เล่มที่ 8 บทที่ 212 ค่ายทหารยามค่ำคืน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

แสงไฟจากค่ายทหารสาดส่องกระทบสายตาของหลินเมิ้งหยา

ในที่สุดก็ถึงแล้ว! หัวใจของหลินเมิ้งหยาผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ภายใต้ความมืด ค่ายทหารยังคงมีการตรวจขันอย่างเข้มงวด อีกทั้งมีทหารคอยลาดตระเวนตลอดเวลา

“ใครกัน? กล้าดีอย่างไรจึงมาที่ค่ายทหารแห่งนี้”

ม้าของทั้งคู่หยุดลง เสียงเย็นชาตะคอกใส่พวกเขา

“ข้าคือองค์ชายของฮ่องเต้นามว่าหลงเทียนอวี้ ข้าต้องการเข้าพบแม่ทัพหลินของพวกเจ้า”

หลงเทียนอวี้ดึงป้ายแขวนเอวขึ้นมาแล้วโยนให้ทหารเฝ้าประตู

“ท่านอ๋องได้โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปรายงานท่านแม่ทัพเดี๋ยวนี้”

แม้หลงเทียนอวี้จะแสดงป้ายประจำตัวไปแล้ว ทว่าทหารองครักษ์เฝ้าหน้าประตูยังมิปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในทันที

หลงเทียนอวี้กวาดสายตาสำรวจค่ายทหาร หลงชิงหานได้รับข่าวมาว่าหลินหนานเซิงถูกลอบสังหาร

ทว่าค่ายทหารที่มีการคุ้มกันแน่นหนาขนาดนี้ไม่น่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้

สมองประมวลผลอยู่ครู่หนึ่ง หลินเมิ้งหยาแอบมองลอดแสงไฟเข้าไปในค่าย หัวใจที่เคยสั่นระรัวพลันสงบนิ่งลง

“วางใจเถิด หากเกิดเรื่องกับแม่ทัพหลิน ในค่ายคงไม่สงบนิ่งเช่นนี้”

เสียงเรียบถูกส่งออกมาจากเหนือตัวนาง

หลินเมิ้งหยามองทางหลงเทียนอวี้ พยักหน้า ก่อนจะซุกตัวอยู่ในเสื้อคลุมของเขาอีกครั้ง

“ท่านอ๋องอวี้ เมื่อครู่กระหม่อมเสียมารยาทเกินไปแล้ว ท่านแม่ทัพเชิญพระองค์เสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

ทหารที่ออกไปรายงานเมื่อครู่วิ่งกลับเข้ามา

ทหารที่ติดตามสกุลหลินล้วนมีความทะนงตน แม้แต่ทหารชั้นผู้น้อยยังไม่คิดจะประจบประแจงเขาเพียงเพราะว่าเขาเป็นองค์ชาย

“ไม่เป็นไร”

ตั้งแต่เด็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาได้เห็นทหารเช่นนี้

สมัยยังเด็ก พี่ชายมักถูกท่านพ่อนำไปทิ้งไว้ในค่ายทหาร

ท่านพ่อมักจะมองนางแล้วถอนหายใจ เขาเสียดายที่นางเกิดมาเป็นหญิง

บรรยากาศยามหิมะตกทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นจนฟันกระทบกัน

ทว่าทหารในค่ายต่างยืนตัวตรงอย่างเป็นระเบียบ

บางทีอาจเพราะท่านแม่ทัพถูกลอบทำร้าย พวกเขาจึงต้องรักษาตำแหน่งของตนเองให้ดี

แม้จะอยู่เพียงแถบชานเมือง แต่พวกเขายังมิละทิ้งความเข้มงวดกวดขัน

“เชิญท่านอ๋องทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ทัพกำลังรอพระองค์อยู่”

เพียงเข้ามาในค่าย ทหารคนสนิทของหลินหนานเซิงก็ออกมาต้อนรับ

หลินเมิ้งหยารีบโผล่ศีรษะออกมาจากใต้ผ้าคลุมของหลงเทียนอวี้

“นี่คือ….”

