ภาคที่ 3 บทที่ 118 ล่าสังหาร (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 118 ล่าสังหาร (2)

เหยียนห่าวเจ๋อพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วเต็มสูบ !

ดาบรบในมือส่องประกายเย็นเฉียบ ไอสังหารพุ่งสูง

สำเร็จแล้ว !

เขากำลังจะฆ่าไอ้ตัวตายยากนี่ได้แล้ว !

หินพลังต้นกำเนิดแสนก้อนกำลังจะเป็นของเขา !

ร่างของเหยียนห่าวเจ๋อสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นที่ไม่อาจคุมได้

ดาบแทงทะลุร่างซูเฉินทันใด

นับเป็นดาบที่สามแล้ว

ซูเฉินคว้าดาบที่ทะลวงร่างตนไว้แล้วจ้องมองศัตรูด้วยสายตาเยียบเย็น

“ยังฝืนทนได้อีกหรือ ?” เหยียนห่าวเจ๋อชะงักไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะราวกับคนคลั่ง “ดาบสะบั้นสัมพันธ์ !”

ฉัวะ !

ปลายดาบพลันเสือกเข้าช่วงท้องซูเฉินในพริบตา

ชายหนุ่มพ่นเลือดคำใหญ่ออกมา

“ฮ่า ๆ เจ้าไม่ทันคิดสินะ ? ลิ้มรสดาบสะบั้นสัมพันธ์ของข้าแล้วเป็นอย่างไร ?” เหยียนห่าวเจ๋อหัวเราะลั่น

เหมือนเขาจะเห็นหินพลังต้นกำเนิดนับแสนก้อนตกอยู่ในกำมือเขาแล้ว

“พูดมากไปแล้ว” ซูเฉินแล้วส่งหมัดโต้กลับไป

“ตายซะ !” เหยียนห่าวเจ๋อเห็นว่าซูเฉินอ่อนแรงเต็มทนจึงไม่กลัวอะไรอีก ตวัดดาบหมายโจมตีไหล่อีกฝ่ายทันที

เขาเชื่อว่าซูเฉินจะต้องปัดดาบนี้เป็นแน่ และเมื่อเปลี่ยนจากโจมตีเป็นตั้งรับ มันก็จะไม่มีโอกาสโจมตีได้อีก

แต่เขาคิดผิด

ซูเฉินไม่สนใจดาบที่เสือกเข้ามา ปล่อยให้มันปะทะไหล่ เกือบจะเฉือนแขนเขาหลุดอยู่รอมร่อ ทว่ามือซ้ายซัดสว่านทะลวงเกราะมุ่งไปที่ลำคอเหยียนห่าวเจ๋อแทน

เหยียนห่าวเจ๋อร้องลั่น เลือดสด ๆ พุ่งออกมาจากลำคอ

เคราะห์ดีที่เขาถอยออกมาได้ทันก่อนหมัดโลกันตร์คลั่งของซูเฉินจะระเบิดศีรษะเขาออก ดังนั้นจึงยังไม่ตาย แต่รูขนาดใหญ่ที่คอก็นับเป็นแผลสาหัสทีเดียว

เหยียนห่าวเจ๋อทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว อยากร้องตะโกนทว่าไร้เสียง ได้แต่จ้องซูเฉินเขม็ง ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงกล้าต่อกรกับเขาได้เช่นนี้

เจ้าอาจจะพอใจชั่วขณะ แต่ดูเสียก่อนว่ายังเหลือศัตรูอีกนับสิบ

แขนขวาแกใช้ไม่ได้แล้ว ต่อไปจะสู้อย่างไรเล่า ?

ทว่าซูเฉินกลับจ้องเขาอย่างไม่ยี่หระ เขารั้งมาสามพริบตาแล้ว น้ำหนักที่รั้งร่างไว้หายไปในที่สุด ดังนั้นเขาจึงรีบถอยไป ก่อนที่ในมือซ้ายจะพลันปรากฏยาขวดหนึ่งขึ้น

ยาหรือ ?

เหยียนห่าวเจ๋อชะงักไป พลันนึกได้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับซูเฉินที่ได้รับการบอกกล่าวมาเรื่องหนึ่งว่าอีกฝ่ายเป็นนักปรุงยา

นักปรุงยา !

มันเป็นนักปรุงยา !

เหยียนห่าวเจ๋อกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง

เขาลืมไปได้ยังไงว่าอีกฝ่ายเป็นนักปรุงยา !?

