ตอนที่ 208 ผู้สืบทอดผู้อาวุโสสวี บิ๊กบอสไปทำธุระแล้ว

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ล้วนแต่เป็นคนที่อาศัยอยู่ในตรอกของเมืองหลวง พ่อบ้านเฉิงจะไม่รู้จักผู้มีอิทธิพลระดับเดียวกับประมุขประจำตระกูลตนอย่างผู้อาวุโสสวีได้อย่างไร

 

 

สาเหตุที่ตกใจเพราะเขาไม่คิดว่าจะเจอผู้อาวุโสสวีในสถานที่เช่นเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

เว้นเสียแต่ว่าเมืองอวิ๋นเฉิงเป็นแหล่งรวมยอดฝีมือ

 

 

พ่อบ้านเฉิงแอบคิดในใจ

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีพยักหน้าให้พ่อบ้านเฉิง ถือโอกาสถอดเสื้อนอกออก “รบกวนด้วยนะ”

 

 

“ไม่คิดว่าผู้อาวุโสสวีจะมา” พ่อบ้านเฉิงรับเสื้อนอกของผู้อาวุโสสวีมาแขวนไว้อีกทาง จากนั้นพูดอย่างนอบน้อมว่า “ผมจะขึ้นไปเรียกคุณชายลงมา”

 

 

จากนั้นก็ขึ้นตึกไปเรียกเฉิงเจวี้ยนแล้วไปชงชา

 

 

เมื่อพ่อบ้านเฉิงรินชาสองถ้วยแล้วยกออกมา ก็พบว่าเฉิงมู่ก็กลับมาแล้วเช่นกัน ในมือประคองกระถางดอกไม้อย่างระมัดระวัง

 

 

เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองดอกไม้ในกระถาง พลางยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมา ไม่ดื่ม เพียงแต่ประคองไว้อย่างนั้น

 

 

“นายช่วยส่งข้อความของเพื่อนร่วมโต๊ะฉินหร่านให้ฉันที” เฉิงเจวี้ยนกล่าว

 

 

เฉิงมู่เปิดวีแชท กดรูปโปรไฟล์ของคุณหลิน จากนั้นเปิดบทความยาวเหยียดนั่นให้เฉิงเจวี้ยนดู

 

 

ข้อความยาวมาก หลินซือหรานน่าจะไปแชร์มาจากที่ไหนสักแห่ง

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าเล็กน้อย กำลังอ่านอย่างเชื่องช้า เลื่อนดูเรื่อยๆ กระทั่งถึงบรรทัดสุดท้าย ก็ยื่นมือถือคืนให้เฉิงมู่ “ซับซ้อนมากทีเดียว”

 

 

ใบหน้าของเฉิงมู่ไม่แสดงอารมณ์ แต่อดผงกหัวในใจไม่ได้ นั่นน่ะสิ แค่ดอกไม้ ต้องเสียเวลาขนาดนี้เชียว

 

 

แต่เขายังคิดไม่ทันจบ…

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้ามองเขา พูดอย่างไม่ยี่หระว่า “เอาดอกไม้กระถางนี้ไปไว้ที่ห้องคุณหนูฉิน ต่อไปนายมีหน้าที่ดูแล มีปัญหาอะไรก็ถามคุณหลินได้เลย”

 

 

เฉิงมู่ “…”

 

 

นิ่งไปครู่หนึ่ง หรี่ตาลงแล้วพูดเสริมว่า “นายหาคนสวนมาสอนสักวันสองวัน”

 

 

เฉิงมู่ “…”

 

 

เขาเงยศีรษะขึ้น มองเฉิงเจวี้ยนอย่างไม่อยากจะเชื่อ คุณจะเสียเวลากับดอกไม้กระถางนี้จริงๆ งั้นเหรอ

 

 

แถมยังจะให้เขาไปฝึกกับคนสวนอีก

 

 

เขาเข้าไปฝึกในค่ายหน่วยรบพิเศษสามปี ท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งที่แท้จริงคือคนสวนงั้นเหรอ

 

 

