บทที่ 120 ประกาศขาย
ภายในคฤหาสน์ซู
ฉือหมิงเฟิงมองซูเฉินด้วยความตกตะลึง “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะรอดมาได้ ข้าก็บอกแล้วว่าจะให้คนคุ้มกันดี ๆ ไปสักหลายคนแต่ท่านก็ปฏิเสธ เห็นหรือไม่ ? เกือบได้ลาโลกแล้ว”
“แต่ข้าก็ยังไม่ตาย” ซูเฉินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้น ในเมื่อพ่ายแพ้ไปหน เดี๋ยวก็ต้องมาจนกว่าจะสำเร็จ”
ซูเฉินพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นข้าจึงอยากลงมือก่อน”
ได้ยินดังนั้น ฉือหมิงเฟิงก็หัวร่อ “ในที่สุดก็คิดตกเสียที ถูกต้อง ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ ! ในเมื่อสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงเผยไพ่ตายออกมารับมือท่านแล้ว ก็ถึงเวลาเราเผยบ้าง ดูสิว่าใครจะมีกำลังซ่อนเร้นมากกว่ากัน หึ ๆ หากท่านยอมจ่ายสักหน่อย อารามนิรันดร์ย่อมช่วยท่านถอนรากถอนโคนพวกเขาได้”
ซูเฉินรู้ดีว่าจ่ายสักหน่อยของอีกฝ่ายนั้นเท่ากับอะไร คือผลประโยชน์ 10 ส่วนจากการขายยานั่นเอง
ฟังดูเหมือนจะไม่มาก แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหินพลังต้นกำเนิดหลายร้อยล้านก้อนทีเดียว
ทว่าชายหนุ่มเพียงส่ายหัว “ข้าไม่คิดจะใช้เงินมากมายรับมือพวกเขา จริง ๆ แล้วถึงไม่ต้องใช้เงิน แต่ข้าก็ไม่อยากออกปากให้ท่านช่วยอยู่ดี”
ฉือหมิงเฟิงอดหัวเราะขื่นไม่ได้ “ท่านเห็นอารามนิรันดร์เป็นปีศาจหรือ ? จะต้องระแวงกันขนาดนั้นเชียว ?”
ซูเฉินตอบ “อารามนิรันดร์ไม่ใช่ปีศาจ แต่กับพันธมิตรเราก็ควรเว้นระยะไว้บ้าง เพราะหากใกล้ชิดกันเกินไป จากพันธมิตร ข้าจะได้กลายเป็นสมาชิกของพวกท่านไปน่ะสิ”
ฉือหมิงเฟิงได้ยินก็ลองตรึกตรอง สุดท้ายจึงพยักหน้าตอบ “ที่ท่านว่ามาก็มีเหตุผล ท่านนี่มีสติปัญญาสูงส่ง แต่หากไม่รับความช่วยเหลือเราแล้วจะรับมือกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงอย่างไร ? พวกเขาไม่ได้มีเพียงหวังซานหยูคนเดียว และจากที่ข้ารู้ สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงมีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารอย่างน้อย ๆ ก็สามคน ผลก็เลยสามารถกดดันอันซื่อหยวนได้”
“กำลังของข้าในตอนนี้ยังไม่มากพอ แต่อีกไม่นานก็คงพอแล้ว” ซูเฉินว่า
“อีกไม่นานหรือ ?” ฉือหมิงเฟิงชะงักไป หมายความว่าอย่างไรกัน ?
ซูเฉินจึงตอบ “ใช่แล้ว จนกว่าข้าจะแกร่งถึงขั้นที่สามารถโค่นศัตรูได้”
ฉือหมิงเฟิงรู้สึกขบขันอยู่บ้าง “ท่านพูดหยอกข้าหรือ ? เป็นไปไม่ได้หรอก ข้ารู้ว่าท่านเอาชนะผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้งที่ยังอยู่ด่านกลั่นโลหิตได้ แต่นั่นก็ไม่นับเป็นอะไร ในทวีปต้นกำเนิดก็มีคนมีฝีมือที่ทำเช่นนั้นได้อยู่มากมาย แต่การเอาชนะคนด่านทะลวงลมปราณทั้งที่ยังอยู่ด่านกลั่นโลหิตไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่ด่านทะลวงลมปราณจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารได้เช่นกัน เรื่องนั้นมันต่างกันมากโข !”
