ตอนที่ 242 จดหมายท้าประลอง!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ความจริงแล้ว กลุ่มนักเรียนใหม่ได้รับจดหมายท้าเร็วกว่าที่หลิงหลานคาดการณ์ไว้ ผ่านไปสองวัน อู่จย่งที่เป็นหัวหน้าในฉากหน้าของกลุ่มนักเรียนใหม่ก็ได้รับจดหมายท้าจากเหลยถิง!

วันนั้นเป็นช่วงเที่ยง ฉีหลง อู่จย่งและพวกคนที่อยู่ห้องเอวิชาบังคับหุ่นรบเพิ่งจะทำการฝึกฝนร่างกายที่โหดร้ายในตอนเช้าเสร็จ พวกเขามาที่โรงอาหารใหญ่ของโรงเรียนทหารด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงเพื่อทานอาหาร แต่พวกเขาเพิ่งจะนั่งลงไป และทานอาหารไปได้ไม่กี่คำก็ได้ยินเสียงจองหองอวดดีดังขึ้นตรงหน้าประตูโรงอาหาร ทำให้โรงอาหารที่เดิมทีเอะอะเกรียวกราวเงียบลงไปทันใด

“คนไหนคือหัวหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ ไสหัวออกมารับจดหมายท้าประลองซะ!”

คนที่พูดคือนักเรียนคนหนึ่งที่สวมชุดเครื่องแบบสไตล์ทหารสีน้ำเงิน เขากวาดสายตามองผู้คนในโรงอาหารด้วยท่าทีโอหังอวดดีราวกับมองดูกองขยะ ด้านหลังเขายังมีนักเรียนห้าหกคนที่สวมชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน แต่มองสีชุดเครื่องแบบก็รู้ว่าพวกเขาต้องเป็นนักเรียนดีเด่นห้าร้อยคนแรกของโรงเรียนทหาร

สีพื้นฐานของชุดเครื่องแบบโรงเรียนทหารคือสีเขียวซึ่งเป็นของนักเรียนทั่วไป ส่วนสีน้ำเงินก็เป็นคนนักเรียนดีเด่นที่มีผลการเรียนด้านต่างๆ รวมกันอยู่ในห้าร้อยอันดับแรก และทุกชั้นปีจะมีผู้นำของภาควิชาต่างๆ ซึ่งจะสวมชุดเครื่องแบบสีขาวที่เป็นเกียรติยศของพวกเขาโดยเฉพาะ นี่คือรางวัลสำหรับลูกรักของพระเจ้าและก็เป็นการเคารพนับถือพวกเขาอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ราชันสายฟ้าก็เป็นผู้นำของภาควิชาควบคุมหุ่นรบชั้นปีสี่ สีชุดเครื่องแบบของเขาก็เป็นสีขาวเพียงหนึ่งเดียวในภาควิชานี้

เดิมทีมีหลายคนที่สวมชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเช่นเดียวกันกำลังทานอาหารอยู่แต่เพราะถูกพวกเขารบกวนก็เลยมีสีหน้าขุ่นเคือง แต่พอพวกเขาเห็นตราที่ติดอยู่ตรงหน้าอกพวกเขา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นไปเล็กน้อยทันทีก่อนจะเก็บโทสะไปฉับพลัน เนื่องจากพวกเขารู้ว่าตรานั้นเป็นตัวแทนกลุ่มอำนาจไหน นี่ไม่ใช่คนที่พวกเขายั่วโมโหได้…

อู่จย่งกับฉีหลงสบตากันแวบหนึ่ง ในแววตาฉายความเข้าใจ คืนวันนั้นหลิงหลานเรียกพวกเขามารวมตัวกันและบอกการคาดการณ์ของเธอให้อู่จย่ง หลี่อิงเจี๋ยรวมถึงหัวหน้าตัวแทนทีมอื่นๆ ฟัง ดังนั้นพวกเขาจึงรอคอยการเคลื่อนไหวของเหลยถิงมาตลอด และตอนนี้พวกเขาก็มาแล้วในที่สุด