ทหารหนุ่มคนนั้นตกใจจนตัวโยน เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผู้หญิงคนนี้จึงอยู่ในอ้อมแขนของท่านอ๋อง อีกทั้งยังโผล่ออกมาเพียงศีรษะ

“ข้าคือหลินเมิ้งหยา น้องสาวของหลินหนานเซิง เขาเคยเล่าให้เจ้าฟังหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยา? ชื่อนี้คุ้นหูเหลือเกิน

มองดูใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่งดงามดั่งภาพวาด ผิวพรรณขาวนวลเนียนดั่งหิมะ

ใบหน้าของนางคล้ายกับท่านแม่ทัพของพวกเขาไม่มีผิดเพี้ยน

“ท่านคือ….คุณหนูใหญ่! ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ท่านแม่ทัพเอ่ยถึงท่านเสมอ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”

แม้จะไม่เคยเจอหลินเมิ้งหยามาก่อน แต่เพราะเคยได้ยินหลินหนานเซิงผู้หลงรักน้องสาวจนหัวปักหัวปำเอ่ยถึงบ่อยๆ ฉะนั้นเขาจึงรู้สึกเสมือนนางเป็นคนคุ้นเคย

ทุกคนที่รู้จักหลินหนานเซิงล้วนรู้ดี

ท่านแม่ทัพผู้นี้ไม่มีงานอดิเรกอันใด นอกจากการฝึกฝนตัวเองและศึกษากลยุทธ์การออกรบ การเล่าเรื่องน้องสาวเป็นสิ่งที่เขามักจะทำอยู่เสมอ

“พี่ชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง? อาการหนักหรือไม่?”

เมื่อได้อยู่กับทหารคนสนิทของพี่ชาย หลินเมิ้งหยาจึงรีบถามอาการของพี่ตนเองทันที

“ท่านแม่ทัพไม่เป็นไรขอรับ ได้รับบาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อย คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ”

ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ พี่ชายไม่เป็นอะไร แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

ไม่นาน พวกเขาทั้งสองก็เดินมาถึงกระโจมหลักของค่าย

หลินเมิ้งหยาไม่สนใจอากาศเย็นเฉียบบนพื้น กระโดดลงจากหลังม้าแล้ววิ่งเข้าไปในกระโจม

ภายในกระโจม สายตาของทุกคนล้วนพุ่งมาทางหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามา

หญิงสาวคนนั้นสวมใส่ชุดสีขาวล้วน ใบหน้าเรียวเล็กงดงามมีเสน่ห์ ทว่า ท่าทางกลับกระวนกระวาย

เส้นผมตรงยาวถูกถักเป็นเปียหลวมๆ แต่งหน้าเล็กน้อย

เหล่าแม่ทัพนายพลที่ไม่เคยเห็นหญิงคนนี้ต่างพากันถลึงตาโต เขามิรู้ว่านางตกมาจากสวรรค์ชั้นไหน ไม่รู้กระทั่งว่านางเป็นใคร

“เสี่ยวหยา? เจ้าคือเสี่ยวหยาหรือ?”

หลินหนานเซิงที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานพูดไม่ออกเพราะความตกตะลึง

ดวงตาเบิกกว้างขณะมองหน้าหญิงสาว

“ท่านพี่…ท่านเป็นเช่นไร? เจ็บหนักหรือไม่?”

แม้ทหารคนสนิทจะเอ่ยว่าเขาไม่เป็นไร

ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเห็นผ้าพันแผลที่แผงอกของหลินหนานเซิงมีรอยเลือดซึมออกมา

หยดน้ำตารินไหล สาวเท้าเล็กๆ โผเข้าหาอ้อมกอดของพี่ชาย

“อย่าร้องไห้เลยเสี่ยวหยา พี่ไม่เป็นไร พี่บาดเจ็บเพียงบริเวณผิวหนัง ฉะนั้นจึงดูน่าตกใจแต่เพียงเท่านั้น อันที่จริงมิได้บาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด”

แม่ทัพหลินหนานเซิงที่มักนำชัยชนะจากศึกสงครามด้วยความกล้าหาญกำลังทำอะไรไม่ถูกหลังจากได้เห็นหยดน้ำตาของน้องสาว

เขารีบเอ่ยปลอบใจน้องสาว และคิดอยากช่วยนางเช็ดน้ำตา แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายิ่งทำเช่นนั้น น้ำตาของนางจะยิ่งไหลมากขึ้น

แม้เขาจะได้รับข่าวที่ว่าสติสัมปชัญญะของน้องสาวกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าน้องสาวของเขาจะยังคงเป็นเด็กขี้แยเช่นนี้