เฉิงเจวี้ยนกับเฉิงมู่คุยกันสองคน ส่วนอาจารย์ใหญ่สวีก็นั่งดื่มชาอยู่อีกฝั่ง ท่าทางสบายๆ แต่ดูเหม่อลอยนิดหน่อย

 

 

พ่อบ้านเฉิงมองดูด้วยความกระวนกระวาย

 

 

คุณชายกับเฉิงมู่ไม่สนใจไยดีแขก เอาแต่คุยเรื่องดอกไม้ได้อย่างไร

 

 

โดยเฉพาะเฉิงมู่ที่ประคองกระถางดอกไม้มาหาตน เขาตีหน้าตาย “พ่อบ้านเฉิง คุณรู้ไหมว่าที่ไหนมีคนสวนที่ฝีมือค่อนข้างดีบ้าง”

 

 

“เอ่อ” พ่อบ้านเฉิงล้วงสมุดจดเล่มเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วเปิดดู “มีคนสวนคนหนึ่งที่คอยดูแลสวนดอกไม้ของคฤหาสน์เรา เป็นคนในเมืองหลวง นายจดเบอร์ไว้หน่อย”

 

 

ทั้งคู่ไม่รบกวนเฉิงเจวี้ยนกับผู้อาวุโสสวีที่นั่งอยู่บนโซฟา ยืนแลกบทสนทนากันเสียงเบาตรงหน้าประตู

 

 

เมื่อเฉิงมู่ได้เบอร์ของคนสวนยอดฝีมือคนนั้นแล้ว พ่อบ้านเฉิงก็มองไปทางเฉิงเจวี้ยนต่อ

 

 

พบว่าคุณชายของเขาหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมา วางบนหน้าตักอย่างสบายๆ ราวกับกำลังจัดการเอกสารบางอย่าง และเหมือนกำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่…

 

 

สรุปก็คือ ไม่มีทีท่าว่าจะคุยกับผู้อาวุโสสวีเลย

 

 

พ่อบ้านเฉิงพูดอย่างเป็นกังวลว่า “คุณชายเย็นชาเกินไปแล้วมั้ง”

 

 

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ ก็เห็นเฉิงเจวี้ยนหันหน้าไปคุยกับอาจารย์ใหญ่สวี เสียงเบามาก พ่อบ้านเฉิงได้ยินไม่ชัด

 

 

กระทั่งมองเห็นอาจารย์ใหญ่สวีวางถ้วยชาลง ใบหน้าแสดงอารมณ์เล็กน้อย ตรงดิ่งขึ้นชั้นบนทันที

 

 

แต่เฉิงเจวี้ยนยังคงนั่งอยู่บนโซฟา มือกดแป้นพิมพ์อย่างไม่รีบเร่ง

 

 

พ่อบ้านเฉิงเห็นหลังของผู้อาวุโสสวีแวบหนึ่ง จึงถามเฉิงมู่ว่า “ผู้อาวุโสสวีทำอะไรน่ะ”

 

 

“อ๋อ” คราวนี้เฉิงมู่ตอบเร็วฉับไว คล่องแคล่วยิ่งนัก เขามองพ่อบ้านเฉิง “ผู้อาวุโสสวีไม่ได้ทำอะไร เขาแค่ขึ้นไปหาคุณหนูฉิน”

 

 

พ่อบ้านเฉิงชะงัก “ผู้อาวุโสสวีมาหาคุณหนูฉินทำไม”

 

 

ทั้งคู่รู้จักกันงั้นเหรอ

 

 

สถานะอย่างผู้อาวุโสสวี…ไม่หรอกมั้ง…

 

 

พ่อบ้านเฉิงหรี่ตาเล็กน้อย ขบคิดครู่เดียว ก็นึกถึงเรื่องที่ผู้บัญชาเฉียนมาหาฉินหร่านคราวก่อน

 

 

เฉิงมู่นิ่งไป คำถามนี้เขาตอบไม่ได้ จากนั้นก็เปลี่ยนปฏิกิริยาทันใด แสร้งทำเป็นก้มหน้าโทรหาคนสวน ทิ้งแผ่นหลังอันยากลึกหยั่งถึงไว้ให้พ่อบ้านเฉิง