“อะไรเนี่ย กลุ่มนักเรียนใหม่ขี้ขลาดขนาดนี้เชียว ไม่กล้ารับจดหมายท้าประลองของเหลยถิงเราหรือไง?” ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเอ่ยด้วยใบหน้าเยาะหยัน เขาได้รับการแจ้งจากเบื้องบนมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องยั่วโมโหผู้นำของกลุ่มนักเรียนใหม่ให้ได้ ทำให้พวกเขาหุนหันรับจดหมายท้าประลอง แน่นอนว่าถ้าเกิดพวกเขาเยาะเย้ยยังไง อีกฝ่ายก็ยังไม่นับ พวกเขาก็จะทิ้งคำพูดไว้ว่า ให้หัวหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ไปที่กองบัญชาการเหลยถิงเพื่อขอโทษพวกรองหัวหน้าด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมให้อภัย

ฉีหลงทอดสายตามองอู่จย่ง ใบหน้าซื่อๆ ของเขาไม่เหมาะกับสถานการณ์เป็นปฏิปักษ์กันแบบนี้เลย จากคำพูดของลูกพี่หลาน ฉีหลงมีหน้าตาเหมือนคนดีซื่อๆ ค่อนข้างเหมาะสำหรับใช้ตอนทำตัวไร้เดียงสาล้างความผิดหลังจากที่กลุ่มนักเรียนใหม่ไปรังแกคนอื่นมา

อู่จย่งเข้าใจแจ่มแจ้งดี เขาใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชามตรงหน้าทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็โยนทิ้งฉับพลัน ตะเกียบกระแทกลงกับโต๊ะโลหะอย่างหนักหน่วงจนส่งเสียงดังเคล้ง บรรยากาศของโรงอาหารที่เดิมทีเงียบกริบเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมาทันทีเนื่องจากเสียงเคล้งนี้

มุมปากของอู่จย่งมีรอยยิ้มเยาะเล็กน้อย เขาเอนร่างพิงเก้าอี้ สองมือกอดอก เอ่ยอย่างนิ่งเรียบว่า “ฉันก็คือหัวหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ พวกนายมีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา!”

ลูกพี่หลานเคยบอกไว้ว่า พวกเขาจะแพ้ในเรื่องท่าทีทรงอำนาจกลุ่มนักเรียนใหม่ไม่ได้เด็ดขาด!

หลายปีมานี้ ถึงแม้ว่าอู่จย่งจะโดนหลิงหลานกับฉีหลงกดไว้มาตลอด แต่การต่อสู้ประจัญบานในปีนั้นและการแย่งชิงอำนาจควบคุมยานบิน อู่จย่งเป็นผู้เข้าร่วมและผู้วางแผนหลักเสมอ ชัยชนะเหล่านี้ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น มั่นใจในตัวเอง และเนื่องจากมีคนที่โดดเด่นกว่าเขาข่มเขาไว้ตลอด ทำให้เขาไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนที่ทระนงตนมากเกิน ตอนนี้ต่อให้เขา เผชิญหน้ากับเหลยถิงกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งของโรงเรียนทหาร ในใจเขาก็ยังสงบนิ่งเหมือนเดิม ไม่มีความหวาดหวั่นเลยสักนิดเดียว

ท่าทีเช่นนี้ของอู่จย่งเหนือความคาดหมายของเหลยถิงอย่างชัดเจน ใบหน้าของพวกเขาปรากฏโทสะขึ้นมา โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำที่เดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่งและตะคอกว่า “ไอ้หนู พูดจาให้ดีหน่อย!”

อู่จย่งปรายตามองและเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ว่าไงนะ? นายไม่พอใจเหรอ?”

