“ท่านแม่ทัพ แย่แล้วขอรับ! ฉินมั่ว…ใกล้จะไม่ไหวเต็มทีแล้วขอรับ”
ด้านนอกกระโจม จู่ๆ เสียงร้องตะโกนพลันดังขึ้น
จากนั้นนายทหารคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ฉินมั่วเป็นอย่างไรบ้าง?”
คิ้วของหลินหนานเซิงขมวดแน่น จ้องมองนายทหารตรงหน้าพร้อมเอ่ยถาม
“รายงานท่านแม่ทัพ หมอบอกว่าพิษกำลังแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย หากยังไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องแล้วล่ะก็ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอนขอรับ!”
สีหน้าของทุกคนในกระโจมเคร่งเครียดขึ้นทันควัน
หลินเมิ้งหยามองดูพี่ชาย ความสงสัยปะทุขึ้นมา
“ข้าจะไปดูเอง หมอมาถึงหรือยัง?”
หลินหนานเซิงไม่สนใจร่างกายของตนเอง เขารีบเดินออกจากกระโจมไป
หลินเมิ้งหยาที่ตกอยู่ในอาการงุนงงรีบเดินตามเขาไป
นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าคบเพลิงในค่ายทหารล้วนล้อมรอบกระโจมหลังหนึ่งเอาไว้
หมอทหารเดินเข้าเดินออก สีหน้าเคร่งขรึม
“เสี่ยวหยา เจ้ารอพี่อยู่ที่นี่ก่อนเถิด ข้างใน…ไม่เหมาะที่จะให้เจ้าเข้าไป”
หลินหนานเซิงมองดูน้องสาวด้วยความเอ็นดู ไม่ง่ายเลยที่ทั้งสองจะได้เจอกัน แต่เขากลับต้องปล่อยให้นางรอ
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าอยากเข้าไปดู เผื่อว่ามีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้บ้าง”
เพียงเดินเข้ามาในบริเวณนี้ เรดาร์ในสมองของนางก็เริ่มร้องเตือน
เมื่อเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ ก็พลันปรากฏรายชื่อยาพิษมากมายในหัว
ส่วนยาถอนพิษ แม้จะซับซ้อนสักเล็กน้อย แต่ก็มิได้ยากเย็นอันใด
ดูเหมือนการลอบสังหารในคราวนี้จะมีคนถูกทำร้าย แต่คนคนนั้นมิใช่พี่ชายของนาง
หลินหนานเซิงมองสายตามุ่งมั่นของหลินเมิ้งหยา สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยความลำบากใจ
เพียงทั้งสองเดินผ่านประตูเข้ามา ก็พลันได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวทั้งน้ำคำข่มขู่
“เจ้าเป็นหมอประสาอะไร! ชีวิตของลูกชายข้ากำลังรุ่งโรจน์ หากเขาต้องเสียแขนไปหนึ่งข้าง นั่นมิเท่ากับว่า…ชีวิตของเขาต้องถูกทำลายลงอย่างนั้นหรือ”
แม้น้ำเสียงจะโกรธเกรี้ยวแต่กลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหัวใจสลาย
หลินเมิ้งหยาลอบมองชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง เขาคือใต้เท้าฉินสวี่มิใช่หรือ?
“ใต้เท้าฉินได้โปรดเห็นใจ พวกเราพยายามเต็มที่ในการรักษาคุณชาย แต่ถ้าหากยังไม่มียาถอนพิษ เช่นนั้นพวกเราต้องเตรียมการรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดขอรับ”
หมอทหารผมสีขาวโพลนแสดงสีหน้าขมขื่น
หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าท่านแม่ทัพ เขาคงไม่ออกมาตรวจด้วยตัวเองกลางดึกเช่นนี้
แต่ใครจะรู้ว่าคนที่ดูดีมีการศึกษาเช่นใต้เท้าฉินผู้นี้จะระเบิดอารมณ์ออกมา
เขาเพียงแค่เสนอออกมาเท่านั้นว่าอาจจะต้องตัดแขนข้างหนึ่งทิ้ง แต่ตนเองเกือบจะถูกใต้เท้าฉินฆ่าตายเสียแล้ว
“ใต้เท้าฉิน คิดหรือว่าความโกรธเกรี้ยวของท่านจะทำให้คุณชายฉินรอด? ท่านอาจารย์ของข้าเพียงแค่อยากช่วยชีวิตคุณชายฉินเอาไว้เท่านั้น หากชีวิตต้องแดดิ้นไป เสียเพียงแขนข้างหนึ่งจะรับเป็นกระไรได้?”
