ตอนที่ 209 ให้ตายสิ คุณเป็นใครกันแน่

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

นอกจากเฉิงสุ่ยแล้ว คนเหล่านี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอเฉิงเจวี้ยน

 

 

แต่กลับรู้เรื่องของเฉิงเจวี้ยนไม่น้อยเลย เมื่อได้ยินว่าเฉิงเจวี้ยนจะมา ต้องแย่งกันไปเสนอหน้าแน่นอน

 

 

แน่นอนว่ารวมถึงหัวหน้าตู้ด้วย

 

 

แต่ฟังจากคำพูดของเฉิงสุ่ย คล้ายว่าจะไม่ใช่ติดตามนายท่าน แต่เป็นคุณหนูท่านหนึ่ง

 

 

หัวหน้าตู้ขยาดผู้หญิงดื้อรั้นเอาแต่ใจเป็นที่สุด

 

 

ซ้ำร้าย…ท่าทางผู้หญิงคนนั้นจะมาเที่ยวเล่น

 

 

เป็นหัวหน้าอย่างหัวหน้าตู้คนนี้ไม่ง่ายเลย คนพวกรองหัวหน้าฝ่ายยุติธรรมต่างก็รอจะล้มเขาสักวัน

 

 

เป็นเพราะความพยายามของตัวเขาเอง กว่าจะไต่เต้าจนมีทุกวันนี้ได้ และเป็นที่ถูกใจเฉิงสุ่ย

 

 

พอเฉิงสุ่ยได้ยินดังนั้นก็หรี่ตามองหัวหน้าตู้ “นายไม่อยากไปเหรอ”

 

 

“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไป…” หัวหน้าตู้ก้มหน้า

 

 

“เอาเถอะ” เฉิงสุ่ยมองเวลาในมือถือ เฉิงเจวี้ยนจวนถึงแล้ว จึงส่ายหน้า “นายไม่อยากไปก็กลับเข้าทีมเถอะ”

 

 

คนคนนี้ไม่มีใจอยากติดตามดูแลคุณหนูฉิน เช่นนั้นเฉิงสุ่ยก็ไม่ไว้ใจเขา

 

 

หัวหน้าตู้กลับเข้าทีม

 

 

เขาเพียงแค่หันกลับไปมองสมุนกลุ่มนี้อีกครั้ง “มีใครอาสาหรือเปล่า?”

 

 

กลุ่มคนที่กระตือรือร้นเมื่อครู่นี้ เมื่อได้ยินคำชี้แจงของเฉิงสุ่ย ก็ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ฝ่ายยุติธรรมไม่มีใครเงยหน้ามองเฉิงสุ่ย

 

 

ครู่ใหญ่ ก็มีชายผอมแห้งแรงน้อยคนหนึ่งยกมือขึ้น “คุณเฉิง ผมได้หรือเปล่า?”

 

 

เฉิงสุ่ยมองไป เป็นชายผอมกะหร่องคนหนึ่งของฝ่ายจัดซื้อ ผมดำขลับดวงตาสีดำ ฝีมือสู้ฝ่ายยุติธรรมไม่ได้แน่นอน แต่ใบหน้าดูฉลาดไม่เบา

 

 

อันที่จริงคนที่เฉิงสุ่ยถูกใจตั้งแต่แรกมีแค่คนของฝ่ายยุติธรรมเท่านั้น เพราะรัฐ M ไม่เหมือนกับที่อื่น บางทีอาจถูกความกลัวจู่โจมได้ เขาจึงตั้งใจว่าจะหาคนที่คุ้นเคยกับสถานที่และต่อสู้เก่งให้คุณหนูฉิน

 

 

แต่เมื่อเห็นคนของฝ่ายยุติธรรมต่างก็ก้มหน้าก้มตา อยากให้เฉิงสุ่ยมองไม่เห็นตัวเอง

 

 

ตอนนี้จะไม่ทันการแล้ว เฉิงสุ่ยจึงไม่รีรอ “นายไปกับฉันก่อน”

 

 

ผู้ชายผอมกะหร่องคนนั้นเดินออกจากแถว ตามหลังเฉิงสุ่ยไปทันที

 

 

หัวหน้าตู้และคนอื่นๆ โล่งอกโดยพลัน

 

 

“นายชื่ออะไร” เฉิงสุ่ยให้เขาขับรถลีมูซีน ระหว่างนั้นก็ถามชื่อของเขาไปด้วย

 