การเหยียดหยามอย่างชัดเจนในแววตาของอู่จย่งทำให้คนเหล่านั้นรวมกลุ่มกันเดินเข้ามาหลายก้าว ทำหน้าเดือดดาลราวกับอยากจะสั่งสอนอู่จย่ง

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าไปใกล้อีก เหล่านักเรียนใหม่ที่เดิมทีนั่งเงียบๆ ในโรงอาหารพลันลุกขึ้นมา ถลึงตามองคนของเหลยถิงกลุ่มนี้ด้วยแววตาฉุนเฉียว ราวกับเตือนว่าหากเข้ามาใกล้อีกก้าวก็อย่าโทษที่พวกเขาไม่เกรงใจล่ะ

เมื่อเห็นคนสามร้อยกว่าคนลุกขึ้นมาทันที สีหน้าคนของเหลยถิงห้าหกคนนั้นก็เปลี่ยนไปทันใด พวกเขาทยอยกันหยุดก้าวเท้า เวลานี้เองชายหนุ่มชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินที่เป็นผู้นำคนนั้นก็หัวเราะขึ้นมาหลังจากที่สีหน้าเปลี่ยนไปหลายรอบ “ฮ่าๆ เมื่อตะกี้นี้แค่ล้อเล่นเท่านั้น เห็นกลุ่มนักเรียนใหม่กลมเกลียวกันขนาดนี้ พวกเราเหลยถิงก็ปลื้มใจ พวกนายมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะต่อสู้กับเหลยถิงของพวกเรานะ!”

คนที่มาหน้าหนามากสุดๆ ในขณะที่พูดเอาใจกลุ่มนักเรียนใหม่ ก็ไม่ลืมยกยอกลุ่มของตัวเอง เขายิ้มแย้มพลางมองอู่จย่งแล้วถามว่า “หัวหน้าคนนี้ ไม่รู้ว่าฉันควรเรียกนายว่ายังไงดี?”

อู่จย่งคลายแขนสองข้างลง นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ จ้องมองผู้นำคนนั้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สีหน้าที่คุ้นเคยนี้ทำให้พวกฉีหลงอดปวดฟันไม่ได้ ขอร้องล่ะ ต่อให้นับถือลูกพี่ของเขาอีกสักแค่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ท่าทางของเขาหรอกนะ เห็นแล้วรู้สึกหนาวชะมัด

บางทีสีหน้าลึกล้ำเช่นนี้ของอู่จย่งอาจจะทำให้ผู้มารู้สึกกดดันมาก สุดท้ายเขาก็คงรอยยิ้มที่ก่อขึ้นมาไม่ได้และยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะยุติสถานการณ์ยังไง

เป็นอย่างที่คาดคิดเอาไว้เลย สีหน้าของลูกพี่หลานมีพลังทำลายล้างเต็มเปี่ยมจริงๆ ด้วย ต่อไปเขาต้องใช้ให้มากๆ เพียงพอที่จะปราบพวกตัวประกอบเล็กๆ บางคนได้ อู่จย่งเก็บสีหน้านี้กลับไปด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เอ่ยปากกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ฉันแซ่อู่ นายเรียกฉันว่าหัวหน้าอู่ก็ได้!”

“หัวหน้าอู่ร้ายกาจอย่างที่คิดไว้จริงๆ กลุ่มนักเรียนใหม่มีนายเป็นผู้นำจะต้องมีอนาคตแน่นอน” ผู้นำในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินชูนิ้วโป้งให้ทันที ทำสีหน้าชื่นชมจากใจ ในเมื่อเยาะเย้ยกดดันไม่ได้ผล ก็มีแต่ต้องใช้คำพูดหลอกล่อให้ดีใจ ขอเพียงอีกฝ่ายรับจดหมายท้าประลอง เขาจะต้องหาโอกาสเอาคืนความอับอายนี้ให้ได้

ต่อให้ผู้นำจะปกปิดยังไง ความคับแค้นที่ปรากฏในแววตาของเขายังคงถูกพวกอู่จย่งฉีหลงมองเห็นอยู่ดี แต่ในเมื่อตัดสินใจจะงัดข้อเหลยถิงแล้ว จะล่วงเกินหรือไม่ล่วงเกินก็ได้ทั้งนั้น

