ภาคที่ 3 บทที่ 119 หลบหนี

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 119 หลบหนี

นับตั้งแต่หลงเฉ่าโหยวถูกหมอกขังปีศาจของเว่ยเหลียนเฉิงเข้าไป เขาก็นอนซมอยู่บนเตียงมาโดยตลอด

เขานอนติดเตียงเช่นนี้มาได้ 6 ปีแล้ว

และที่ยังมีชีวิตรอดมาได้จนถึง 6 ปีก็เป็นเพราะหมอเฉินชูทั้งสิ้น

หลายปีมานี้ หลงชิงเจียงพยายามหาคนอื่น ๆ และใช้วิธีรักษาอื่น ๆ มากมาย แต่กลับไร้ผล

มีเพียงยาของหมอเฉินเท่านั้นที่ช่วยบรรเทาพิษในร่างของหลงเฉ่าโหยวลงได้

หลงชิงเจียงเองก็เคยสงสัยตัวตนเฉินชูมาก่อน กระทั่งเคยเดาว่าท่านหมออาจจะเป็นซูเฉิน

แต่เขากลับไม่กล้ายืนยัน

เป็นเพราะเขากลัว

กลัวว่าหากเฉินชูเป็นซูเฉินเข้าจริง ๆ แล้วเขาจะทำอย่างไร ?

เขาไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์ สุดท้ายจึงพยายามเลี่ยงมาโดยตลอด

แต่กระนั้น ปัญหาใหญ่ก็คือถึงวันหนึ่ง ไม่ช้าไม่นาน เขาก็ไม่อาจเลี่ยงมันได้อีกต่อไป

และวันนั้น ตอนนั้นที่เขาเลี่ยงไม่ได้อีก ในที่สุดมันก็มาถึงแล้ว

พริบตาที่ขวดยากระทบหินจนแตก เสียงของซูเฉินก็ดังขึ้นที่ข้างหู หลงชิงเจียงรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ซูเฉินส่งเสียงมา “เวลาไม่คอยใคร ข้าไม่เสียมันไปกับการเจรจาทั้งนั้น ท่านมี 2 ตัวเลือก หนึ่งสังหารข้า สองช่วยข้า หากจะช่วยท่านก็คุมจิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นนั่นแล้วปล่อยข้าไป ข้าออกไปได้ข้าจะช่วยถอนพิษในร่างบุตรชายท่านออกจนหมด ลบหนี้ระหว่างเราลงจนหมด หลังจากนั้นท่านจะทำอะไรก็แล้วแต่ใจท่าน”

หลงชิงเจียงสูดลมหายใจเข้าลึก

เขาไม่ได้พูดอะไร

แต่เขากับซูเฉินนั้นมีประสบการณ์ไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็รู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ต่อรอง

เขาไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเดินไปหาลูกน้องคนหนึ่งแล้วคว้าจิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นมา ไม่ให้มันส่งเสียอะไรนัก

จิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นรู้แล้วว่าซูเฉินอยู่ไม่ไกล ระดับเสียงที่มันส่งออกมาจะเกี่ยวเนื่องกับระยะห่างของซูเฉิน

หากซูเฉินคิดจะผ่านคนกลุ่มนี้ออกไป จิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นจะส่งเสียงเตือนคนทั้งหมดเป็นแน่

ดังนั้นหลงชิงเจียงจึงเอาจิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นมาคุมไว้เองแล้วไล่คนอื่นให้ออกไป

ระหว่างที่อุ้มจิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นไว้ เขาก็สัมผัสได้ว่าเจ้าจิ้งจอกดิ้นพล่านแรงขึ้นทุกที

เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มันกำลังตื่นเต้นจนอยู่สุขไม่ได้ ด้วยอยากจะส่งเสียงเห่าคำรามลั่นออกมา

ทว่าหลงชิงเจียงใช้มืออุดปากมันไว้ไม่ยอมให้มันส่งเสียงร้อง ใช้พลังต้นกำเนิดปิดมันไว้ราวกับถูกขัง ควบคุมมันไว้เป็นอย่างดี จนมันได้แต่ร้องหงิง ๆ ออกมา

ทันใดนั้นจิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นก็เริ่มคลั่ง มันสั่นเหมือนเหยื่อที่กำลังจะตาย มันดิ้นพล่านจนแทบจะหลุดจากมือหลงชิงเจียงไปได้

เป็นตอนนั้นเองที่เขาสัมผัสได้

คนที่ซ่อนเงาอยู่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา

ทั้งสองคนประจัญหน้ากัน

ช่างกล้านัก !