เขามองซูเฉินกรอกยาลงปาก แล้วจึงราดแขนขวาและบาดแผลอื่น ๆ บนร่างกาย

ยาล้ำค่าที่สามารถผสานกระดูกและกล้ามเนื้อสามารถเก็บไว้ใช้ได้นับสิบครั้ง ทว่าซูเฉินกลับใช้จนหมดไม่เสียดาย จากนั้นก็หยิบอีกขวดขึ้นมากระดกลงคอไปทันที

ซูเฉินดื่มยาไปหลายขวดในพริบตา

เหยียนห่าวเจ๋อมองซูเฉินที่พลังลดลงเมื่อก่อนหน้าค่อย ๆ มีพลังเพิ่มสูงขึ้นอีกครา

ในใจเริ่มบังเกิดความหวาดหวั่น เขารู้ว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก คิดจะหันหลังหนีไป ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินหยุดล่าถอย

เขาหันกลับมา

แล้วพุ่งเข้าใส่ !

พุ่งเข้าใส่ผู้เชี่ยวชาญนับสิบคนที่อยู่โดยรอบ

ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดที่จางลงไปฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นจากร่างแล้วแผดเผาทุกสิ่งอย่างจดมอดไหม้ เหยียนห่าวเจ๋อตกตะลึงไป

แม้จะอยากหนีแต่ก็สายไปเสียแล้ว

ซูเฉินพุ่งเข้ามารวดเร็วราวกับสายฟ้า ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดปล่อยหมัดนับสิบปะทะร่างเหยียนห่าวเจ๋อจนเขาร้องไม่เป็นภาษา

และเมื่อหมัดสุดท้ายสิ้นสุดลง เหยียนห่าวเจ๋อก็ทนไม่ไหว สิ้นใจตาย ณ ตรงนั้น

จนถึงตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ 5 คน ด่านกลั่นโลหิต 10 คน และด่านก่อเกิดลมปราณ 20 คน รวมถึงจอมยุทธ์ด่านหลอมกายาขั้นสุด 50 คนก็ได้ถูกสังหารไปแล้ว จนเกิดศพกองพะเนินกันเป็นภูเขา

แต่หลังจากสังหารเหยียนห่าวเจ๋อได้แล้ว ซูเฉินกลับเซไปเล็กน้อย เกือบจะล้มคว่ำไป พร้อมกับภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดที่อยู่ด้านหลังก็หายไปเช่นกัน

ใช่แล้ว เขาก็แค่วางท่าไปอย่างนั้นเอง

ไม่มีทางที่เขาจะมียามากมายติดตัวมาเช่นนั้นได้หรอก

เพราะคิดว่าจะแค่มาร่วมงานเลี้ยง ซูเฉินจึงไม่ทันได้เตรียมตัว ที่เขามีติดแหวนกักเก็บไว้ก็มีเพียงของใช้ธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้เตรียมยามาเยอะขนาดนั้น

ดังนั้นซูเฉินจึงไม่มียาที่เคยพกเข้าไปยังปราการลุ่มน้ำทองเลย

ผงรักษาเส้นเอ็นที่เขาใช้เป็นของจริง แต่ก็ไม่ได้ให้ผลดีอะไรขนาดนั้น ยาที่ดื่มก็เป็นเพียงยาฟื้นพลังระดับต่ำเท่านั้น ได้ผลฟื้นพลังก็จริง แต่สำหรับคนด่านทะลวงลมปราณก็นับว่าได้ผลจำกัด

เหยียนห่าวเจ๋อนั้นกลัวหัวหดเกินไป หากเขาเลือกสู้สุดตัวแทนที่จะหนี ซูเฉินก็อาจบาดเจ็บหนักไปแล้ว

“บ้าเอ๊ย ต่อไปคงต้องพกยาครบชุดแล้ว ไม่ ชุดเดียวไม่พอ ต้องสัก 3 ชุด !” ซูเฉินพึมพำเสียงกรรโชก มองกองศพที่พื้นนิ่ง

สถานการณ์ตอนนี้สุ่มเสี่ยงนัก หลังจากระห่ำต่อสู้ติดต่อกันมานาน พลังของภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็ถึงขีดสุด แม้จะใช้หินพลังต้นกำเนิดคืนพลังต้นกำเนิดได้ แต่แรงกายนั้นฟื้นคืนได้ยาก เขาต้องรีบหาทางออกไปโดยเร็ว