 

 

ร่างของอาจารย์ใหญ่สวีหายลับไปตรงปากบันได พ่อบ้านเฉิงสะกดความสงสัยในใจ จากนั้นเดินเข้าไปหาเฉิงเจวี้ยน เอ่ยถามเรื่องที่ฉินหร่านลาหยุด

 

 

เขาล้วงสมุดบันทึกของตัวเองออกมา

 

 

เนื้อหาด้านในเป็นรายชื่อของติวเตอร์สอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังหลายท่านที่เขาเพิ่งติดต่อไปเมื่อครู่นี้

 

 

 

 

ณ ห้องหนังสือ ชั้นบน

 

 

ฉินหร่านใส่ชุดลำลอง พิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน

 

 

ม่านหน้าต่างเปิดอยู่ เธอกำลังมองหิมะข้างนอก นิ่งไม่ไหวติง ตาหลุบต่ำ นิ่งและเฉยชา

 

 

แทบจะไม่เห็นความดุดันอย่างที่เคย มองเห็นเพียงความอ้างว้าง ราวกับว่าแค่มีโอกาส ก็อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ

 

 

ข้างๆ เธอมีเก้าอี้ที่มีผ้าคลุมคาดอยู่

 

 

“ตัดสินใจได้หรือยัง” อาจารย์ใหญ่สวีหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างๆ เธอ ไม่มองเธอ แต่ทอดมองหิมะขาวโพลนด้านนอก เสียงราบเรียบ

 

 

“ยัง” ฉินหร่านกดเสียงต่ำ

 

 

“เพราะเรื่องของพานหมิงซวนเหรอ” อาจารย์ใหญ่สวีเม้มปาก เขาก็หลุบตาลงเช่นกัน

 

 

มือที่วางอยู่บนผ้าคลุมของฉินหร่านชะงัก

 

 

แววตาของอาจารย์ใหญ่สวีก็แลดูเวิ้งว้าง

 

 

เขาไปที่เขตหนิงไห่ แรกเริ่มเป็นเพราะพานหมิงซวน ผลคะแนนวิชาคำนวณของเขาเหนือกว่าอัจฉริยะคนอื่นๆ แต่กลับต้องการสอบเจ้าหน้าที่สืบสวน

 

 

อาชีพแบบนั้นอันตราย งานส่วนใหญ่ที่คลุกคลีล้วนเป็นเส้นทางมรณะ อาจารย์ใหญ่สวีเสียดายคนมีฝีมือ อยากห้ามปรามเขาด้วยตัวเอง

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่า หลังไปถึงเขตหนิงไห่ กลับพบว่าพานหมิงซวนจากไปในปิดเทอมฤดูร้อนนั้นแล้ว

 

 

เขาติดตามเฟิงโหลวเฉิงเป็นเวลานาน เพื่อตรวจสอบความจริงของเรื่องนี้ ถึงขั้นว่าใช้เส้นสายในเมืองหลวงด้วยซ้ำ

 

 

พานหมิงซวนไม่มีแม้แต่งานศพ สุสานของเขาก็คือสถานที่ฝังศพของเฉินซูหลาน ข้างๆ เป็นพ่อแม่ของเขาที่ไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณ

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนประเภทไหนที่ไม่กล้าตั้งป้ายวิญญาณ

 

 

เขาเหลือน้องสาวเพียงคนเดียว

 

 

จากนั้นก็ช่วยน้องสาวคนนั้นจัดการเรื่องที่เหลือ พานหมิงซวนเคยพูดถึงเพื่อนบ้านที่เก่งกาจอย่างน้องฉินหร่านให้ตนฟัง

 

 

“เปล่าหรอกค่ะ” ฉินหร่านส่ายหน้า ไม่ตอบอะไรอีก “อาจารย์ใหญ่สวี เราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า”

 

 