หลงชิงเจียงสูดลมเย็นยะเยียบเข้าปอด

เขาได้ยินเสียงซูเฉินในหู แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้ใช้วิชาส่งเสียง แต่เป็นการสนทนาแบบปกติ

ซูเฉินเอ่ยเสียงเบา

เพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น

ซูเฉินก้มเข้ามาก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “ขอบคุณผู้อาวุโสตระกูลหลงมาก”

จากนั้นก็ลูบหัวเจ้าจิ้งจอกล่าเนื้อแล้วจากไป

จิ้งจอกล่าเนื้อค่อย ๆ สงบลงในที่สุด

สุดท้ายมันก็หยุดส่งเสียง

หลงชิงเจียงรู้ว่าซูเฉินหนีไปได้แล้ว

ลูกน้องของเขากำลังเสาะหาเป้าหมายอย่างระแวดระวัง แต่หลังจากยาขวดนั้นถูกปามา การค้นหาทั้งหมดก็หยุดชะงักลงทันที

ซูเฉินไปแล้ว

เขาหายตัวไป

หนีไปได้แล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าเขาหนีไปที่ใด ทั้งยังไม่มีใครคิดว่ามันจะหนีฝ่าวงล้อมไปได้ ได้แต่คิดว่าคงจะหนีขึ้นเขาไปอีกเท่านั้น

ดังนั้นจึงปรึกษากันว่าจะไล่ล่าขึ้นเขาเพื่อกดดันเป้าหมายต่อดีหรือไม่

ทุกคนเอาแต่หาทางวางกับดักเพื่อจับศัตรู

หลงชิงเจียงยืนมองภาพเหล่านั้นเงียบเชียบราวกับภูติผี

เขาไม่อาจพูดหรือทำอะไรได้ ได้แต่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ในใจทั้งอยากร้องไห้และหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“ผู้อาวุโสเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ ?” ลูกน้องคนหนึ่งร้องถามหลงชิงเจียง

“อ๊ะ !” หลงชิงเจียงทำท่าเหมือนหลุดจากฝัน “คุยกันเรียบร้อยหรือยัง ?”

“ซูเฉินอาจจะไปทางอื่นก็ได้ขอรับ” ลูกน้องตอบ “ทุกคนลงความเห็นว่าเราไม่ควรเสี่ยงไล่ตามมันไป แต่รั้งรอไว้น่าจะดีกว่า เพราะความแกร่งของมัน…… ไม่อาจดูถูกได้เลย”

ได้เห็นคน 5 กลุ่มถูกสังหารสิ้นเช่นนั้น ในใจคนมีความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

ลูกน้องคนนั้นสังเกตสีหน้าหลงชิงเจียง พูดต่อจนจบเมื่อเห็นว่าเขาไม่โกรธอะไร

“อ้อ งั้นหรือ” หลงชิงเจียงตอบแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นก็ทำตามเจ้าว่า”

“ขอรับ !” อีกฝ่ายมองหลงชิงเจียงแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก หลงชิงเจียงก็จะเห็นการล่าสังหารของซูเฉินแล้วตะลึงไปกระมัง ตัวเขาจึงออกไปจัดการทำตามแผนต่อ

หลงชิงเจียงได้แต่ยืนมองลูกน้องทำงาน รวมถึงคนจากตระกูลอื่น ๆ ที่พากันค้นทั่วทั้งภูเขาเพื่อตามหาคนที่ไม่ได้อยู่บนนี้แล้ว

ซูเฉินยืนเงยหน้ามองอยู่ที่ตีนเขา

ฟ้ามืดแล้ว บนเขามีแสงตะเกียงจุดขึ้นสว่างไสว ทำให้บนนั้นราวกับยังไม่ถึงยามราตรี

“ดูท่าคืนนี้คงจะไม่ได้นอนกันแล้ว” ซูเฉินหัวเราะ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

————————————————

การค้นหาลากยาวถึง 3 วัน

พอถึงวันที่สอง พวกเขาก็เดินทางขึ้นมาถึงยอด แต่เมื่อกลับมามือเปล่า ตระกูลสายเลือดชั้นสูงจึงส่งคนอีกกลุ่มขึ้นไปทำการค้นหาซ้ำอีกครา

นั่นก็เพราะยังไร้ข่าวการกลับมาของซูเฉินในเมืองธารน้ำใส

ในเมื่อซูเฉินยังไม่กลับมา แสดงว่ายังอยู่บนเขาเป็นแน่

ดังนั้นทุกคนจึงทำการค้นหากันต่อไป

การหายตัวไปของซูเฉินนั้นคล้ายกับเป็นเส้นสายล่องหนที่ทำเอาใจหลาย ๆ คนหนักหน่วง

ย่อมไม่มีใครคาดคิดว่าซูเฉินในตอนนี้กับลังนั่งดื่มเหล้าอยู่กับหวังเหวินซิ่นที่ศาลาเสาวคนธ์มัวเมา

