ตอนที่38 เข้าใจผิด NovelHall

ตอนที่38 เข้าใจผิด

เมื่อพบว่าเจียงเสี่ยวปิงกำลังหลับอยู่ จ้าวเฉียนจึงเคาะกระจกหน้าต่างเพื่อปลุกเธอ

“นอนอีกแล้ว! ทำไมเธอดูง่วงตลอดเวลาดเลย? หรือเมื่อคืนหวังเฉียงไม่ยอมให้นอนรึไง? เขาถึกทนขนาดนั้นเชียว? ทำกันทั้งคืนเลยมั้ง?”

เจียงเสี่ยวปิงกลอกตาเจือรำคาญ ก่อนตวาดเสียงดุใส่ว่า

“พล่ามไร้สาระอะไร? ฉันนั่งรออยู่ในรถคนเดียวยังมีอะไรอื่นให้ทำอีกรึไง? แล้วอาหารของฉันล่ะ?”

จ้าวเฉียนยักไหล่ตอบอย่างใจเย็นว่า

“อ๋อ ลืมซื้อให้”

พอได้ยินแบบนั้น เจียงเสี่ยวปิงเดือดจัดตะคอกซ้ำสองขึ้นลั่น

“แก…แกจงใจแกล้งฉัน! ไอ้สารเลว! ที่พามาด้วยจงใจแก้แค้นฉันใช่ไหม!?”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากตัดบทตอบพร้อมสีหน้าสุดรังเกียจว่า

“ใครจะไปคนเรื่องแก้แค้นเธอ? อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อยเลย เธอไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นศัตรูของฉันด้วยซ้ำ เลิกพล่ามได้แล้ว พอดีคุณหยวนมี่บอกว่าเธอง่วง ขึ้นขับรถขึ้นไปจอดฉันบนแทน ฉันจะเปิดห้องให้เธอนอนพักผ่อนสักหน่อย จากนั้นค่อยคุยเรื่องความร่วมมือกันอีกที”

เจียงเสี่ยวปิงเอ่ยตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“แม่สาวสกุลหยวนคนนี้ต้องการอะไรกันแน่? ไม่เกรงใจพวกเราเลยรึไง? หรือเธอต้องการล่อนายให้ไปนอนด้วยกัน?”

จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจคำกล่าวของเธอเท่าไหร่นัก เพียงสตาร์ทรถและขับออกไปทันที เมื่อเห็นรถของหยวนที่จอดอยู่ทางหน้าทางเข้าโรงแรม จ้าวเฉียนก็รีบตรงเข้าไปจอดต่อท้ายเธอทันที เขาเข้าไปที่ล็อบบี้และขอเปิดสองห้องที่มีประตูเชื่อมถึงกัน จากนั้นก็พาหยวนมี่และเจียงเสี่ยวปิงขึ้นไปที่นั่นด้วยกัน

“คุณหยวนมี่พักผ่อนให้สบายนะครับ สักสามทุ่มเราค่อยนัดมาคุยกันอีกที”

จ้าวเฉียนส่งบัตรห้องแก่เธอตามที่พูดไป

หยวนมี่ที่เห็นเจียงเสี่ยวปิงลอบมองอยู่ ก็แกล้งทำเป็นหาววอดใหญ่และสแกนบัตรเข้าห้องพักไป

จ้าวเฉียนสแกนบัตรห้องติดกันและเชิญให้เจียงเสี่ยวปิงเข้าไป

“ฉันจะนอนพักสักหน่อย เธอมีหน้าที่เฝ้าจนกว่าอีกฝ่ายจะมีการเคลื่อนไหว ทันทีที่คุณหยวนที่ได้ยินเสียงคุณหยวนมี่เปิดประตูออกมา ก็รีบปลุกฉันทันที”

เจียงเสี่ยวปิงคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า

“แต่ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย!”

จ้าวเฉียนล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมห่มผ้านวมเบ็ดเสร็จ และตอบไปว่า

“ไม่กินข้าวสักมื้อสองมื้อไม่ตายหรอกน่า ถ้าฉันสามารถทำให้คุณหยวนมี่กลับมาร่วมมือได้เมื่อไหร่ ฉันจะกลับไปรายงานประธานฟางว่า ทั้งหมดเป็นความดีความชอบของเธอเอง เอาล่ะ วันนี้ฉันเหนื่อยมามากแล้ว ขอตัวงีบหลับก่อน อ่อ…แล้วก็…ของในตู้เย็นห้ามกินเด็ดขาดนะ โรงแรมนี้คิดราคาแพงมาก”

เจียงเสี่ยวปิงไม่กล้าเอ่ยปากเถียงอะไรสวนกลับไป และนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนึงอย่างไร้ซึ่งหนทาง เธอรีบพิมพ์ข้อความส่งไปหาหวังเฉียงเพื่อรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และทันทีที่อีกฝ่ายทราบว่า เธออยู่กับจ้าวเฉียนในโรงแรมกันสองต่อสอง หวังเฉียงก็ตื่นตระหนกหนักเร่งโทรหาเธอทันที

จ้าวเฉียนที่งีบอยู่ก็ตะโกนใส่ว่า

“ปิดเสียงมือถือด้วย รำคาญ!”

