ตอนที่ 207 พระรอง ผู้อาวุโสสวีมาหาเจ๊ฉิน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

อาจารย์เว่ย

 

 

ชั่ววินาทีที่เห็นคำนี้ ฉินอวี่ไม่ได้แยแส

 

 

ยิ่งอยู่ในเมืองหลวงมากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจสถานะของอาจารย์เว่ยในแวดวงเมืองหลวง ไม่ใช่เพียงสถานะของตัวเขาเท่านั้น แต่ยังมีเครือข่ายสังคมนับพันนับหมื่นที่เชื่อมโยงกับเขา

 

 

หากไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง จะไม่มีทางรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น

 

 

ได้เจอในงานฌาปนกิจของเฉินซูหลานงั้นเหรอ

 

 

ฉินอวี่เม้มปากเล็กน้อย ไม่ใส่ใจแต่อย่างใด ขณะที่กำลังจะกดปิดมือถือแล้วเก็บเข้ากระเป๋า หยิบลิปสติกออกมาแทน

 

 

มู่หยิงก็ส่งรูปภาพเข้ามา

 

 

เป็นรูปที่แอบถ่าย

 

 

น่าจะเป็นงานฌาปนกิจของเฉินซูหลาน ในรูปเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของชายชราคนหนึ่ง ผมเป็นสีดอกเลา ท่าทางดูแก่หง่อม

 

 

ฉินอวี่เคยเห็นตัวจริงของอาจารย์เว่ยเพียงครั้งเดียว แต่ภาพของเขาในนิตยสารหรือข่าวทั้งหลายแหล่เธอเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

 

 

เธอแน่ใจว่า ภาพที่มู่หยิงส่งให้เธอนั้น เป็นอาจารย์เว่ยตัวจริงเสียงจริง…

 

 

ฉินอวี่มองรูปภาพบนมือถือ มือเผลอกำแน่น แววตาวูบไหว

 

 

เธอมารัฐ M จุดประสงค์หลักก็เพื่อทำความรู้จักกับบุคคลเบื้องหลังไต้หรานให้มากขึ้น เปิดหูเปิดตา

 

 

ฉะนั้นตอนแรกที่เธอตัดสินใจเลือกข้อนี้ เธอตัดงานศพของเฉินซูหลานทิ้งอย่างไม่ลังเล เลือกตามไต้หรานมา

 

 

แต่ไม่คิดเลยว่าอาจารย์เว่ยที่เธอไม่มีโอกาสได้เจออีกครั้งในเมืองหลวงจะปรากฏตัวในงานศพของยายเธอ

 

 

ไฟฮึกเหิมของฉินอวี่ที่ถูกจุดด้วยการแนะนำของไต้หรานในวันนี้ กลับมอดดับเพราะประโยคนี้ของมู่หยิง เธอเป็นคนรู้มาตลอดว่าตัวเองต้องการอะไร และจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา

 

 

ไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเลย ทว่าตอนนี้ เธออยากรู้ยิ่งนักว่าเรื่องของอาจารย์เว่ยมันอย่างไรกันแน่

 

 

ฉินอวี่โทรทางไกลหามู่หยิงโดยตรง

 

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

 

สำนักงานใหญ่ของทีม OST ณ เมืองหลวง

 

 

หยางเฟยหยิบผ้าพันคอขึ้นพันคอตัวเอง จากนั้นกดปิดเวยป๋อ ขึ้นไปชั้นบนกับโค้ช

 

 

ชั้นบนสุดของตึกมีผู้คนบางตา แต่กลับสะอาดสะอ้าน

 

 

เห็นได้ชัดว่าหยางเฟยไม่ได้มาครั้งแรก แต่โค้ชด้านหลังเขาเพิ่งเคยเข้าพบผู้ที่อยู่เบื้องบนของตนครั้งแรก เขาเดินสั่นระริกมาตลอดทาง พร้อมกับจัดเสื้อผ้าของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

 

 

เลขาสาวฉลาดปราดเปรื่องฝีมือดีส่งยิ้มให้พวกเขา จากนั้นเปิดประตูห้องทำงาน “ประธานรอทั้งสองท่านอยู่ด้านในค่ะ”

 

 

ข้างในมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังให้พวกเขา

 

 