ตกอยู่ในภวังค์ความเงียบอันยาวนาน

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีเหลือบมองฉินหร่าน จากนั้นยกมือขึ้นดันแว่นตา จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาว่า “ตอนนั้นที่เธอบอกฉันว่าไม่อยากไปเมืองหลวง ปฏิเสธคำเชื้อเชิญของฉัน แต่ที่เธอตอบตกลงอาจารย์เว่ยล่ะจะว่ายังไง”

 

 

เมื่อพูดถึงประโยคนี้ เขาก็อดหันมองฉินหร่านไม่ได้ น้ำเสียงขุ่นเคือง

 

 

ฉินหร่าน “…”

 

 

“ฉันได้ยินเฉิงมู่บอกว่า ยายของเธอรู้จักผู้อำนวยการฟางงั้นเหรอ” อาจารย์ใหญ่สวีก็ไม่เร่งรัดคำตอบจากฉินหร่าน พูดขึ้นมาช้าๆ อีกครั้ง

 

 

ฉินหร่านย่นคิ้วเล็กน้อย

 

 

“ผู้อำนวยการฟางเป็นผู้อำนวยการของสถาบันวิจัยที่หนึ่งแห่งเมืองหลวง ใต้อาณัติมีแต่ยอดฝีมือ คนที่มีชื่อในเมืองหลวงจะไม่เลือกเป็นปรปักษ์กับเขา” อาจารย์ใหญ่สวีพูดถึงตรงนี้ ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง “บังเอิญว่า สถาบันแห่งนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเราสกุลสวี”

 

 

อาจารย์ใหญ่สวียังคงยิ้มแย้ม น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน

 

 

ฉินหร่านช้อนตาขึ้น กำลังใคร่ครวญเรื่องนี้ในใจ

 

 

การแบ่งกลุ่มผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงเธอไม่ทราบแน่ชัด ไม่เคยตรวจสอบอย่างละเอียด โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลตระกูลเก่าแก่ที่สลับซับซ้อนเหล่านั้น เว้นเสียแต่ว่าฉางหนิงจะรวบรวมให้เธอ มิเช่นนั้นต่อให้เธอแฮ็กคลังข้อมูลของเมืองหลวง ก็ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ไม่มาก

 

 

“รอฉันไปเมืองหลวงปีหน้า ค่อยให้คำตอบคุณ” ฉินหร่านหรี่ตาลง ใจเริ่มผ่อนคลาย แต่ไม่ได้ตอบตกลงทันที

 

 

เธอไม่เคยตรวจสอบเรื่องของสกุลสวี แต่ก็รู้ว่าไม่ง่ายดายเป็นแน่

 

 

หากรับปากอาจารย์ใหญ่สวี เท่ากับว่าต้องเข้าร่วมศึกชิงผลประโยชน์ของสกุลสวี

 

 

ที่ผ่านมายามอาจารย์ใหญ่สวีถามฉินหร่าน อีกฝ่ายจะยืนกรานปฏิเสธ

 

 

แม้บอกว่าจะพิจารณา แต่สิ่งที่ซ่อนเร้นในดวงตายังคงเป็นความดื้อรั้นอันไม่ยี่หระ

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่อาจารย์ใหญ่สวีเห็นฉินหร่านเริ่มเปิดใจแล้ว เธอตั้งใจพิจารณาคำถามของตนจริง อาจารย์ใหญ่สวีหน้าชื่นตาบาน

 

 

“ออกจากอวิ๋นเฉิงเมื่อไร” เมื่อได้คำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว เขาก็ไม่ร้อนใจอีก เอนตัวอย่างสบายๆ เลียนแบบฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านหลุบตามองหิมะด้านนอก “อีกสักพักหนึ่ง”

 

 

“อืม งั้นฉันไม่ไปส่งเธอแล้วนะ” อาจารย์ใหญ่สวีพยักหน้า “รอเธอกลับอวิ๋นเฉิง”

 

 

“ค่ะ”

 

 

เมื่อพูดสิ่งที่พึงพูดจบแล้ว อาจารย์ใหญ่สวีก็มือไพล่หลัง เดินลงบันไดด้วยใบหน้ากระหยิ่มใจ

 

 