เจียงเสี่ยวปิงสวนตอบหวนๆ อย่างหงุดหงิดไปว่า

“เออ เข้าใจแล้ว”

จากนั้นเธอก็รีบเข้าไปในห้องน้ำเพื่อรับมือถือ

“ฮาโหล โทรมามีอะไร?”

หวังเฉียงที่อยู่ปลายสายตะคอกกลับด้วยความโกรธว่า

“ทำไมฉันจะโทรไปไม่ได้? แล้วทำไมพวกเธอต้องอยู่กันในโรงแรมสองต่อสอง?”

“ก็ไอ้คนสกุลหยวนดันบอกว่า อยากนอนพักผ่อน”

“พักผ่อนกับผีสิ! ระหว่างคุยธุรกิจกันมีแยกออกไปนอนพักกันที่ไหน! ไอ้จ้าวเฉียนมันอยู่ไหน ขอสายให้ฉันคุยกับมันเดี๋ยวนี้!”

“เขาหลับไปแล้ว เห็นบอกว่าเหนื่อย ต้องการพักผ่อน”

“อะไรนะ?! เธอไปทำบ้าอะไรกับมันกันแน่ ถึงได้เหนื่อยจนหลับแบบนี้! บอกฉันมาเร็ว!”

เห็นได้ชัดว่าหวังเฉียงยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ เจียงเสี่ยวปิงจึงรีบอธิบายตอบไปทันทีว่า มันไม่ได้ทำอะไรฉันเลย เนื่องจากจ้าวเฉียนกับคู่ค้าคนนั้นคงเจรจาไม่จบสักที จนเหนื่อยเกิน ทั้งคู่จึงแยกออกมาเปิดห้องและหลับไป

“ไอ้เวร! บอกความจริงฉันมาเดี๋ยวนี้! พวกแกสวิงกิ้งกันแบบ3คนกันใช่ไหม?!!”

“พูดบ้าอะไรของนาย! ทุเรศ!!”

เจียงเสี่ยงปิงตัดสายทิ้งไปทันทีพร้อมปิดเครื่องเสร็จสรรพ เดิมทีเธอก็ยังไม่ได้กินอะไรรองท้องตั้งแต่กลางวัน ยิ่งไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยจนถึงเย็น จึงโมโหหิวเป็นพิเศษ แล้วยิ่งตอนนี้ หวังเฉียงมาตะคอกใส่เธอ ทั้งยังพูดจาน่ารังเกลียด เธอก็ยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่

อย่างไรก็ตาม พอเจียงเสี่ยวปิงจู่ๆ ก็ตัดสายไป นี่ยิ่งทำให้หวังเฉียนมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่า เธอกับจ้าวเฉียนกำลังมีอะไรกันในโรงแรม คล้อยหลังพบว่ามือถือของเธอถูกปิด หวังเฉียนก็รีบต่อสายตรงโทรหาจ้าวเฉียน แต่เมื่อได้รับแจ้งว่าอีกฝ่ายเองก็ปิดเครื่อง สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำหวังเฉียงว่า ถ่านไฟเก่าระหว่างจ้าวเฉียนกับเจียงเสี่ยวปิงกำลังปะทุขึ้นอีกครั้ง และทั้งคู่กำลังมีเซ็กส์กันในโรงแรมอย่างสนุกสนาน

“ไอ้จ้าวเฉียน!!! แกกล้านอนกับผู้หญิงของกูใช่ไหม!!? รอเดี๋ยวก่อน…กูไม่ปล่อยพวกมึงไปแน่!”