เขาสวมชุดสูทสีเทา ตัวสูงโปร่ง ยามหันหลังกลับมา ใบหน้าอ่อนโยนแต้มรอยยิ้มบางๆ ราวกับทายาทตระกูลขุนนางในสมัยโบราณที่เดินออกมาจากภาพวาด เสื้อผ้าเรียบหรู ประหนึ่งว่าทุกความประณีตในโลกได้รวมอยู่บนตัวเขาแล้ว

 

 

ปานเทพบุตร

 

 

โค้ชของทีม OST มองเพียงแวบเดียวก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเขา

 

 

หยางเฟยนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่อย่างเคยชิน ใบหน้ายังคงเรียบเฉย น้ำเสียงจริงจัง “พี่ครับ”

 

 

ชายคนนั้นขานรับ จากนั้นผายมือ เชิญให้โค้ชนั่งลงอย่างมีมารยาท

 

 

เสียงใสฟังชัด และเจือความน่ายำเกรง

 

 

“เธอขึ้นแข่งเหรอ” ชายคนนั้นถือกาน้ำชาเซรามิก รินน้ำชาสามถ้วย

 

 

หยางเฟยเอนตัวพิงพนัก ใบหน้าดูดีไร้อารมณ์ “อืม พี่ก็เห็นถ่ายทอดสดแล้วนี่”

 

 

ชายคนนั้นยื่นถ้วยชาให้ทั้งสองคน ไม่ดื่มชา เพียงแค่ทอดตามองนอกหน้าต่าง ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะพยักหน้า ไม่พูดอะไรก็ออกจากห้องไป

 

 

หลังเขาออกไปแล้ว โค้ชก็พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด

 

 

 

 

โรงเรียนเหิงชวนอีจง

 

 

ห้องเก้า

 

 

เลิกเรียนพอดี หลินซือหรานนั่งอยู่บนเก้าอี้ เล่นเวยป๋ออย่างเบื่อหน่าย ระยะนี้ผู้ติดตามเวยป๋อของเธอเพิ่มจากห้าหมื่นกว่าคนเป็นสองแสนเจ็ดหมื่นคนแล้ว และกำลังเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

 

 

ส่วนเวยป๋อของฉินหร่าน เพิ่มทะยานถึงสามล้านเจ็ดแสนคนแล้ว

 

 

หลินซือหรานคาดการณ์ว่า อีกไม่กี่วันก็คงทะลุสี่ล้านแล้ว

 

 

ในการแข่งขันของ OST ครั้งก่อนที่เซี่ยงไฮ้ ฉินหร่านได้แฟนคลับเพิ่มมาอย่างล้นหลาม แถมยังมีแฟนคลับที่ตามมาจากหยางเฟยอีกด้วย มาเร่งเร้าหลินซือหราน ขอร้องให้หลินซือหรานบอกให้ฉินหร่านโพสต์เวยป๋อ

 

 

ใช่ว่าในโลกออนไลน์จะไม่มีคนสืบหาว่าหลินซือหรานเป็นใคร แต่สองแอคเคาท์พิลึกนัก ต่อให้มีคนหาแฮกเกอร์มา ก็ทำอะไรสองแอคเคาท์นี้ไม่ได้

 

 

แน่นอนว่าคนในห้องเก้าที่เคยเห็นแอคเคาท์หลักของฉินหร่านปิดปากเงียบ เมื่อคนอื่นกล่าวถึง พวกเขาก็จะฉีกยิ้มอย่างปิดทองหลังพระ

 

 

จากนั้นแอบล็อคอินเข้าเวยป๋อเพื่อกดติดตามแอคเคาท์ของฉินหร่าน

 

 

หลินซือหรานเหลือบมองโต๊ะเรียนที่ว่างเปล่าแล้วถอนหายใจ

 

 

จากนั้นก็ดึงทิชชูอย่างเอื่อยเฉื่อยเตรียมจะไปเข้าห้องน้ำ

 

 

โต๊ะด้านหลัง เฉียวเซิงเองก็หมอบอยู่บนโต๊ะคุยกับสวีเหยากวงและเหอเหวินอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นหลินซือหราน ก็กวักมือเรียกเธอ

 

 