 

ในการปกครองของเขาแบ่งเป็นฝ่ายยุติธรรม ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายข่าวกรองและฝ่ายการค้าระหว่างประเทศ ฝ่ายข่าวกรองอยู่ในความรับผิดชอบของเฉิงหั่ว ส่วนฝ่ายยุติธรรม เป็นฝ่ายที่สำคัญอย่างยิ่งยวด

 

 

ฝ่ายยุติธรรมเป็นศูนย์รวมกระดูกสันหลังของพวกเขา ไม่ว่าฝ่ายใดออกไป ก็มักจะมาเลือกคนจากฝ่ายยุติธรรม

 

 

ชายผอมกะหร่องเกาหัว “ผมชื่อซือลี่หมิง คุณเฉิงเรียกผมว่าเสี่ยวซือก็พอ ตอนแรกผมอยากเข้าฝ่ายยุติธรรม ผ่านการทดสอบแล้ว แต่ความสามารถไม่พอ ฝ่ายยุติธรรมเลยไม่รับผม ส่งผมไปอยู่ฝ่ายจัดซื้อแทน”

 

 

“อืม” เฉิงสุ่ยพยักหน้า เขาเหลือบมองซือลี่หมิง “ดูแลคุณหนูฉินให้ดี คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอก็พอ มีอะไรให้รายงานฉันโดยตรง”

 

 

อีกฝ่ายดูฉลาดมีไหวพริบ เฉิงสุ่ยจึงกำชับแค่ไม่กี่คำ

 

 

ถึงตอนนั้นข้างคุณหนูฉินยังมีเฉิงมู่คอยติดตาม ซือลี่หมิงพละกำลังไม่พอ แต่หัวดีใช้ได้ เฉิงมู่สมองทึ่ม พละกำลัง…อันที่จริงก็ถูๆ ไถๆ แต่แค่สองคนก็เพียงพอแล้ว

 

 

เฉิงสุ่ยเคาะนิ้ว ครุ่นคิดว่าต้องหาการ์ดหญิงหรือเปล่า

 

 

 

 

สนามบิน

 

 

เครื่องบินของพวกฉินหร่านลงจอดแล้ว

 

 

เดือนธันวาคมของรัฐ M หนาวกว่าอวิ๋นเฉิงเสียอีก

 

 

เฉิงสุ่ยให้คนนำเสื้อขนเป็ดมาด้วย เขาเป็นคนออกกำลังกาย จึงไม่หนาว บนตัวมีเพียงเสื้อเชิ้ตกับสูทตัวบาง ใบหน้าลูกครึ่งดูคมคาย ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายแวววับ

 

 

ไม่นาน พวกเฉิงเจวี้ยนก็ออกมาจากลิฟต์

 

 

เฉิงสุ่ยยืนอยู่ที่เดิม ขานเรียก ‘นายท่าน’ แล้วยื่นเสื้อขนเป็ดออกไป

 

 

เฉิงเจวี้ยนกับเฉิงมู่ย่อมไม่ต้องการเสื้อขนเป็ด ตัวนี้เฉิงสุ่ยนำมาให้คุณหนูฉิน

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนสวมโค้ตสีดำ เอี้ยวตัวยื่นเสื้อขนเป็ดในมือให้ฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านสวมผ้าปิดปากสีดำ ดึงฮู้ดคลุมหัวเรียบร้อยแล้ว มองเห็นหน้าไม่ชัด เห็นเพียงดวงตารางๆ กำลังก้มหน้า สวมเสื้อขนเป็ดอย่างเอื่อยเฉื่อย เดินตามพวกเขาไปที่ลานจอดรถ

 

 

“คนนี้คือเสี่ยวซือ” เมื่อเฉิงสุ่ยทักทายเฉิงเจวี้ยนกับฉินหร่านเสร็จแล้ว ก็หันมองเฉิงเจวี้ยน แนะนำซือลี่หมิงแก่เขา “เชื้อสายจีน อยู่รัฐ M ตั้งแต่เด็ก คุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างมาก ที่ไหนสนุกน่าเที่ยว เขารู้ทุกอย่าง ผมจะให้เขาติดตามคุณหนูฉิน”

 

 

