยนายโกง? ฉันไม่รู้ว่าต้องใช้อะไรไปแลกถึงจะทำให้พวกเขาหวั่นไหวได้ อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้พวกเขาโกง พวกเขาจะทำโจ่งแจ้งขนาดนี้เลยเหรอ? นักเรียนบนยานบินทั้งลำเป็นคนที่โดดเด่นขนาดนั้นกันหมดเลยเหรอ? ไม่มีใครตกสักคนเลยเหรอ?”

คำพูดของหลินจื้อตงทำให้คนอื่นๆ ต่างใจเย็นลง อันที่จริงระดับ S ของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของโรงเรียนไม่มีทางใส่ข้อมูลเท็จแน่นอน นอกจากนี้หลินจื้อตงพูดว่าเป็นระดับ S ก็ย่อมไม่มีทางผิดพลาด ถึงยังไงทุกปีหลินจื้อตงก็เอาข้อมูลของนักเรียนใหม่จากเขตระดับ S มาได้แม่นยำมาก ไม่มีทางที่ครั้งนี้จะไปหาผิดทางเอาข้อมูลผิดๆ มา นอกจากนี้ ถ้าเกิดเป็นการโกงจริงๆ ละก็ วิธีการแบบนี้ก็โง่เง่ามากเกินไปแล้วจริงๆ ผลคะแนนของพวกเขาที่ผิดปกติแบบนี้จะต้องดึงดูดความสนใจจากทางโรงเรียนให้ทำการตรวจสอบหลายทางแน่นอนเพื่อยืนยันว่าเป็นความจริงหรือเปล่า ไม่มีคนใจกล้าขนาดทำเรื่องโง่เง่าแบบนี้หรอก

“ฉันเชื่อว่าอีกไม่นาน แฮคเกอร์ของกลุ่มอื่นๆ น่าจะได้รับข้อมูลชุดนี้เหมือนกัน เวลานั้น พวกเราอยากกลืนคนพวกนี้เพียงฝ่ายเดียวก็ไม่มีหวังแล้ว” หลินจื้อตงกวาดตามองไปรอบหนึ่งและกล่าวต่อว่า “พวกนายรู้มาตรฐานในการรับคนของหัวหน้าเฉียวดี จะรับแค่นักเรียนใหม่ที่มีผลการประเมินผ่านขึ้นไป โดยเฉพาะคนที่มีผลคะแนนที่ดีเลิศ เขาไม่มีทางพลาดต่อให้ต้องใช้กลอุบายก็ตาม พวกเราจะให้หัวหน้าเฉียวพลาดบุคคลที่โดดเด่นพวกนี้ในตอนที่หัวหน้าเฉียวกักตนไม่ได้เด็ดขาด”

คำพูดของหลินจื้อตงทำให้สีหน้าของคนอื่นๆ เคร่งขรึมขึ้นมาพวกเรารู้สไตล์การทำงานของเฉียวถิงดี ถ้าเกิดเขารู้ผลการประเมินของนักเรียนใหม่พวกนี้ เขาจะต้องใช้วิธีการต่างๆ เพื่อรับพวกเขาเข้ามาในกลุ่มแน่นอน

“แต่ว่า ในเมื่อพวกเขายอดเยี่ยมขนาดนี้ อาจจะปราบไม่ง่ายนะ?” ทุกคนต่างรักบุคคลที่ล้ำเลิศ แต่คนพวกนี้มักจะหยิ่งทระนงมาก ไม่ยอมสยบง่ายๆ

“ดังนั้นฉันเลยสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาไง ต่อให้พวกเราจองหองไปหน่อย ก็ต้องทำให้อีกฝ่ายรับจดหมายท้าของพวกเราให้ได้ หลังจากนั้นก็ทำการเดิมพัน หลังจากที่สู้แพ้แล้วก็ให้พวกเขาเข้ากลุ่มเหลยถิงของพวกเรา” หลินจื้อตงคิดดีแล้วว่าจะทำยังไง

“ถ้าพวกเขากลัวไม่กล้ายอมรับจดหมายท้าล่ะ?” ถึงยังไงเหลยถิงของพวกเขาก็เป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งของโรงเรียน เกรงว่านักเรียนใหม่พวกนี้ได้ยินชื่อพวกเขาแล้วสองขาจะอ่อนยวบลงมา