“ข้าไม่อยากเชื่อเลย ท่านไม่เพียงหนีจากเงื้อมมือคนด่านสู่พิสดารกับพวกสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงมาได้ ทั้งยังหลอกพวกเขาเสียสิ้นท่า” หวังเหวินซิ่นหัวเราะพลางรินเหล้าให้ซูเฉิน

“ประการแรก ข้าอยากให้พวกนั้นเสียทรัพยากรสักหน่อย ประการที่สอง ข้าต้องการปกป้องหลงชิงเจียง คนพวกนั้นไม่โง่ หากข้าสังหารคนในเขตหลงชิงเจียงสักโขยงหนึ่ง จากนั้นพลันหายตัวไปแล้วมาปรากฏใหม่ในเมืองธารน้ำใส หลังจากนั้นไม่นานหลงเฉ่าโหยวก็หายดี พวกเขาคงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก”

“ท่านคิดจะช่วยบุตรชายเขาจริงหรือ ?”

“พูดจาเชื่อถือไม่ได้ไม่ใช่เรื่องดี อีกทั้งถึงข้าปกป้องเขาตอนนี้ สุดท้ายหลงชิงเจียงก็จะถูกเปิดโปงอยู่ดี และเมื่อข่าวที่ข้า ซูเฉิน รักษาคำสัญญากับศัตรูแพร่ออกไปแล้ว…… ฮืมมม ก็นับว่าเป็นประโยชน์กับตัวข้า” ซูเฉินโยนถั่วเข้าปากแล้วเอ่ยเสียงไม่รีบร้อน

“ก็จริง ท่านอยู่ที่นี่ให้นานสักหน่อย รอให้เรื่องคลายลง……”

“ไม่เป็นไรหรอก ข้ามีเหตุผลที่สามเช่นกัน ข้าอยากจะรู้ว่าหลู่ชิงกวงบัดซบนั่นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร อย่างน้อย ๆ ข้าก็อยากให้อันซื่อหยวนได้เห็นว่า 3 วันมานี้หลู่ชิงกวงลงมือทำอะไรไปบ้าง ตอนนี้ก็คงจะถึงเวลาแล้ว” ซูเฉินว่า

สามวันมานี้หลู่ชิงกวงทำอะไรบ้างน่ะหรือ ?

เขาไม่ได้ทำอะไรเลย

ซึ่งการไม่ทำอะไรเลยนับเป็นการทรยศหักหลังที่หนักหนานัก

หากแค่วันเดียวก็คงพอหาข้ออ้างได้ แต่การอยู่เฉย ๆ นานถึง 3 วันนั้นไม่อาจเอาอะไรมาอ้างได้เลย

ซูเฉินต้องการทำให้อันซื่อหยวนรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นมือมืดหลังม่าน

“เข้าใจแล้ว” หวังเหวินซิ่นพยักหน้า “แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อ ?”

“ส่งข่าวแจ้งเจียงซีสุ่ย บอกเขาว่าเริ่มภารกิจรวมโจรสลัดได้ อ้อใช่ อย่าลืมป่าแม่น้ำตะวันตกเล่า บอกให้เขายึดที่อื่น ๆ ได้เลย เราเองก็ยึดร้านสุขสงบเฟื่องฟูมาเป็นของเราเสียเลย”

“อะไรนะ ? ท่านคิดจะสู้กับตระกูลสายเลือดชั้นสูงตรง ๆ แล้วหรือ ?” หวังเหวินซิ่นชะงักไป

ซูเฉินเอ่ยเสียงเจ้าเล่ห์ “เหตุผลเดียวที่ข้าไม่ยึดเอาทรัพยากรจากป่าแม่น้ำตะวันตกมาจนหมด ทิ้งทางน้ำไว้ให้พวกนั้นบ้าง ล้วนเป็นเพราะไม่อยากบีบให้ตาแก่ด่านสู่พิสดารโผล่ออกมา แต่ในเมื่อมีคนหนึ่งลงมือ… เจ้าคิดว่าต้องยั้งมืออยู่อีกไหมเล่า ? ส่งคำกล่าวออกไป ครั้งนี้ข้าจะขุดรากถอนโคนทั้งหมด ให้มันรู้เสียบ้างว่ามาทำให้ข้าพิโรธแล้วจะต้องพบกับอะไร !”