ซือลี่หมิงได้ยินเฉิงสุ่ยกำลังแนะนำเขา ก็ไม่กล้าว่อกแว่ก ยืนตัวตรงแหน็วอยู่อย่างนั้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนมือล้วงกระเป๋า หรี่ตามองซือลี่หมิงอยู่นานสองนาน เรียวคิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย ฝืนใจพูดว่า “โอเค”

 

 

ซือลี่หมิงมีไหวพริบ เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนตกลงแล้ว ก็รีบไปตามหลังฉินหร่านทันที

 

 

“ตรงกลับคฤหาสน์เลยเหรอครับ” เฉิงสุ่ยยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง เขาถามว่าจะตรงกลับบ้านเลยหรือไม่

 

 

เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า “ไม่ต้องแวะที่ไหนแล้ว”

 

 

เฉิงสุ่ยส่งคนไปรับสัมภาระแล้ว เฉิงมู่ประคองกระถางดอกไม้เดินตามหลังเฉิงเจวี้ยนกับฉินหร่าน เดิมทีเขาคิดว่าเฉิงเจวี้ยนจะพาพวกเขามาพักผ่อนที่รัฐ M

 

 

แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอเฉิงสุ่ยที่สนามบิน

 

 

เขาชะงักไปครู่หนึ่งถึงได้สติ

 

 

“นายฝึกอยู่ไม่ใช่เหรอ” เขามองเฉิงสุ่ย ใบหน้าไร้อารมณ์มีความแข็งกร้าวเจือปน น้ำเสียงฉงนสนเท่ห์

 

 

เฉิงสุ่ยเห็นเฉิงเจวี้ยนเดินอยู่ข้างหน้า กำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับฉินหร่าน จึงไม่รบกวน

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงมู่ เขาก็เหลือบมองอีกฝ่ายอย่างพูดไม่ค่อยออก

 

 

จนถึงตอนนี้ เจ้าคนใสซื่ออย่างเฉิงมู่ยังคิดว่าพวกเขาฝึกอยู่อีกงั้นเหรอ

 

 

“อะไรของนายน่ะ” เฉิงสุ่ยกระแอม เปลี่ยนประเด็น มือชี้ไปที่กระถางดอกไม้ในมือของเขา

 

 

เฉิงมู่ก้มหน้ามองแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ดอกไม้ที่คุณหนูฉินชอบที่สุด ท่านเจวี้ยนให้ฉันดูแลมัน”

 

 

ไม่กล้าพูดว่าตัวเองกลายเป็นคนสวนไปแล้ว

 

 

รถค่อยๆ แล่นเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่

 

 

คฤหาสน์วิจิตรงดงาม เสาแกะสลักสีขาวสูงตระหง่าน เมื่อพ้นประตูใหญ่ฉลุลาย ก็เป็นน้ำพุตระการตา เมื่อวนรอบน้ำพุแล้ว คฤหาสน์สามหลังและหอคอยหลายหลังก็ตั้งเรียงราย

 

 

มองผ่านหน้าต่างยังเห็นถึงความหรูหรา

 

 

เฉิงมู่ที่เจ็ตแล็ก เดิมทียังง่วงงุน ตอนนี้สะดุ้งตื่นเต็มตา เขาร้องเสียงหลง จากนั้นก็ตีหน้านิ่ง หันไปถามเฉิงสุ่ยว่า “เฉิงสุ่ย นาย…ทำไมนายถึงเช่าบ้านที่หรูหราขนาดนี้ล่ะ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนรวยมากก็จริง แต่พวกเขาแค่ไม่กี่คน พักในคฤหาสน์หลังโตขนาดนี้มันวังเวงเกินไปหรือเปล่า

 

 

ที่นี่พักได้ร่วมพันคนแล้วมั้ง

 

 

“นายท่าน จะไปที่ไหนก่อน พวกเขารอคุณอยู่ที่ห้องโถงใหญ่” เฉิงสุ่ยหมายถึงหัวหน้าฝ่ายทั้งหลาย และบุคคลสำคัญของแต่ละทีม

 

 

เฉิงเจวี้ยนยังไม่ตอบ

 

 

เขาเหลือบมองฉินหร่านที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วเชยตาขึ้น “จะไปนอนก่อนไหม”

 

 

ฉินหร่านไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวัน สองสามวันมานี้สภาพไม่ค่อยดีนัก หางตาตก ดวงตาปรือปรอย เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงเจวี้ยน เธอก็ขานรับในลำคอ