ถูกต้อง ความต่างระหว่างพลังมันไม่เหมือนกัน
ความต่างของพลังผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารและด่านทะลวงลมปราณนั้นมีสูงมาก เห็นได้จากพลังของหวังซานหยูเทียบกับของผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ
ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเหาะเหินเดินอากาศได้ เรียกล้มฟ้าพายุฝนเพียงพลิกมือ มีพลังอำนาจสูงส่งเหนือกว่าที่มนุษย์จะคาดถึง ในตอนนั้นมนุษย์ต่างเชื่อว่ามันคือจุดสูงสุดของพลัง หากสูงกว่านั้นก็จะได้กลายเป็นเซียน
แต่หลังจากนั้นก็มีขั้นพลังด่านใหม่กำเนิดขึ้น มนุษย์จึงค้นพบว่ากว่าจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ยังมีอีกหลายด่านพลังให้เสาะหาอีกมากนัก ราวกับต้องค่อย ๆ ก้าวขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงชั้นบนสุด
ดังนั้นคนด่านสู่พิสดารจึงกลายเป็นเหมือนตัวแทนพลังสูงสุดของมนุษย์ไประยะหนึ่ง กระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังมีความเชื่อนั้นหลงเหลืออยู่
หากตระกูลมีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารก็จะมีความมั่นใจสูงขึ้น เป็นรากฐานของการกลายเป็นตระกูลชั้นสูง
แต่หากไร้ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารก็ไร้ค่าราคาใด
คนด่านทะลวงลมปราณโค่นคนด่านกลั่นโลหิต 5-6 คนได้ง่าย ๆ ทว่าผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเอาชนะผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณมากกว่า 5 คนขึ้นไปได้ง่ายกว่า
ด่านสู่พิสดารมีแท่นบงกชทั้งเจ็ด แต่ละแท่นแทนถึงพลังแต่ละขั้น
ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารหนึ่งแท่นบงกชสามารถข่มคนด่านทะลวงลมปราณขั้นสุดได้ในระดับความต่างพลังหนึ่งถึงสิบ
อาสิบเอ็ดตระกูลจูมีหนึ่งแท่นบงกช แต่สามารถเอาชนะเจิ้งปาซาน จงฉือซื่อ และผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณขั้นสุดอีกหลายคนได้ หากซูเฉินไม่จับจูเซียนเหยามาเป็นจุดอ่อน เขาก็คงสังหารคนทั้งหมดโดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแล้ว
เขามีเพียงหนึ่งแท่นบงกช ยิ่งมีแท่นบงกชสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารยิ่งแข็งแกร่งแบบก้าวกระโดดมากขึ้นเรื่อย ๆ
หวังซานหยูมีสามแท่นบงกช แกร่งกว่าสายเลือดจักรพรรดิอสูรของอาสิบเอ็ดเสียอีก ยังมีคนอีกสองคนในตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่เก่งกาจถึงขั้นนั้น คนหนึ่งคือเซินอวิ๋นหงที่ซูเฉินเคยเห็นหน้ามาก่อนแล้ว
ยามได้ยินว่าซูเฉินคิดจะรับมือศัตรูเอง ฉือหมิงเฟิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ข้าจึงต้องรีบคิดหาทางทำให้ตนเองแกร่งขึ้นอย่างไรเล่า” ซูเฉินว่า
ฉือหมิงเฟิงส่ายหัว “ไม่ว่าท่านจะแกร่งเพียงไหน แต่ก็เอาชนะผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารสักครึ่งคนไม่ได้หรอก ถึงจะใช้ทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังมากมายเท่ามหาสมุทร ใส่เครื่องมือต้นกำเนิดตั้งแต่หัวจรดเท้า มีหินพลังต้นกำเนิดและยาให้ใช้ไม่จำกัด นั่นก็ยังอาจไม่……”
น้ำเสียงเขาพลันติดอยู่ในลำคอทันที
เขาคิดบางอย่าง จ้องซูเฉินหน้าตะลึงพรึงเพริด
ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “เห็นไหม ท่านคิดแผนออกแล้ว”
ฉือหมิงเฟิงจ้องอีกฝ่ายอ้าปากค้าง นัยน์ตาตกตะลึง “นี่ท่านคิด……”
“มันก็ใกล้ได้เวลาอยู่แล้ว” ซูเฉินตอบ “ท่านเองก็รอวันนี้มานานไม่ใช่หรือ ?”