เสียงหนึ่งดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหันไปทางมุมหนึ่งของกระโจม
เห็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดหมอ เขามองดูใต้เท้าฉินด้วยท่าทางใจเย็น ก่อนจะส่งยิ้มให้กำลังใจแก่อาจารย์ของเขา
ชายคนนี้น่าจะอายุราวยี่สิบกว่าปี
หน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ท่าทางสงบนิ่งเหมือนนักวิชาการ
ในความทรงจำของหลินเมิ้งหยา บรรดาหมอส่วนใหญ่อายุจะราวๆ สี่สิบห้าสิบปีทั้งสิ้น นางเพิ่งเคยเจอหมอที่อายุน้อยขนาดนี้
“ชิวอวี้ อย่าเสียมารยาท”
ท่านอาจารย์หมอเอ่ยปากสั่งสอนลูกศิษย์ แต่ที่จริงเขากลับรู้สึกชื่นชมลูกศิษย์ของตนยิ่งนัก
หมอทุกคนล้วนมีความเมตตากรุณา ในเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นเขาก็ต้องรักษาชีวิตของคุณชายฉินเอาไว้ให้ได้
แม้ฉินสวี่จะโกรธเกรี้ยวเพราะถูกเด็กรุ่นหลังสั่งสอน แต่ถึงกระนั้นเขาก็สงบสติลงได้ในที่สุด
เด็กคนนี้พูดถูก ขอเพียงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญ
แต่ว่า….
มองดูใบหน้าสีม่วงคล้ำของลูกชาย หยดน้ำตาซึมที่ขอบตา
ฉินมั่วคือผู้สืบทอดสกุลฉิน เขามีความสามารถและพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ อีกทั้งยังได้รับความไว้ใจจากแม่ทัพหลิน
เวลาเพียงสามปีในกองทัพทำให้เขากลายเป็นแขนขาของสกุลหลินได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…เขาจะมีจุดจบเช่นนี้
หากฉินมั่วที่มีความทะนงตนเองรู้เข้า เขา…จะคิดสั้นหรือไม่?
“ไม่ได้!”
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหลินหนานเซิงที่ร้องห้ามหมอด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ฉินมั่วต้องการปกป้องข้า เขาจึงได้รับบาดเจ็บหนัก หากแขนของเขาถูกตัด เช่นนั้นสกุลหลินก็ต้องคืนแขนข้างนั้นให้แก่เขา หากฉินมั่วจากไป ข้ายินยอมฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ ไท่อี1 ได้โปรดช่วยฉินมั่วด้วย”
ฉินมั่วเปรียบเสมือนแขนขาของหลินหนานเซิง เพื่อช่วยหลินหนานเซิง เขาจึงถูกอาวุธโจมตี
ไม่เช่นนั้นแล้ว คนที่นอนอยู่ตรงนี้คงเป็นหลินหนานเซิง
หากเขาต้องยืนมองสหายของตนเองสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป เช่นนั้นฆ่าเขาให้ตายเสียยังดีกว่า
“ท่านแม่ทัพ ทำเช่นนั้นไม่ได้นะขอรับ”
ทุกคนล้วนตกตะลึง หลินหนานเซิงเปรียบเสมือนวีรบุรุษในแถบชายแดน หากสูญเสียเขาไป เช่นนั้นต้าจิ้นก็จะสูญเสียยอดทหารฝีมือดี สถานการณ์ของสงครามเองก็จะเปลี่ยนไป
แม้แต่ไท่อีก็หน้าเปลี่ยนสี
คำขอของหลินหนานเซิงสร้างความลำบากใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอดูหน่อยว่าพิษนี้สามารถถอนออกได้หรือไม่”
เสียงอ่อนหวานดังขึ้นด้านหลังหลินหนานเซิง
สายตาของทุกคนจ้องมองยังร่างบางที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่
ใบหน้างดงามมีเสน่ห์ รอยยิ้มสง่างามจนมิอาจละสายตา
ทว่าดวงตาของนางกลับมุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“เสี่ยวหยา เจ้า…”
แน่นอนว่าท่านแม่ของพวกเขามีความรู้วิชาทางการแพทย์ ตอนที่น้องสาวอายุได้เพียงขวบปีก็สามารถจดจำยาสมุนไพรได้มากกว่าร้อยชนิด
ทว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาน้องสาวของเขาสติเลอะเลือน เช่นนั้นนางจะสืบทอดวิชาแพทย์จากท่านแม่ได้อย่างไร
“ท่านพี่ ข้ามีวิธีแล้ว”
สายตาของทุกคนจ้องมองหลินเมิ้งหยาที่เดินมาที่ข้างเตียงของฉินมั่ว
“ข้าขอยืมเข็มไท่อีหน่อยได้หรือไม่”
วิชาแพทย์พิษของป๋ายหลี่รุ่ยแบ่งของเป็นสองแขนง หนึ่งคือเข็มใหญ่สามสิบหกเล่ม สองคือเข็มเล็กสิบสองเล่ม
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาเรียนรู้เกือบจะสำเร็จแล้ว
นางตรวจสอบพิษบนแขนของฉินมั่ว พิษแพร่กระจายเร็วมาก เลือดเป็นสีเข้ม แสดงว่าพิษใกล้จะกระจายไปทั่วทั้งร่างแล้ว
หากพิษแล่นสู่หัวใจแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็มิอาจช่วยชีวิตเขาได้
ไท่อีรีบหยิบเข็มของตนเองออกมา ในใจครุ่นคิด เด็กคนนี้มีวิธีการเช่นไร?
หลังจากที่นางมองเห็นสีของเข็มแล้ว ชั่วเวลาเพียงอึดใจ นางปิดผนึกบนแผงอกของฉินมั่วหลายจุด
ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการใช้เข็มก็แปลกประหลาด ทั้งถูกต้องแม่นยำและรวดเร็ว แม้แต่ลมหายใจของไท่อียังแทบหยุดเต้น
กลัวว่าเข็มในมือนางจะแทงพลาดจนทำให้ฉินมั่วตาย
“ตอนนี้หน้าอกของฉินมั่วถูกปิดผนึกแล้ว เขาไม่มีทางเป็นอะไรไปภายในระยะเวลาสิบสองชั่วโมง รบกวนทุกท่านสังเกตอาการเขาด้วย อย่าทำให้ตำแหน่งของเข็มคลาดเคลื่อนเป็นอันขาด ข้าจะพยายามหายาถอนพิษมาให้ได้ ใต้เท้าฉินได้โปรดวางใจ”
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นยืนก่อนกำชับ ท่าทางมิต่างอะไรจากหมอคนหนึ่ง
แม้แต่พี่ชายยังจ้องนางเสมือนคนโง่ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องสาวของตนเองจะมีท่วงท่าเช่นนี้
เบนสายตาไปทางหลงเทียนอวี้
อีกฝ่ายกลับไร้ท่าทางประหลาดใจ ดูเหมือนน้องสาวของเขาจะสร้างเรื่องน่าตกใจมากมายในจวนอวี้อย่างแน่นอน
“แต่…แต่หลังจากสิบสองชั่วโมง หากเจ้าไม่สามารถหายาถอนพิษมาได้จะเป็นเช่นไร? ข้าไม่อาจปล่อยให้ลูกของข้าตายได้ แม้จะต้องเสียแขนไปหนึ่งข้าง แต่…แต่ขอให้เขามีชีวิตรอดก็เพียงพอ”
ใต้เท้าฉินดูแก่ลงกว่าเดิม
แม้เขาจะไม่อยากให้ลูกชายต้องสูญเสียแขน แต่หากสามารถรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้ เช่นนั้นเขายินยอม
“ใต้เท้าฉิน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าคือน้องสาวของท่านแม่ทัพ หากข้าไม่อาจรักษาอาการของคุณชายหลิงได้ เช่นนั้นข้ายินยอมน้อมรับความผิดกับพี่ชายของข้า”
เสียงของหลินเมิ้งหยามั่นคง
คิ้วของทุกคนขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
สวรรค์โปรด ตอนนี้ท่านแม่ทัพพร้อมรับความผิดแล้ว หากชายาอวี้เองก็ต้องรับความผิดด้วยอีกคน….
