เล่ม 8 เล่มที่ 8 ตอนที่ 228 ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

กระบี่ในมือของฉินเทียนกำลังจะแทงหัวใจของซูจิ่นซี ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ จู่ๆ ร่างของเขาก็กระเด็นลอยไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ร่างที่สง่างามดั่งเทพเจ้าของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เดินเข้ามาหาซูจิ่นซี เมื่อเดินมาถึงข้างกายนาง เขาก็หยุดยืนอยู่เคียงข้างนาง

ฉินเทียนที่ถูกซัดจนกระเด็นไปไกล กระอักเลือดออกมาไม่หยุด เขายกมือกุมหน้าอกพลางมองเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

“ผู้ใดใช้ให้เจ้าแอบอ้างคำสั่งของข้า? ” เยี่ยโยวเหยาถามเสียงเย็นชา

ฉินเทียนกระอักเลือด ทว่ายังประคองตนเองให้ยืนขึ้นมาได้ แสดงว่าแรงเตะเมื่อครู่ เยี่ยโยวเหยายังคงเห็นฉินเทียนเป็นน้องชายของตนอยู่ จึงยั้งเท้าเอาไว้

ฉินเทียนลุกขึ้นยืนพลางยกมือกุมหน้าอก เขาเดินเข้าไปหาเยี่ยโยวเหยาอย่างเชื่องช้า และพูดเสียงแข็งว่า “พี่ ซูจิ่นซี สตรีนางนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้ หากท่านเก็บนางไว้ นางจะกลายเป็นหายนะและอันตรายอย่างมาก ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อท่านทั้งสิ้น”

“หุบปาก! ”

เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชา เขาซัดฝ่ามือใส่ฉินเทียนอีกครั้ง

ฉินเทียนถูกซัดจนนอนกองกับพื้น ทว่าเขายังดึงดันลุกขึ้นพูดอีกว่า “โยวเหยา… แม้… แม้วันนี้นางจะไม่ตายในน้ำมือของข้า ทว่าจะต้องมีสักวัน นางจะต้องตายในเงื้อมมือของมารดาข้า ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนในกองทัพหนานกงหรือในกองทัพตระกูลหลาน ไม่มีใครยินยอมที่จะ… ”

ฉินเทียนยังพูดไม่จบประโยค เยี่ยโยวเหยาก็ซัดฝ่ามือเข้าไปที่หน้าอกของฉินเทียนอีกครั้ง

ครั้งนี้ ฉินเทียนถูกซัดจนสลบไป

“พาเขากลับไปวิหารวิญญาณ หากไม่มีคำสั่งจากข้า ตั้งแต่นี้ต่อไป ไม่อนุญาตให้เขาออกจากวิหารวิญญาณแม้แต่ก้าวเดียว ต่อไปเรื่องทั้งหมดขององครักษ์เงากับกองทัพปีศาจให้จิ้นหนานเฟิงเป็นผู้บัญชาการ”

เยี่ยโยวเหยาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาขังฉินเทียนไว้ที่วิหารวิญญาณ ทั้งยังยกเลิกหน้าที่รับผิดชอบทั้งหมดของเขา

“พ่ะย่ะค่ะ! ”

องครักษ์เข้ามาลากตัวฉินเทียนออกไป

เยี่ยโยวเหยาหันไปมองซูจิ่นซีพลางขมวดคิ้วเป็นเกลียว ใบหน้าเช่นนี้ของเขา ดูไม่ออกว่ากำลังเย็นชาหรืออ่อนโยน ทว่าสายตาที่มองมากลับทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

“เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ท่านมาได้อย่างไร? ”

“หากข้าไม่มา วันนี้เจ้าคงไม่ได้ตายภายใต้เงื้อมมือของศัตรู ทว่าตายในเงื้อมมือของเจ้าเด็กบ้านั่น” เยี่ยโยวเหยากุมมือของซูจิ่นซีไว้แน่น เขาพานางเดินไปทางด้านนอกของจวนสกุลซู

“ไปที่ใดหรือ? ” ซูจิ่นซีถามขึ้น

“กลับบ้าน! ”

กลับบ้าน?

“แต่ฮูหยินปี้สั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำแกงร้อนๆ ไว้แล้ว อีกทั้งเวลานี้ก็ดึกมาก เดินทางเวลากลางค่ำจะไม่อันตรายหรือเพคะ? ”

น่าเสียดายที่เยี่ยโยวเหยาไม่ได้สนใจคำพูดของซูจิ่นซีแม้แต่น้อย

ซูจิ่นซีใช้มืออีกข้างหนึ่งจับแขนของเยี่ยโยวเหยาไว้ นางรั้งเยี่ยโยวเหยาอีกครั้งและพูดว่า “เยี่ยโยวเหยา เอาแต่ใจเช่นนี้ไม่ดีนะเพคะ! วันนี้ท่านติดค้างข้าหนึ่งครั้ง ดังนั้นท่านต้องฟังข้า! ”

เมื่อซูจิ่นซีกล่าวเช่นนี้ เยี่ยโยวเหยาจึงหยุดเดิน เขาทำเพียงหันกลับไปมองซูจิ่นซีด้วยสายตาเย็นชาพลางขมวดคิ้วมุ่น ทว่าไม่ได้พูดอันใด

“วันนี้ข้าทำความดีความชอบใหญ่หลวง ข้าจับตัวจงอู่โหวตัวการคนสำคัญให้กับท่าน นอกจากนี้ แม้ฉินเทียนจะแอบอ้างคำสั่งจากท่าน ทว่าเขาก็เป็นคนของท่าน เมื่อครู่ตอนที่เขากำลังจะสังหารข้า เขาได้ทำลายชื่อเสียงของท่านไปแล้ว”

“ดังนั้น? ” เยี่ยโยวเหยาถามกลับแผ่วเบา

ดังนั้น…

เดิมทีซูจิ่นซีพูดจาอย่างกล้าหาญ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด นางถึงรู้สึกว่าอารมณ์ของเยี่ยโยวเหยา… บุรุษผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาตั้งคำถามกลับ มันทำให้ความเชื่อมั่นทั้งหมดของนางสูญสลายไปในทันที นางไม่สามารถพูดอันใดออกมาได้อีก

“ดังนั้นข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน และลงโทษเจ้าให้สาสม… ”

ลงโทษ…

เหตุใด?