หวังเฉียงโกรธจัดจนขาดสติฉับพลัน คว้าของใกล้มือบนโต๊ะทำงานเขวียงขว้างไม่หยุดหย่อน แต่ท้ายที่สุดนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

เจียงเสี่ยวปิงนั่งรออยู่เกือบสองชั่วโมงแล้ว และไม่สามารถทนความง่วงและอ่อนเพลียจากความหิวได้อีกต่อไป เธอจึงเหยียดตัวลงนอนบนโซฟาในห้อง หลับไปทั้งแบบนั้น เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว แต่จ้าวเฉียนยังคงหลับไม่ตื่นอยู่บนเตียง เห็นดังนั้นก็รีบลุกไปปลุกเขาทันที

“รีบตื่นไปเช็คห้องข้างๆ เร็ว! แม่สาวสกุลหยวนยังอยู่รึเปล่า! ไม่ใช่ว่าพวกนายนัดเจอกันตอนสามทุ่มรึไง!?”

จ้าวเฉียนยกมือขึ้นมาขยี้ตาสักพักก่อนจะเปิดมือถือ และเปิดแชทที่หยวนมี่ส่งข้อความมาหา

“โวยวายอะไรของเธอ? อีกฝ่ายกลับมาร่วมมือกับทางเราเรียบร้อยแล้ว คงเริ่มโปรเจคได้เลยในเร็วๆ นี้”

พอพูดจบ จ้าวเฉียนก็โยนมือถือไปหาเจียงเสี่ยวปิง และกล่าวต่อขึ้นว่า

“พอเสร็จแล้ว ฉันก็กลับเข้าห้องมางีบต่ออีกสักพัก”

เจียงเสี่ยวปิงที่อ่านเนื้อหาในแชทก็รู้ได้ทันทีว่า ฝ่ายคู่ค้ายอมกลับมาให้ความร่วมมือแล้ว เธอทั้งรู้สึกตกใจและสับสนอย่างยิ่งว่าเกิดอะไรขึ้น จ้าวเฉียนใช้อีท่าไหนถึงโน้มน้าวใจหยวนมี่ได้? ก่อนหน้านี้เธอดูโกรธมาก แต่ตอนนี้กลับให้ความร่วมมือแล้ว? ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ?

“นี่…นี่ดูเหมือนว่า…หลังจากที่ฉันทิ้งเขาไป เขาก็เปลี่ยนตัวเองไปมากจริงๆ … ฉัน…ฉันเลือกอะไรผิดไปรึเปล่า?”

เจียงเสี่ยวปิงรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก และเธอไม่ต้องการเห็นจ้าวเฉียนอีกต่อไป มิฉะนั้นคงรู้สึกแย่ไปกว่านี้แน่นอน เธอโยนมือถือคืนจ้าวเฉียนและตะคอกใส่ว่า

“แล้วทำไมยังนอนอยู่อีก?! ฉันหิวจะตายแล้ว รีบพาฉันไปกินข้าวเย็นเดี๋ยวนี้!”

“ยังง่วงอยู่เลย ขออีกห้านาทีละกัน”

“ลุกเดี๋ยวนี้!!”

เจียงเสี่ยวปิงพยายามฉุกร่างของจ้าวเฉียนขึ้นจากเตียง แต่เขาเพิ่งตื่นได้ไม่นานจึงยังคงง่วงไม่หาย และเขาต้องการเวลาอีกสักพักเพื่องีบเอาแรงก่อน เจียงเสี่ยวปิงก็ตื้ออีกฝ่ายไม่หยุดจนทำให้จ้าวเฉียนหงุดหงิด ยกมือผลักร่างของเธอสุดแรงไม่มีออมมือ

ร่างเบาของเจียงเสี่ยวปิงล้มกระแทกกับพื้นโดยไม่มีอะไรให้จับประคองเลยแม้แต่น้อย เข่าทั้งสองข้างเข้ากระแทกพื้น อีกสองมือพยายามประคองร่างไม่ให้นอนฟุบทั้งตัว เป็นผลให้เข่าของเธอเกิดแผลช้ำในจนเขียว

“จ้าวเฉียน เลิกขี้เซาได้แล้ว!”

จ้าวเฉียนลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด ไม่คิดที่จะยื่นมือไปช่วยเธอเลยสักนิด เขาลุกขึ้นตรงไปล้างหน้าล้างตาและพาเธอออกไปทานอาหารเย็น

เจียงเสี่ยวปิงก็เอาแต่ดุด่าจ้าวเฉียนตลอดทาง แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า หลังจากที่พวกเขาทานข้าวเสร็จ ทั้งสองก็รีบกลับไปที่บริษัททันที ถึงโน้นเกือบเที่ยงคืน ออฟฟิศมืดสนิทราวกับไม่เหลือใครอยู่แล้ว

แต่ทันทีที่พวกเขาเปิดไฟขึ้น ทุกคนต่างตะโกนโหร้องด้วยความดีใจ กล่าวชื่นชมทั้งจ้าวเฉียนและเจียงเสี่ยวปิงไม่ขาดปาก