พ่อบ้านเฉิงก็คุยกับเฉิงเจวี้ยนเสร็จแล้ว เมื่อเห็นอาจารย์ใหญ่สวีลงมา ดูท่าทางอารมณ์จะดีขึ้นมากโข “ผู้อาวุโสสวี จะอยู่ทานข้าวด้วยกันไหม”

 

 

ในฐานะของคนรับใช้ พ่อบ้านเฉิงไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องของแขกกับเจ้านาย ต่อให้จะสงสัยในตัวฉินหร่าน แต่ก็ทำได้แค่ฉงนในใจ ไม่กล้าถามออกไป

 

 

“ไม่ละ” อาจารย์ใหญ่สวีหยิบเสื้อนอกของตัวเองจากราวแขวน สวมให้ตัวเองพลางตอบว่า “ฉันยังมีเรื่องต้องกลับไปจัดการ”

 

 

เฉิงมู่ก็ติดต่อกับคนสวนระดับมืออาชีพคนนั้นเสร็จแล้ว เมื่อเห็นผู้อาวุโสสวีจะกลับ ยืนวางมือถือกลับที่เดิม จากนั้นหยิบกุญแจรถจะไปส่งอาจารย์ใหญ่สวี

 

 

 

 

เมื่อคนออกไปจากห้องโถงแล้ว เฉิงเจวี้ยนก็หรี่ตาลง อ้าปากหาวหวอดๆ ด้วยความง่วงงุน

 

 

กำลังจะปิดโน้ตบุ๊ก ก็เห็นรูปโปรไฟล์เด้งขึ้นมาตรงมุมขวาด้านล่างของหน้าจอ

 

 

เป็นข้อความจากตาแก่

 

 

‘เสี่ยวฉือถึงองค์กรแพทย์แล้ว คือว่านะ…ศิษย์รัก ได้ยินเสี่ยวฉือบอกว่า นาย…นายจะมาที่องค์กรแพทย์ด้วยเหรอ’

 

 

อีกด้านหนึ่ง ชายชราที่สวมชุดกาวน์สีขาวกำลังจ้องหน้าต่างสนทนาอย่างใจจดใจจ่อ แทบจะกลั้นหายใจ

 

 

เฉิงเจวี้ยนเอียงหัว หรี่ตามองประโยคนี้

 

 

ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ตอบแล้ว

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาหัวเราะเบาๆ จากนั้นยื่นนิ้วออกไป พิมพ์ทีละตัวอักษรอย่างไม่รีบเร่ง

 

 

‘อืม’

 

 

ชายชราอยู่อีกด้านหนึ่ง ราวกับถูกอะไรบางอย่างชนเข้าอย่างจัง ดุจสายฟ้าฟาดแสกหน้าผาก กระแทกก้นลงบนเก้าอี้

 

 

“ด็อกเตอร์ เป็นอะไรหรือเปล่า” นักศึกษาใหม่ขององค์กรแพทย์มองชายชราอย่างห่วงกังวล

 

 

ชายชรานิ่งไปสองวินาที จากนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ

 

 

นักศึกษาใหม่ยังอยากถามต่อ

 

 

แต่ชายชรากลับมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อย่าถามฉันว่าเรื่องอะไร ฉันกลัวแกจะร้องไห้”

 

 

 

 

หลายวันต่อมา

 

 

บ่ายสามโมง ณ สนามบินอวิ๋นเฉิง

 

 

คนที่รู้ว่าฉินหร่านจะไปมีไม่มาก

 

 

คนที่มาส่งก็มีเพียงเว่ยจื่อหังกับพานหมิงเย่ว์

 

 

“เจ๊หร่าน” พานหมิงเย่ว์ดันแว่นบนสันจมูก ดวงตาซ่อนอยู่หลังเลนส์แว่น ใบหน้าซีดเผือด “เจอกันปีหน้า”

 

 

ฉินหร่านกระชับฮู้ดบนศีรษะ ยื่นมือออกไปกอดพานหมิงเย่ว์ “ดูแลตัวเองดีๆ”

 

 