“รบกวนหัวหน้าอู่รับจดหมายท้าประลองของเหลยถิงเราด้วย สามารถมีคู่ต่อสู้ที่โดดเด่นอย่างพวกนาย พวกเราเหลยถิงเองก็ดีใจมากเหลือเกิน” ชายหนุ่มสวมชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินที่เป็นผู้นำเดินเข้าไปหาอู่จย่งด้วยความตึงเครียดภายใต้การถลึงตามองอย่างโกรธเกรี้ยวของสามร้อยกว่าคน เขาล้วงการ์ดรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาจากในกระเป๋า จากนั้นก็ยื่นให้ด้วยสองมือ

ในขณะนี้เอง มือข้างหนึ่งเข้าไปขวางการ์ดไว้ นี่เป็นเยี่ยซวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ อู่จย่ง ตอนนี้เขาลุกขึ้นมาแล้ว จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งดึงการ์ดมาจากนั้นค่อยส่งให้อู่จย่ง

อู่จย่งถึงค่อยรับการ์ดไว้ เขาเปิดอ่านดูก็เห็นด้านในเขียนว่า อีกสามวันให้หลังจัดศึกประลองต่อสู้มือเปล่าของทั้งสองฝ่ายในหอต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายต่างส่งคนมาห้าคน ตัดสินผลแพ้ชนะจากชัยชนะสามครั้งในการประลองห้ารอบ และมีการเดิมพันเพิ่มเติม แน่นอนว่าการเดิมพันจะประกาศในศึกวันประลอง และไม่อาจปฏิเสธได้

เป้าหมายของเหลยถิงคือกลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเขาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ลูกพี่หลานคาดการณ์ไม่ผิดเลย อู่จย่งมองเห็นการ์ดนี้ก็รู้อยู่แก่ใจ การเดิมพันนั้นต้องการให้กลุ่มนักเรียนใหม่เข้าร่วมเหลยถิงแน่นอน…

“ได้ สามวันให้หลัง ที่หอต่อสู้ ไม่เจอไม่เลิกรา!” อู่จย่งหุบการ์ดฉับพลันและตอบอย่างเฉียบขาด เรื่องนี่ตกลงกันไว้นานแล้ว อู่จย่งย่อมกล้าตอบรับทันที

“ดี หัวหน้าอู่ตรงไปตรงมาจริงๆ สามวันให้หลัง พวกเราจะรอคอยการมาของนายที่หอต่อสู้!” เมื่อเห็นว่าตัวเองทำภารกิจสำเร็จแล้ว คนที่เป็นผู้นำของเหลยถิงก็เอ่ยด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เอง หลี่อิงเจี๋ยที่อยู่ตรงโต๊ะอีกตัวก็จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยด้วยความจองหองว่า “ในเมื่อพูดเรื่องไร้สาระจบแล้วก็ไสหัวไปได้แล้ว!”

พวกคนของเหลยถิงเพิ่งจะถูกอู่จย่งกับพลังของคนสามร้อยกว่าคนกดดันจนไม่กล้าขยับเขยื้อน ตอนนี้ก็ยังมาโดนเด็กอีกคนที่มาจากไหนก็ไม่รู้ดูถูก ในใจก็เดือดดาลผิดปกติ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถตอบโต้หัวหน้าอู่ของกลุ่มเด็กใหม่ แต่ว่าสั่งสอนไอ้เด็กจอมอวดดีคนนี้ย่อมไม่มีปัญหา ดังนั้นมีหลายคนเดินไปทางหลี่อิงเจี๋ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอำมหิต

หลี่อิงเจี๋ยหักข้อนิ้ว เตะเก้าอี้ด้านหลังตัวเองและเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยันว่า “ทำไม อยากสู้เหรอ?”