 

 

แน่นอนว่าเฉิงสุ่ยก็ได้ยินเช่นกัน จึงสั่งให้ซือลี่หมิงขับรถไปจอดที่คฤหาสน์หลังที่สอง

 

 

 

 

เฉิงสุ่ยชายตามองเขา กระอึกกระอัก สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่ตบบ่าเฉิงมู่

 

 

“ห้องแรกทางซ้ายมือของชั้นสอง” เฉิงสุ่ยพาพวกเขามาที่ห้องพัก ระหว่างทางพบเจอคนรับใช้ที่สวมชุดขาวหกคน ต่างก็วางมือจากงานแล้วก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาพวกเขา

 

 

การตกแต่งของห้องไม่ใช่สไตล์ยุโรปหรูหรา แต่เป็นสไตล์โมเดิร์น โทนสีอบอุ่น

 

 

มีหน้าต่างสองฝั่ง มองเห็นสนามเขียวชอุ่ม และภาพของหิมะขาวโพลนได้อย่างชัดเจน

 

 

ฉินหร่านดึงฮู้ดลงแล้วกวาดตามอง

 

 

ห้องของฉินหร่าน เฉิงสุ่ยกับซือลี่หมิงไม่ตามเข้าไป ยืนรออยู่หน้าประตู

 

 

แต่ทั้งคู่เห็นเฉิงมู่ประคองต้นไม้อย่างระมัดระวัง วางกระถางดอกไม้ลงบนขอบหน้าต่าง หยิบรีโมตแอร์คอนดิชันเนอร์มาปรับอุณหภูมิภายในห้อง สุดท้ายก็หยิบอุปกรณ์ดูแลดอกไม้ทั้งหลายแหล่ออกจากกระเป๋าเป้ด้านหลัง

 

 

เฉิงสุ่ย “…” เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติ

 

 

พอเฉิงมู่จัดการทุกขั้นตอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตามเฉิงเจวี้ยนออกมา

 

 

“เฉิงเจวี้ยน ดอกไม้กระถางนั้น…” เฉิงสุ่ยเดินออกจากประตู ตรงไปที่หอคอยแห่งหนึ่ง สุดท้ายก็อดถามเฉิงมู่ไม่ได้ว่า ทำไมถึงดูแลปานปรนนิบัติบรรพบุรุษ

 

 

เฉิงมู่ทำหน้าปฏิเสธคำถาม

 

 

เฉิงเจวี้ยนเดินอยู่หน้าสุด เขาดูคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างมาก ราวกับเคยมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

 

 

เฉิงมู่เดินตามหลังพวกเขา ในใจเต็มไปด้วยคำถาม

 

 

ชั้นแรกของหอคอยโล่งกว้าง มีเก้าอี้ไม้สักตั้งอยู่สองแถว ตรงกลางเป็นเก้าอี้ตัวหนึ่ง

 

 

แลดูน่าพรั่นพรึงและวังเวง แค่มองดู ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

 

 

ตรงกลางมีคนสิบกว่าชีวิตยืนอยู่ เป็นใครแน่นั้นเฉิงมู่ไม่รู้ แต่ทุกคนล้วนดูไม่น่าเข้าใกล้ หนึ่งในนั้นดูเหมือนหัวหน้าอันธพาล ใบหน้าตั้งแต่สันจมูกลงมา มีรอยแผลเป็นน่ากลัว

 

 

มองแวบแรกเหมือนผู้ต้องหาตามหมายจับของตำรวจสากล

 

 

เมื่อคนกลุ่มนั้นเห็นเฉิงเจวี้ยน ก็รีบหลีกทางให้ทันที

 

 

เฉิงเจวี้ยนเดินไปหยุดอยู่ตรงเก้าอี้ด้านหน้าสุด บนเก้าอี้มีเบาะรองนั่งวางอยู่ เขานั่งลงอย่างไม่ยี่หระ

 

 

เมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นเห็นเฉิงเจวี้ยนนั่งลง ก็ยืนเรียงกันอย่างมีระเบียบ “นายท่าน!”

 

 

เสียงทรงพลัง ดุจสายฟ้าคำราม

 

 

แต่เฉิงมู่กลับงงเป็นไก่ตาแตก ให้ตายสิ ท่านเจวี้ยนเป็นใครกันแน่!