จากนั้นลดมือลง ตบไหล่ของเธอปุๆ เบนสายตามองลู่จ้าวอิ่ง “อยู่โรงเรียนก็ช่วยดูแลเธอแทนฉันหน่อย”

 

 

เฉิงเจวี้ยนไปแล้ว แต่ลู่จ้าวอิ่งยังคงยืนหยัดจะทำงานในห้องพยาบาลต่อไป

 

 

เขาโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ฉันจะดูแลเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองเลย ดีไหม”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเหลือบมองพานหมิงเย่ว์ เขามีความรู้สึกรักใครก็ต้องรักสิ่งของของเขา กว่าฉินเสี่ยวหร่านจะมีเพื่อนสนิทสักคนนั้นไม่ง่ายเลย แน่นอนว่าเขาต้องช่วยรักษามิตรภาพของทั้งคู่ให้ดีแน่นอน

 

 

ในมือของเฉิงเจวี้ยนมีผ้าพันคอ ยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากฉินหร่าน ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อย

 

 

เมื่อเขาเห็นฉินหร่านยังคงพูดคุยกับพานหมิงเย่ว์ เขาก็กระแอมแล้วพูดว่า “ต้องไปแล้ว”

 

 

สิบสองชั่วโมงต่อมา

 

 

รัฐ M

 

 

เฉิงสุ่ยเรียกลูกสมุนรวมตัว หรี่ตาลง “นายท่านจะถึงในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ระหว่างนี้ฉันจะเลือกคนหนึ่งคอยติดตามนายท่าน”

 

 

สมุนในรัฐ M ล้วนเป็นสิ่งที่เฉิงสุ่ยสร้างด้วยมือของตัวเอง

 

 

เฉิงเจวี้ยนค่อนข้างเกียจคร้าน นอกจากจะมีกิจกรรมใหญ่เท่านั้น มิเช่นนั้นเขาแทบจะไม่ออกโรง

 

 

เมื่อได้ยินเฉิงสุ่ยพูดเช่นนั้น

 

 

สมุนเกือบยี่สิบชีวิตก็ตาลุกวาว พากันก้าวออกไปข้างหน้า ท่าทีเสนอตัวโจ่งแจ้งยิ่งนัก พวกเขารับผิดชอบธุรกิจค้าเพชร แน่นอนว่าก็มีธุรกิจสีเทาอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนเป็นคนที่โลดแล่นตรงหน้าตำรวจสากลอย่างแมทธิว

 

 

ได้ติดตามนายท่าน ได้รับคำแนะนำแค่ไม่กี่ประโยค ก็นับว่าเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขาอย่างมหาศาลแล้ว ย่อมต้องแย่งชิงเป็นธรรมดา

 

 

เฉิงสุ่ยพยักหน้าอย่างพอใจ เขาชี้นิ้วไปที่คนแรกสุดทางซ้ายมือ “หัวหน้าตู้ นายนั่นแหละ”

 

 

นี่เป็นสมุนสายบู๊ที่เขาอบรมบ่มเพาะด้วยตัวเอง ต้องเป็นที่ถูกใจเฉิงเจวี้ยนแน่

 

 

หัวหน้าตู้ลิงโลดใจ เขาเดินตามไป “คุณเฉิง ผมต้องทำอะไรให้นายท่านบ้าง”

 

 

“ไม่ต้อง” เฉิงสุ่ยหยิบมือถือออกมาดูเวลา “คอยตามคุณหนูฉิน เล่นกับเธอก็พอ”

 

 

หัวหน้าตู้ชะงัก “คุณหนูฉิน”

 

 

“อืม นายท่านพาเธอมาเที่ยว” เฉิงสุ่ยพยักหน้า ส่งสัญญาณให้เขาตามมา

 

 

ฝีเท้าของหัวหน้าตู้หยุดชะงัก จากนั้นยกมือขึ้นคารวะ “คุณเฉิง ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเดือนหน้ามีการประลองของฝ่ายยุติธรรม ผมต้องตั้งใจฝึกซ้อม ไม่มีเวลาเล่นกับคุณหนูฉิน”