“คุณชายสวี นายว่าเจ๊ฉินจะมาเรียนเมื่อไร อาจารย์ฟิสิกส์คิดถึงเธอหลายวันแล้ว” เฉียวเซิงยื่นขาขวางทางเดิน พูดอย่างไร้อารมณ์

 

 

สวีเหยากวงถือปากกา กำลังทำโจทย์ฟิสิกส์ เมื่อได้ยินประโยคนี้ ปากกาในมือก็ชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”

 

 

เฉียวเซิงก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะรู้ เพียงแค่ยกมือขึ้นเท้าคาง “จะว่าไปเช้าวันนี้ก็ไม่เห็นพานหมิงเย่ว์กับเว่ยจื่อหัง ไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหน”

 

 

สวีเหยากวงก็หรี่ตาลง วันนี้ปู่ของเขาก็ไม่มาเช่นกัน

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

 

เฉิงมู่จอดรถ ถามคนมาตลอดทางจนเจอห้องเก้า กลับไม่พบเกาหยางที่ห้องพักครู

 

 

เมื่อเห็นหลินซือหรานที่ออกมาจากห้องน้ำ เฉิงมู่จำได้แม่นยำว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉินหร่านที่มักจะใช้หญ้าปลอมเป็นเครื่องคลายทุกข์

 

 

“คุณหลิน…” เฉิงมู่เรียกเฉินซือหรานด้วยใบหน้าเรียบเฉย

 

 

หลินซือหรานกำลังก้มหน้า มือถือทิชชู เช็ดน้ำบนมืออย่างสบายๆ เมื่อได้ยินว่ามีคนเรียกเธอ ก็เหลียวหลังมอง เห็นเป็นเฉิงมู่ “คุณมาหาฉินหร่านเหรอ”

 

 

“เปล่าครับ ผมมาหาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอลาให้คุณหนูฉิน” เฉิงมู่เงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

หลินซือหรานชะงักงัน ตกใจมากทีเดียว “ลาเหรอ นานแค่ไหน”

 

 

“คิดว่า ราวๆ…อาจจะถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย” เฉิงมู่ก้มหน้า

 

 

หลินซือหราน “…”

 

 

อ่า ดูแล้วก็เหมือนพฤติกรรมสุดเท่ของเจ๊ฉินจริงๆ นั่นแหละ

 

 

“อาจารย์ที่ปรึกษาสอนอยู่ที่ห้องหกชั้นล่าง คุณไปรอตรงบันไดก็น่าจะได้พบเขา” หลินซือหรานคำนวณเวลาชั่วครู่ ยืนยันกับเฉิงมู่ว่า “หมายความว่าเทอมนี้หรานหร่านจะไม่เข้าเรียนเลยใช่ไหม”

 

 

เฉิงมู่เดินลงไปพร้อมกับพยักหน้า

 

 

หลินซือหรานตามเขาลงมา เธอดึงฮู้ดเสื้อขนเป็ดขึ้นสวมให้ตัวเอง “งั้นถ้าคุณลาอาจารย์เสร็จแล้ว ช่วยรอฉันตรงทางเดินสักเดี๋ยวนะ ฉันจะฝากของให้หรานหร่าน”

 

 

ไม่รอให้เฉิงมู่ตอบ หลินซือหรานก็ผละออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เฉิงมู่เกาหัวอย่างงุนงง จากนั้นก็ลงไปรอเกาหยางข้างล่าง บอกเล่าสาเหตุที่ต้องลาหยุดเล็กน้อย

 

 

นักเรียนลาหยุด โดยเฉพาะมัธยมปลายปีสาม ไม่ง่ายแน่นอน

 

 

หลังเฉิงมู่คุยกับเกาหยางเสร็จ เดิมทีคิดว่าเกาหยางจะซักละเอียดยิบ ไม่คิดเลยว่าปฏิกิริยาแรกของเกาหยางคือถอนหายใจอย่างโล่งอก…

 

 

“เนื้อหาข้างหลังเธอไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ แต่ระหว่างที่ลาหยุด ก็อย่าหละหลวม” หากอิงตามที่หัวหน้าฝ่ายวิชาการกับอาจารย์ใหญ่สวีตามใจฉินหร่าน เกาหยางไม่จำเป็นต้องรายงานเบื้องบน ก็สามารถให้ลาได้

 

 