สิ้นเสียงนี้ก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ในโรงอาหารเคลื่อนที่ดังฉับพลัน หลังจากนั้นก็เห็นคนสามร้อยกว่าคนที่เดิมทียืนจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาขุ่นเคืองผลักเก้าอี้ออกแล้วเข้ามาใกล้พวกเขาด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว มีคนไม่น้อยเริ่มถูกำปั้นเตรียมพร้อมต่อสู้แล้ว

เหตุการณ์นี้พวกเขาไม่มีทางไม่รู้ว่า ไอ้เด็กอวดดีตรงหน้านี้ต้องเป็นคนระดับสูงของกลุ่มนักเรียนใหม่แน่นอน เวลานี้ผู้นำหนุ่มที่สวมชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินข่มกลั้นโทสะในใจไม่ไหวอีกแล้ว เขาชี้ไปที่หลี่อิงเจี่ยอย่างดุดันและทิ้งคำพูดโหดเหี้ยมไว้ว่า “ได้ อีกสามวันให้หลัง คอยดูเถอะ!”

เขากล่าวจบก็พาคนเดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ และด้านหลังเขาก็มีคลื่นเสียงคำว่า ‘ไสหัวไป’ ดังขึ้นมา ทำให้พวกเขารู้สึกอับอายอย่างมาก นับตั้งแต่ที่เข้าร่วมเหลยถิง พวกเขาก็สูงส่งมาตลอด มีบทบาทรังแกคนอื่นตามใจชอบ แต่วันนี้พวกเขากลับได้ลิ้มรสชาติถูกคนเหยียดหยามรังแกอย่างไร้ความปรานี แทบจะทำให้พวกเขากัดฟันจนแตก

พอเห็นคนของเหลยถิงออกไปจากห้องอาหารอย่างไม่พอใจ อู่จย่งถึงค่อยยื่นจดหมายท้าประลองไปให้ฉีหลงที่อยู่ตรงข้าม ฉีหลงเปิดอ่านก็พลันหัวเราะหยันขึ้นมา “ไม่ผิดจากที่ลูกพี่คาดการณ์ไว้เลย เหลยถิงเห็นกลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเราเป็นเนื้อปลาบนจานที่แล่ได้ตามใจชอบ”

เวลานี้เอง อู่จย่งตามหาตะเกียบของตัวเองด้วยความร้อนรน เมื่อตะกี้นี้เขาโยนตะเกียบทิ้งลงบนโต๊ะอย่างหล่อเหลาเพื่อสร้างกลิ่นอายทรงอำนาจ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันวิ่งหนีไปไหนแล้ว…ท้องที่น่าสงสารของเขาหิวจนใกล้จะประท้วงแล้วนะ ถ้าไม่กินข้าวอีก เขาก็จะกลายเป็นหัวหน้าคนแรกที่หิวจนเป็นลม เพื่อที่สร้างอำนาจบารมีให้กลุ่มนักเรียนใหม่ เขาทำได้ง่ายๆ เหรอ…

“ไม่ได้แล้ว ขอยืมตะเกียบนายหน่อย!” อู่จย่งเห็นตะเกียบของฉีหลงวางอยู่บนชุดอุปกรณ์ทานอาหารก็ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เขาหยิบขึ้นมาแล้วก็โซ้ยอาหารอย่างบ้าคลั่ง….ฮือๆๆ การฝึกฝนร่างกายตอนเช้ารีดพลังงานของเขาจนแห้งแล้ว ถ้าหากไม่ชดเชยเพิ่มเติมอีกก็จะตายแล้ว

“ไม่ได้นะ นั่นเป็นของฉัน!” ฉีหลงโยนจดหมายท้าประลองในมือออกไปด้วยความโมโห คิดจะชิงตะเกียบตัวเองกลับมา แต่อู่จย่งกลับเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง หลบไปที่โต๊ะด้านข้างทันทีและยังไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “ฉันร่วมมือกับนายแสดงละครแบบนี้ออกมา นายก็ต้องตอบแทนฉันสิ ให้ฉันยืมตะเกียบคู่นี้ก็ถือว่าเป็นคำขอบคุณแล้ว”