พวกเขารู้สึกเสมือนโลกกำลังจะถล่ม
พวกเขาล้วนคลางแคลงใจในความสามารถของหลินเมิ้งหยา
มีเพียงหลงเทียนอวี้ที่เชื่อมั่นในตัวนาง
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน
แต่หลังจากที่ได้เห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของนาง ความสบายใจพลันปรากฏขึ้นในใจของเขา
แม้ทุกคนจะไม่เชื่อนาง แต่เขายอมยืนสนับสนุนนางอยู่ทางด้านหลัง
ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามายืนข้างกายหลินเมิ้งหยา มองทางฉินสวี่ก่อนจะเอ่ย
“หากไม่สามารถรักษาคุณชายหลิงได้ ข้าจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เอง”
หลงเทียนอวี้ส่งเสียงเคร่งขรึม ทว่ามิต่างอะไรจากระเบิดลูกใหญ่ ครู่ต่อมาหัวใจของหลินเมิ้งหยากระสับกระส่ายเป็นกังวล
ดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำเบิกกว้าง มองทางหลงเทียนอวี้อย่างไม่เข้าใจ แต่นางกลับได้เห็นสีหน้ามุ่งมั่นของเขา
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้ที่ไม่เคยสนใจทุกสรรพสิ่งบนโลกจะออกมายืนเคียงข้างนาง ท่ามกลางสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
จับเสื้อคลุมตัวใหญ่แน่นอย่างไม่รู้ตัว ความอบอุ่นแล่นพล่านในหัวใจ
การได้อยู่ข้างกายเขา…ช่างดีจริงๆ
“เหล่าเฉินถวายคำนับท่านอ๋องอวี้ คือว่า…คือว่า…เช่นนั้นพระชายาได้โปรดช่วยกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำพูดของหลงเทียนอวี้เปี่ยมไปด้วยพลัง
ฉินสวี่ไม่อาจแข็งขืนอีกต่อไปได้ เหตุเพราะตำแหน่งของหลงเทียนอวี้ในสายตาของเหล่าขุนนางนั้นสำคัญไม่น้อย
คนส่วนใหญ่ล้วนเชื่อใจเขา
ในเมื่อเขาเชื่อใจพระชายา เช่นนั้นเขาก็จะลองเชื่อดูสักครั้ง
“ไท่อีได้โปรดจ่ายยาตามที่ข้าสั่ง ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เชิญออกจากกระโจมไปก่อน”
เมื่อได้รับการสนับสนุนจากหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
รีบเขียนรายชื่อยา ไท่อีทั้งสอง หมอทหารอีกสี่คนล้วนกลายเป็นลูกมือของนาง
“ยาเหล่านี้มีไม่ครบ ท่านพี่ได้โปรดส่งคนไปเอายาที่ข้าเขียนมาจากเมืองหลวงเถิดเจ้าค่ะ”
ในค่ายทหารแห่งนี้มีเพียงยาสามัญเท่านั้น
หลินหนานเซิงรีบพยักหน้ารับ ขอเพียงเป็นคำขอร้องจากน้องสาว เขาพร้อมทำตาม
“ข้าไปเองดีกว่า ม้าของพี่ชายเจ้าไม่เร็วเท่าท่าเสวี่ยของข้า หากเกิดเรื่องระหว่างทางคงมิเป็นการดี”
หลงเทียนอวี้เป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะตอบตกลง
นางหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ห่มร่างของเขา
มองดูใบหน้ามุ่งมั่นของเขา หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงส่งเสียงที่ดังอยู่ในหัวใจ
“ระวังตัวด้วยนะเพคะ”
หมายเหตุ
ไท่อี1 หมายถึง หมอ