ฉือหมิงเฟิงพยักหน้า “ถูกต้อง เรารอวันนี้มานานแล้ว”
————————————
ภายในแดนฝัน
ทันทีที่ซูเฉินเข้าแดนมา ภูติแดนฝันลู่ลู่ก็มาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทันที
“ท่านเจ้าหน้าที่แห่งฝัน ลู่ลู่ไม่ถูกท่านเรียกใช้มานาน นี่ท่านลืมลู่ลู่ผู้น่าสงสารไปแล้วหรือเจ้าคะ ?”
ภูติแดนฝันบินวนรอบตัวซูเฉินแล้วบุ้ยปากเหมือนเด็ก ๆ
“ข้าก็เรียกอยู่ไม่ใช่หรือ ?” ซูเฉินยิ้ม
“นั่นมันไม่เหมือนกันสักหน่อย !” ลู่ลู่ว่าพลางเท้าสะเอว “ข้าเป็นภูติแดนฝันส่วนตัวของเจ้านะ ภูติแดนฝันทุกตนรับใช้แขกได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้นเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่เจ้ากลับไม่เคยเรียกข้า ไม่เคยซื้อหาอะไรในปราสาทแดนฝัน ใช้ละอองฝันไม่เท่าไหร่ต่อวันไปกับการฝึกวิชาโบราณอาร์คาน่าของเจ้า กำไรข้าหดหายลงมาก ที่ข้ายังอยู่รอดได้ก็เพราะคอยทำหน้าที่นำทางให้ผู้ใช้แดนฝันหน้าใหม่เท่านั้น เจ้าทำกำไรข้าหด เจ้าทำลายผลประโยชน์ของข้า ได้ยินหรือไม่ !!!”
ลู่ลู่บ่นไปก็ตะโกนเสียงดัง กระทืบเท้าด้วยความโกรธ แต่ท่าทางเอาแต่ใจนั้นก็ยังดูน่ารักไม่ใช่น้อย
ซูเฉินเห็นแบบนั้นจึงนึกอยากแกล้ง “อ้องั้นหรือ เช่นนั้น…… ทำไมเจ้าไม่ยอมแพ้ เลิกเป็นภูติแดนฝันส่วนตัวของข้าไปเสียเลยเล่า ?”
ลู่ลู่ตวัดตามองเขา “ข้าจะทำได้ยังไง ? ภูติแดนฝันเช่นข้านั้นทุ่มเทมาก จะมาเปลี่ยนคนไป ๆ มา ๆ ได้อย่างไรกัน ? เว้นเสียแต่ว่าแขกของแดนตายไปก็เท่านั้น แต่เจ้าก็ดูยังมีชีวิตชีวา ข้าคงหวังให้เจ้ารีบตายเร็ว ๆ ไม่ได้ เฮ้อ ข้านี่โชคร้ายจริง”
นางว่าแล้วก็ก้มหัวลง
ซูเฉินเห็นนางโวยวายก็พูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรเอ่ยชมที่นางซื่อสัตย์หรือสอนนางว่าอย่าโพล่งว่าอยากให้คนอื่นตายออกมาตรง ๆ เช่นนี้ดี
แต่สำหรับภูติแดนฝันแล้ว เช่นนี้ไม่นับว่าเป็นการแช่ง เพราะในแดนฝันนั้นความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรนัก เมื่อพวกเขาตายไป จิตก็จะกลับสู่แหล่งกำเนิดแดนฝัน ซึ่งจะผลิดอก ออกผล และเติบโตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งอยู่ดี
ใช่แล้ว ภูติแดนฝันก็เหมือนผลไม้จากต้นไม้ใหญ่ พวกเขาเติบโตมาเช่นนั้น
ดังนั้นภูติแดนฝันจึงไม่กลัวเรื่องความตาย
ซูเฉินรู้ว่าลู่ลู่ไม่ได้มีใจคิดร้าย ดังนั้นจึงไม่เถียงกับนาง กล่าวเพียงว่า “ฉะนั้นครั้งนี้ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้า”
“โอกาสประเภทไหนกัน ?”
“โอกาสที่จะทำให้เจ้าได้กำไรนับร้อยปีโดยที่เจ้าแทบไม่ต้องลงมือทำอะไร เจ้าคิดว่าอย่างไร ?”
แล้วเขาก็ส่งข้อความให้ลู่ลู่
ลู่ลู่ชะงักค้างไปเมื่อเห็นมัน ตกตะลึงไปในพลัน
ตัวอักษรแถวหนึ่งเลื่อนผ่านกระดานหลักในโถงแห่งความรู้
“ประกาศขาย: วิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือด”
“ราคา: 200 ละอองฝัน”
“ผู้ขาย: อวิ๋นฝูปา”