เขาฉีกใบลาออกมา เขียนไม่กี่ประโยค จากนั้นประทับตราแล้วยื่นให้เฉิงมู่

 

 

เมื่อเฉิงมู่กลับไป เขาก็หยิบมือถือโทรแจ้งหัวหน้าฝ่ายวิชาการ หัวหน้าฝ่ายวิชาการจึงรายงานอาจารย์ใหญ่สวีทันที

 

 

นักเรียนทั่วไปลาหยุด หัวหน้าฝ่ายวิชาการย่อมไม่ตื่นตระหนกรีบร้อนรายงานอาจารย์ใหญ่สวี แต่ฉินหร่านเป็นคนที่อาจารย์ใหญ่สวีให้ความสนใจเป็นพิเศษ

 

 

เฉิงมู่พับใบลาแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

 

 

จากนั้นก็ผูกผ้าพันคอ ไม่ได้กลับไปทันที แต่ยืนรอหลินซือหรานตรงทางเดิน

 

 

โรงเรียนเหิงชวนอีจงไม่เล็ก

 

 

ไปกลับระหว่างตึกเรียนกับหอพักใช้เวลาสิบห้านาที

 

 

หลังเฉิงมู่คุยกับเกาหยางเสร็จ รออยู่ตรงทางเดินไม่กี่นาที หลินซือหรานก็วิ่งเหยาะเข้ามา

 

 

เธอถือถุงพลาสติกสีดำ

 

 

เฉิงมู่กระชับผ้าพันคอ ชายตามอง เขารู้สึกมันเหมือนถุงขยะ…

 

 

“คุณชายเอาของพวกนี้ให้หรานหร่านที” หลินซือหรานหยุดยืน จากนั้นคุ้ยในถุงขยะ ข้างในมีขวดแก้วสองใบ เธอมองดูเล็กน้อยแล้วทิ้งกลับถุงขยะ คุ้ยกระถางต้นไม้ออกมา “ต้นไม้ต้นนี้นี่แหละ ต้องรดน้ำทุกเช้า วางตรงที่นอนของเธอ แล้วก็ต้นไม้ต้นนี้บอบบางมาก…”

 

 

หลินซือหรานหยิบมือถือออกมา ให้เฉิงมู่เพิ่มเพื่อนวีแชทของเธอ จากนั้นก็ส่งบทความดูแลต้นไม้ยาวเหยียดมาให้

 

 

เฉิงมู่ก้มมองแวบหนึ่ง “…”

 

 

กระถางต้นไม้เส็งเคร็งยังต้องให้คนสวนที่ค่อนข้างมีฝีมือมืออาชีพมาดูแลด้วยงั้นเหรอ

 

 

แต่ของที่ให้ฉินหร่าน เฉิงมู่ก็ยังวางมันลงท้ายรถอย่างระมัดระวังอยู่ดี

 

 

ขับรถออกจากโรงเรียนเหิงชวนอีจง

 

 

กลับเจอกับอาจารย์ใหญ่สวีตรงหน้าโรงเรียน อาจารย์ใหญ่สวีโบกรถ

 

 

“ได้ยินว่าหรานหร่านจะลาหยุดเหรอ” มือข้างของอาจารย์ใหญ่สวีล้วงกระเป๋า อีกข้างดันแว่นบนสันจมูก ทำท่าครุ่นคิด

 

 

เฉิงมู่ลงจากที่นั่งคนขับ พูดกับอาจารย์ใหญ่สวีอย่างสุภาพ “ดูเหมือนจะใช่ครับ”

 

 

“อืม” อาจารย์ใหญ่สวีเงียบลงครู่หนึ่ง จากนั้นอ้อมไปอีกฝั่ง เปิดประตูข้างที่นั่งคนขับ “พาฉันไปหาเธอหน่อย ฉันมีเรื่องสำคัญมากอยากคุยกับเธอ”

 

 

ยี่สิบนาทีต่อมา

 

 

รถก็แล่นมาถึงคฤหาสน์ใจกลางเมือง

 

 

พ่อบ้านเฉิงออกมาเปิดประตู เขาคิดว่าคนที่เห็นคือเฉิงมู่ไม่ก็ลู่จ้าวอิ่ง แต่กลับได้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นที่เคร่งขรึม เขาพูดอย่างตกใจว่า “ผู้อาวุโสสวี”