ทว่าหุบเขาทางใต้ถูกล้อมไว้ถึง 3 ชั้น ซูเฉินฝ่าออกมาได้เพียงชั้นที่สองเท่านั้น

เสียงการปะทะกันเมื่อครู่คงนำพาคนจากวงล้อมชั้นที่สามมาได้กดถึง 7 กลุ่มแล้วกระมัง

หากเขาคิดฝ่าไปก็คงยากนัก

สสารเงาที่เหลืออยู่ในถุงมือมีไม่มากแล้ว เขาจึงหาต้นไม้นั่งลงพักสักหน่อย

พักได้ไม่นานเท่าไหร่ ก็เห็นว่ามีคนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้ามา

คนที่นำหน้ามานั้นเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตานัก

หลงชิงเจียง

ผู้นำตระกูลหลงถึงกับมาด้วยตนเอง

เมื่อเห็นหลงชิงเจียง ซูเฉินก็ยิ้มบาง

เขากำลังรอการมาถึงของหลงชิงเจียงนั่นเอง

สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงรับหน้าที่ป้องกันหนึ่งทิศ ซูเฉินรู้ว่าหลงชิงเจียงจะมาทิศนี้ อีกทั้งยังเป็นคนที่เฝ้าอยู่ในวงล้อมชั้นสามอีกด้วย

ดังนั้นซูเฉินจึงเลือกทางนี้

หลงชิงเจียงนำคนมาด้วย 5 กลุ่ม หมายความว่ามีผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ 5 คน ไม่รวมตัวหลงชิงเจียงเองที่อยู่ขั้นสุดของด่านทะลวงลมปราณด้วย

กระนั้นหลงชิงเจียงก็ยังจัดให้ลูกน้องนำทัพหน้า ส่วนตัวเขามองรอบกายคอยสำรวจตรวจตราอย่างรอบคอบ

หลงชิงเจียงรู้ดีว่ายามรับมือกับซูเฉิน ระวังไว้มากหน่อยย่อมไม่เสียหาย

ก่อนเข้ามาถึง เขาก็สัมผัสได้ถึงระลอกพลังต้นกำเนิดที่ส่งผ่านมาในอากาศแล้ว คลื่นพลังต้นกำเนิดพวกนี้ทำเอาเขาตกใจนัก เพราะมันราวกับออกมาจากผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณขั้นสุดเช่นเขาก็มิปาน

แต่ถึงจะเป็นเขา หากคิดสังหารคนทั้ง 5 กลุ่มในเวลาอันสั้นก็คงเป็นไปไม่ได้

ทว่าซูเฉินก็ทำลงไปแล้ว

ทุกคนมองภาพที่มีศพกองเรียงรายอยู่กับพื้นด้วยความตกตะลึง

พวกเขากำลังตามล่าปีศาจอะไรอยู่กันแน่ ?

มันทำเช่นนั้นได้อย่างไร ?

ในตอนที่ทุกคนกำลังตกตะลึงนั่นเอง ของสิ่งหนึ่งก็ลอยหวือออกมาจากในป่า

“ระวังด้วย !” ทุกคนร้องขึ้น

ทุกคนจึงตั้งรับทันที

เพล้ง !

ยาขวดหนึ่งกระแทกกับหินที่อยู่ไม่ไกลนัก ขวดแก้วแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

“เป็นยา ! อาจเป็นหมอกพิษก็เป็นได้ !” คนหนึ่งร้องขึ้น

ทุกคนจึงรีบยกมือขั้นปิดปากปิดจมูกทันที

ทว่ากลับไม่เกิดควันหรือหมอกอันใดขึ้นมา

เกิดอะไรขึ้น ?

หรือมันจะเป็นพิษไร้รูป ?

ทุกคนได้แต่คิดไปต่าง ๆ นานา ในใจผวาไม่หยุด ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของหลงชิงเจียงแม้แต่น้อย

ด้วยเมื่อเห็นยาขวดนั้น เจ้าตัวก็หน้าเสียไปทันควัน

เพราะเขาจำยาที่ซูเฉินโยนออกมาเมื่อครู่ได้ มันเป็นยาขวดเดียวกับที่อีกฝ่ายใช้รักษาบุตรชายของเขานั่นเอง

แล้วน้ำเสียงหนึ่งก็กระซิบขึ้นที่ข้างหู “ผู้อาวุโสตระกูลหลง ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?”