“แบบนี้ยิ่งดีใหญ่เลย เราก็เสนอไปตรงๆ ว่าถ้าไม่กล้าสู้ก็ต้องเข้าร่วมเหลยถิงของพวกเรา พวกเราก็จะไม่ตำหนิความผิดในอดีต แต่ถ้าเกิดพวกเขากล้าเข้าร่วมกลุ่มอื่น พวกเราเจอพวกเขาหนึ่งครั้งก็ตีมันหนึ่งครั้ง ปิดตายการเติบโตของพวกเขาทุกด้านในโลกหุ่นรบ ในเมื่อไม่ให้พวกเราใช้งาน ก็ทำลายพวกเขาให้สิ้นซากซะ” หลินจื้อตงเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน เขาคำนวณท่าทีสองแบบของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้แล้ว ไม่มีทางให้พวกเขาหลุดรอดจากฝ่ามือของเขาไป เขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่หัวหน้าจะออกจากการกักตน

“ถ้าเกิดเป็นการต่อสู้กับนักเรียนใหม่ กฎของโรงเรียนอนุญาตให้เป็นการต่อสู้มือเปล่านั้น นักเรียนพวกนั้นมาจากโดฮา โดฮาให้ความสำคัญเรื่องการต่อสู้มือเปล่ามากที่สุด เกรงว่าพวกเราจะยึดความได้เปรียบมากไม่ได้”

“ต่อให้พวกเขาต่อสู้เก่งอีกสักแค่ไหน พวกเขาก็เป็นแค่นักเรียนใหม่ปีหนึ่ง เป็นลูกนกที่เพิ่งออกมาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ส่วนพวกเราก็คือรุ่นพี่ปีสี่ปีห้า การประลองหุ่นรบไม่เพียงพัฒนาด้านหุ่นรบเพียงอย่างเดียว มันเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้มือเปล่าของพวกเราด้วยเช่นกัน ประสบการณ์ต่อสู้หลายปีมานี้เพียงพอให้พวกเรารังแกพวกเขาได้แล้ว” หลินจื้อตงเอ่ยพลางยิ้มเยาะ “ต่อให้การต่อสู้มือเปล่าของพวกเราจะแย่อีกสักแค่ไหน ช่วงเวลาสามปีก็เพียงพอที่จะชดเชยความแตกต่างของพรสวรรค์ได้ นายคิดว่าพวกเขาจะมีโอกาสเหรอ?”

“นั้นก็จริง” ทุกคนทยอยกันพยักหน้า ถึงแม้ว่าหลายปีนี้พวกเขาให้ความสนใจกับการประลองหุ่นรบ แต่ว่าเวลาว่างก็ไปที่หอต่อสู้มือเปล่าต่อสู้กับคนอื่นหลายกระบวนท่าจนสะใจ พวกเขารู้สึกได้ว่าการประลองหุ่นรบเป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้มือเปล่าเช่นกัน เวลาต่อสู้สามารถสังเกตเห็นช่องโหว่ของอีกฝ่ายได้ในพริบตา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทักษะต่อสู้ของพวกเขาก้าวหน้ากว่าตอนที่เพิ่งเข้าโรงเรียนทหารมาก

“กลุ่มอื่นๆ จะไม่สอดมือเข้ามาเหรอ? ถ้าเกิดพวกเขารู้ข้อมูลคนพวกนี้เหมือนกันล่ะ พวกเขาไม่มีทางให้พวกเรากินรวบฝ่ายเดียวแน่นอน” มีคนตั้งคำถามใหม่ขึ้นมา

“โรงเรียนเรามีชื่อแฮคเกอร์ไม่กี่ชื่อที่บันทึกลงในแฟ้ม และก็มีเพียงกลุ่มอำนาจสี่กลุ่มแรกเท่านั้นที่มีแฮคเกอร์ แต่ว่าฉันเป็นคนแรกที่ได้ข้อมูล ก็เลยเล่นตุกติกนิดหน่อยเพื่อถ่วงเวลาออกไป พวกเขาต้องใช้เวลามากขึ้นในการเจาะมัน ถึงแม้ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะเจาะได้เมื่อไหร่ ฉันเองก็ดูความคืบหน้าของพวกเขาตลอด แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ควรชักช้า ถ้าเกิดช้าเกินไป ข้อมูลโดนพวกเขาเอาไปได้จริงๆ ละก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเราจะเสียแรงเปล่า…” หลินจื้อตงอธิบาย “ดังนั้น เราต้องส่งจดหมายท้าประลองให้กลุ่มนักเรียนใหม่ จัดการเรื่องนี้ เมื่อพวกเรารับพวกเขาเข้ากลุ่มสำเร็จแล้ว เวลานั้นต่อให้พวกเขารู้ความจริง ขอเพียงมีหัวหน้าอยู่ พวกเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินพวกเราแล้ว”

“งั้นก็ดี ดูท่าพวกเราต้องส่งจดหมายท้าประลองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว…” ในที่สุดพวกคนที่อยู่บนที่นั่งก็เป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว และเริ่มปรึกษากันว่าจะส่งหนังสือท้าประลองให้กลุ่มนักเรียนใหม่เมื่อไหร่