ก่อนหน้านี้ หยวนมี่ได้โทรมาหาฟางนี่แล้ว เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับการกลับมาร่วมมือใหม่อีกครั้งระหว่างสองบริษัท ดังนั้นเธอจึงขอให้ทุกคนอย่างเพิ่งกลับ และรอเซอร์ไพส์ต้อนรับทั้งสองที่กำลังกลับมาอย่างมีชัย

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เจียงเสี่ยวปิงได้รับคำชื่นชมจากเหล่าเพื่อนร่วมงานมากมายขนาดนี้ เธอหัวเราะกับทุกคนด้วยความสนุกสนาน ยิ่งเป็นตอนที่เห็นหวังเฉียงตรงเข้ามา เธอก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขเข้าไปใหญ่ที่จะได้ฉลองกับคนที่รัก ขณะที่เดินเข้าไปใกล้ๆ จู่ๆ เธอก็ถูกเขากระชากแขนอย่างแรงและผลักเข้าห้องทำงานส่วนตัวทันทีด้วยความโกรธจัด

“นี่นายเป็นบ้าอะไร?”

เจียงเสี่ยวปิงเอ่ยถามทันทีด้วยความไม่พอใจอย่างแรง

ทว่าหวังเฉียงไม่พอใจหนักกว่าเธอมาก เขาขึ้นเสียงใส่ด่าเธอสาปๆ ส่งๆ ทันทีว่า

“ทำไมแกมันร่านแบบนี้ห๊ะ! ก็เห็นอยู่ว่ามันไร้น้ำยาแค่ไหน ไม่งั้นแกจะเลิกกับมันมาคบกูเหรอ! พอเห็นไอ้สวะนั้นประสบความสำเร็จนิดหน่อย ถ่านไฟเก่าก็ลุกขึ้นมาเชียว! นานๆ ทีจะมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วเป็นไงล่ะ เอากันสนุกดีไหม?!”

เจียงเสี่ยวปิงไม่คิดไม่ฝันเลยว่า หวังเฉียงจะพูดจาแบบนี้กับเธอจริงๆ

พอได้ฟังคำพูดอันน่าอับอาย เธอก็อารมณ์เดือดขึ้นในทันใด

“หวังเฉียง ระวังคำพูดตัวเองหน่อย! นายมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่า ถ่านไฟเก่าระหว่างฉันกับมันปะทุขึ้นมา? ใส่ร้ายคนอื่นไปมัวหมด แล้วยังมีหน้ามาด่าฉันอีก?”

หวังเฉียงโกรธจัดจนเนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด อีนังร่านคนนี้เพิ่งทำเรื่องเลวทรามมาสดๆ ร้อนๆ แต่ก็ยังหน้าด้านปฏิเสธน้ำขุ่นๆ อยู่อีก?

“อีร่าน!!”

พอด่าจบ หวังเฉียงก็ยกมือตบหน้าเจียงเสี่ยวปิงสุดแรงด้วยความโกรธ พร้อมตะคอกต่อว่า

“หัวเข่ามึงไปโดนอะไรมา? ทำไมขึ้นเขียวแบบนี้?! มึง…มึงยังกล้าพูดอยู่ไหมว่า พวกมึงสองตัวไม่ได้ไปมีอะไรกันมา?”

สองเรียวมือบางของเจียงเสี่ยวปิงยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าด้วยความเจ็บปวด เธอกล่าวตอบทั้งน้ำตาว่า

“ก็มันผลักฉัน…เข่าฉันกระแทกกับพื้นจนช้ำไปหมดแล้ว”

“เออ! กูรู้ว่ามันผลักมึง! ผลักมึงแล้วเล่นท่าหมากันไง! อย่าคิดว่ากูโง่!!!”

พอพูดจบ หวังเฉียงก็ใช้หลังมือตบหน้าเจียงเสี่ยวปิงอีกรอบ

สุ้มเสียงเพื่อนร่วมงานดังขึ้นจากนอกห้อง และเป็นฟางนี่ที่เคาะประตูพร้อมตะโกนถามว่าเกิดอะไรกันขึ้น

หวังเฉียงกระซิบกับเจียงเสี่ยวปิงโดยไวว่า

“กูหวังว่ามึงจะฉลาดพอนะว่าควรตอบพวกเขาว่าอะไร”

เจียงเสี่ยวปิงพยักหน้าทั้งน้ำตา เธอในตอนนี้รู้สึกสะเทือนใจเกินบรรยาย

หวังเฉียงจ้องเธอเขม็งและเดินออกไปเปิดประตู