“จริงสิ ให้ข้าดูหน่อยว่าท่านพี่บาดเจ็บตรงไหน”

เพราะหยดน้ำตาที่กำลังพรั่งพรู หลินเมิ้งหยาเกือบลืมเรื่องสำคัญ

นางเรียนวิชาแพทย์พิษกับป๋ายหลีรุ่ยจนมีทักษะติดตัวมาบ้างแล้ว

บาดแผลเพียงเล็กน้อยจึงไม่คณามือของนาง

“ข้าไม่เป็นไร หน้าอกเพียงถูกกรีดเท่านั้น”

หลินหนานเซิงไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยามีความสามารถด้านการรักษาได้ เขาจึงพยายามปลอบใจนาง

โชคดีที่เรดาร์มิได้ร้องเตือนอันใด ฉะนั้นบาดแผลของท่านพี่จึงเป็นเพียงแผลธรรมดา

รีบแกะผ้าพันแผลของหลินหนานเซิงออกดู รอยแผลยาวเป็นรอยขวางน่าเกลียด แม้จะทายาไปแล้ว แต่กลับยังมีเลือดไหลซึมออกมา

“เหตุใดเลือดจึงยังไม่หยุดไหล? หมอท่านไหนเป็นผู้ดูแลท่าน?”

หลินเมิ้งหยารีบหยิบยาต้านอาการอักเสบจากในวงแขน มองซ้ายมองขวาจึงรู้ว่าคนกลุ่มใหญ่กำลังมองนาง

“สวัสดีทุกท่าน ข้าชื่อหลินเมิ้งหยา เป็นน้องสาวของท่านแม่ทัพ”

บรรยากาศภายในห้องอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย หลินเมิ้งหยายกยิ้มอ่อนโยน คนอื่นๆ จึงเริ่มยิ้มตาม

“มีใครสามารถเตรียมน้ำร้อนให้ข้าสักหนึ่งอ่างและผ้าสะอาดอีกจำนวนหนึ่งได้บ้าง? ขอบคุณมาก”

หลินเมิ้งหยาหันกลับไปสนใจบาดแผลของพี่ชายต่อ ลงมือได้คล่องแคล่วว่องไว ไม่เหมือนคนที่เพิ่งหัดทำ

“ได้ยินมาว่าท่านอ๋องอวี้มากับเจ้า?”

ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น มองดูน้องสาวที่กำลังยุ่ง หลินหนานเซิงนึกถึงน้องเขยที่มีตำแหน่งไม่ธรรมดาของเขาขึ้นมาได้

“เจ้าค่ะ ท่านอ๋องเป็นผู้ส่งข้ามา”

ก้มหน้าลง มิรู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา หลุบตาต่ำ ส่งเสียงแผ่วเบา

เมื่อเห็นท่าทางของหลินเมิ้งหยา มิรู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ความอิจฉาก็พุ่งทะลักขึ้นมาในหัวใจ

แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ลูบเส้นผมของหลินเมิ้งหยา ส่งยิ้มอ่อนโยน ท่าทางผ่อนคลาย

“เขาดีกับเจ้าหรือไม่?”

ดีกับนางหรือไม่? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้า หลงเทียนอวี้ดีกับนางมาก

นางรู้สึกได้ว่าระหว่างนางและเขา ไม่มีความรู้สึกของคนแปลกหน้าอีกต่อไป

“เช่นนั้นก็ดี หากเขาปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี แม้จะเป็นองค์ชาย แต่ข้าก็ไม่วันปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่นอน”

หลินหนานเซิงมองดูท่าทางของน้องสาว เขาครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง

เขาและท่านพ่อออกมานำทัพอยู่นอกบ้าน คนที่พวกเขาห่วงที่สุดคือหลินเมิ้งหยา

หากมิใช่เพราะพวกเขามาออกรบอยู่แถบชายแดน เขาไม่มีวันยอมให้แม่เลี้ยงจับหลินเมิ้งหยาแต่งงานออกเรือนไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

“แล้วเขาอยู่ที่ไหนเล่า?”