ฉีหลงทำมือดูถูกให้อู่จย่งอย่างเดือดดาล แต่เขาไม่ได้ตามไปแย่งชิงต่อ เนื่องจากอู่จย่งพูดมาไม่ผิด เดิมทีควรเป็นเขาที่ออกหน้ารับจดหมายท้าประลอง…แต่เขาก็หิวมากเหมือนกันนะ ถึงแม้ว่าเขาจะกินไปมากกว่าอู่จย่งนิดหน่อย แต่เขาตะกละมาโดยกำเนิด อาหารที่กินไปไม่กี่คำเมื่อสักครู่นี้จะเติมเต็มท้องของเขาที่หิวจนส่งเสียงโครกครากเหมือนกันได้ยังไง

เขาเลื่อนสายตาไปก็เห็นหานจี้จวินที่อยู่ข้างกายกำลังทานอาหารคำเล็กๆ ทีละคำด้วยความเคร่งขรึม เขาทานอย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่รีบร้อนราวกับว่าไม่ได้หิว แค่กินเพื่อทำภารกิจทานอาหารให้เสร็จก็เท่านั้น….

“จี้จวิน ในเมื่อนายไม่ค่อยหิว ก็ดูแลพี่ชายก่อนละกัน!” ฉีหลงหัวเราะหึๆ พลางฉกตะเกียบในมือหานจี้จวินที่ไม่ทันระวังตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ทานอาหารด้วยใบหน้าพึงพอใจ

หานจี้จวินมองมือขวาตัวเองที่ว่างเปล่าด้วยความตะลึง เขาเงยหน้ามองฉีหลงทีทานอาหารอย่างมีความสุข แทบอยากจะคว่ำอาหารตรงหน้าใส่หัวฉีหลง มีคนที่ทำตัวเป็นเพื่อนซี้แบบนี้ด้วยเหรอ? ไม่ไปสร้างปัญหาให้คนอื่น แต่มาสร้างปัญหาให้คนของตัวเอง?

หลินจงชิงที่อยู่อีกโต๊ะเห็นฉากนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ เขาหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมาจากในกระเป๋าข้างเอวของตัวเอง จากนั้นก็หยิบแท่งเหล็กสั้นๆ หลายอันออกมาก่อนจะหยิบขึ้นมาสองแท่งแล้วบิดควงมัน เขาควงไปมาไม่กี่รอบก็ออกมาเป็นตะเกียบที่มีความยาวปกติคู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นให้หานจี้จวินเงียบๆ

หานจี้จวินรับตะเกียบแล้วค่อยระงับโทสะลงได้ เขาเริ่มทานอาหาร ในใจก็ตัดสินใจแล้วว่าครั้งหน้าเขาจะไม่ช่วยฉีหลงอีกแน่นอน ต่อให้ลูกพี่หลานจะรังแกฉีหลงอีกยังไง เขาก็จะไม่ใส่ใจ ทำเป็นมองไม่เห็นอะไร

เรื่องกลุ่มนักเรียนใหม่รับจดหมายท้าอย่างโอหังแพร่ไปทั่งโรงเรียนทหารอย่างรวดเร็ว กลุ่มอำนาจต่างๆ ที่ถูกเหลยถิงกดมาตลอดย่อมยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น ไม่นึกเลยว่าเหลยถิงที่ทรงอำนาจก็ถูกคนตบหน้าถึงขั้นนี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เชื่อว่ากลุ่มนักเรียนใหม่จะต้านทานการแก้แค้นต่อมาของเหลยถิงได้ พวกเขารอคอยให้กลุ่มนักเรียนใหม่ถูกตีแตก จากนั้นก็เตรียมตัวฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุนรับนักเรียนใหม่ที่กังวลหวาดกลัวพวกนั้นเพื่อพัฒนากลุ่มอำนาจของตัวเอง

ในขณะที่ทุกคนมองกลุ่มนักเรียนใหม่อ่อนแอลง มีเพียงหลี่หลานเฟิงที่ได้ยินข่าวนี้แล้ว ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความจริงจัง นิ่งเงียบขึ้นมา