เมื่อได้ยินคำถามของพี่ชาย หลินเมิ้งหยาเพิ่งพบว่าตนเองเป็นห่วงเขามากจนลืมหลงเทียนอวี้ไปเสียสนิท

“ข้าจะไปเรียกเขามาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

สวรรค์โปรด เหตุใดนางจึงลืมง่ายลืมดายเช่นนี้ ด้านนอกอากาศหนาวเหน็บ หลงเทียนอวี้จะแข็งตายแล้วหรือไม่?

แหวกผ้าม่านหน้ากระโจมออก นางเห็นหลงเทียนอวี้นั่งผิงไฟกับอยู่กับทหารด้านนอก

เดินเข้าไปหาเขาเงียบๆ มองดูเขาที่กำลังพูดคุยกับเหล่าทหารโดยไม่ถือตน

หลินเมิ้งหยาเพิ่งเคยเห็นเขาเวลาพบปะกับประชาชนเช่นนี้เป็นครั้งแรก

“อะแฮ่ม…” สายลมพัดผ่าน หลินเมิ้งหยากระแอมเบาๆ

“เจ้าออกมาทำไม?”

หลงเทียนอวี้รีบหมุนตัว ถอดเสื้อคลุมของตนเองออกแล้วคลุมลงบนร่างของหลินเมิ้งหยา

ผ้าคลุมผืนใหญ่ยังคงความอบอุ่นอยู่เล็กน้อย อีกทั้ง…ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายเขาติดมาด้วย

คลุมร่างของนางเอาไว้จดมิดชิดเพื่อไม่ให้นางโดนสายลมหนาวบาดผิว

จู่ๆ หัวใจพลันอุ่นวาบขึ้นมา ผู้ชายคนนี้ใส่ใจนางมากเหลือเกิน

“พี่ชายของหม่อมฉันอยากพบพระองค์เพคะ ด้านนอกอากาศหนาว เชิญเสด็จด้านในเถิด”

ไม่รู้ว่าความสนิทสนมนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อใด คำพูดคำจาราวกับว่าน้องเขยกำลังไปพบหน้าสนทนาพาทีกับพี่ชายของภรรยาอย่างไรอย่างนั้น

หลินเมิ้งหยากับเขามิได้ห่างเหินกันเหมือนก่อน หลงเทียนอวี้พยักหน้า

ทั้งสองเดินนำหน้าตามหลังกันเข้าไปในกระโจม

คนที่อยู่ที่นี่ ล้วนเป็นคนสนิทของหลินหนานเซิง

หรืออาจจะพูดว่าคนที่อยู่ในนี้คือญาติสนิททางฝั่งของหลินเมิ้งหยา

หลงเทียนอวี้รู้สึกคาดไม่ถึง เมื่อเดินเข้ามา สายตาของคนทั้งหมดล้วนพุ่งตรงมาที่เขา ราวกับว่าต้องการสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนแน่ใจก่อน

“ท่านพี่ ท่านนี้คือท่านอ๋องอวี้นามว่าหลงเทียนอวี้ เขาคือ…ฟู่จวินของเข้า”

คำว่า “ฟู่จวิน” ทำให้หลินเมิ้งหยาหน้าแดงระเรื่อ ท่าทางขวยเขินของนางมีเสน่ห์ดึงดูดยิ่งนัก

“ถวายคำนับท่านอ๋อง ขอบพระทัยที่ดูแลน้องสาวของกระหม่อมเป็นอย่างดี”

แม้หลินหนานเซิงจะเป็นพี่ชายของภรรยา แต่เมื่อเทียบกับฐานะของหลงเทียนอวี้ที่เป็นองค์ชายแล้ว หลินหนานเซิงจึงต้องถวายคำนับเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมากพิธี เมิ้งหยาเป็นชายาของข้าแล้ว การดูแลนางจึงเป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ”

ไร้ซึ่งความถือตัว อีกทั้งยังไร้ซึ่งความห่างเหิน ความรู้สึกที่ส่งออกมามิต่างอะไรจากญาติมิตร

“เข้ามา หาที่นั่งให้ท่านอ๋อง”

ดวงตาแข็งกร้าวของหลินหนานเซิงอ่อนลง

เขาเห็นการกระทำและความรู้สึกของน้องสาวทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อคลุมตัวยาวตัวนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่ของน้องสาวตนเอง

หัวใจพลันรู้สึกยินดี บางทีหลงเทียนอวี้คงจริงใจกับเสี่ยวหยาจริงๆ