นางทำผิดอันใดหรือ?

ทว่าเหตุใด ซูจิ่นซีจึงรู้สึกว่าใบหน้าของเยี่ยโยวเหยานั้นดูขึงขังพิกล?

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซียังคงถามออกไปด้วยความกล้าหาญ “เหตุใดเล่า? ”

เยี่ยโยวเหยาโอบเอวซูจิ่นซีแน่น ดึงให้นางเข้ามาแนบชิดด้านหน้าของตน เขาแสดงท่าทีเย็นชาพลางพูดว่า “เรื่องราวในวันนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่นี้ต่อไป หากเจ้ากระทำการที่เป็นอันตรายเช่นนี้อีก ก็อย่ามาโทษข้าที่ไร้น้ำใจกับเจ้า! ”

แม้ใบหน้าจะเยือกเย็น แม้ปากคอยพร่ำบ่นว่าจะลงโทษ และแม้คำพูดที่กล่าวออกมานั้นจะดูรุนแรง ทว่าเหตุใดซูจิ่นซีจึงเกิดความรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในใจ?

บุรุษผู้นี้มักเป็นเช่นนี้เสมอ

แม้เขากำลังแสดงท่าทีห่วงใย ทว่ากลับทำใบหน้าขึงขังได้ถึงเพียงนี้

“เยี่ยโยวเหยา ฮูหยินปี้ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ไม่รู้ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง อีกทั้ง JX1กับพรรคพวกก็ได้รับพิษเช่นกัน คืนนี้พวกเราพักอยู่ที่จวนสกุลซูก่อนเถิด รอจนถึงพรุ่งนี้เช้าเพื่อให้แน่ใจว่าฮูหยินปี้ไม่เป็นอันตรายอันใดแล้วค่อยไป ดีหรือไม่? ” ซูจิ่นซีพูดเสียงอ่อน

เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเดิม ซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยาคงไม่รับปาก กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาคำหนึ่ง “ตกลง! ”

ซูจิ่นซีดีใจยิ่งนัก ทว่าไม่ได้แสดงออกบนใบหน้า

“ท่านไปรอที่เรือนฮั่นเซียงก่อน ข้าจะไปดูอาการของฮูหยินปี้”

เยี่ยโยวเหยาปล่อยมือซูจิ่นซี นางจึงหันหลังเดินเข้าไปหาฮูหยินปี้

ซูอวี้ได้ทำการฝังเข็มห้ามเลือดให้ฮูหยินปี้แล้ว ทว่าฮูหยินปี้ยังคงหมดสติอยู่ ใบหน้าของนางซีดขาวไร้เลือดฝาดจนดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก

“รีบประคองฮูหยินปี้เข้าไปในเรือนก่อนเถิด! จุดเตาไฟเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย ด้านนอกอากาศหนาว ไม่เป็นผลดีต่ออาการบาดเจ็บ” ซูจิ่นซีออกคำสั่ง

บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งรีบนำแคร่ไม้ไผ่มายกฮูหยินปี้เข้าไปข้างใน

ซูจิ่นซีไม่เห็นเยี่ยโยวเหยา จึงรู้ว่าเขาไปถึงเรือนฮั่นเซียงแล้ว นางจึงหันไปมองลวี่หลีที่เพิ่งหายจากอาการตกใจ และพูดว่า “ลวี่หลี เจ้ากลับไปปรนนิบัติเยี่ยโยวเหยาที่เรือนฮั่นเซียงก่อน”

“หา? ปรน… ปรนนิบัติท่านอ๋อง… ” เดิมทีใบหน้าของลวี่หลีก็ขาวซีดอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งซีดขาวไร้สีเลือดจนน่ากลัว นางทำราวกับเห็นผี

น่าเสียดาย ซูจิ่นซีเดินตามบ่าวรับใช้ที่หามฮูหยินปี้เข้าไปยังเรือนด้านในแล้ว คำพูดที่นางบอกกับลวี่หลี เป็นคำสั่งที่กล่าวออกไปตามปกติเท่านั้น

ลวี่หลียืนอยู่ที่เดิมครู่ใหญ่ การแสดงออกบนใบหน้าราวกับจะร่ำไห้

นางกลัวเยี่ยโยวเหยาที่สุด ขณะที่อยู่เรือนชิงโยว นางมักจะหาทางหลีกหนีไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้!

ตอนนี้… จะให้นางไปปรนนิบัติเยี่ยโยวเหยา…

ช่างน่าขนพองสยองเกล้าเสียจริง

น่าเสียดายที่ในเวลานี้ ซูจิ่นซีไม่ล่วงรู้ถึงความคิดของลวี่หลีแม้แต่น้อย

ในเรือนของฮูหยินปี้ บ่าวรับใช้รีบเติมเตาไฟให้ความอบอุ่นเพิ่มอีกสี่ตัว ทันใดนั้น ห้องนอนในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเมื่อถูกจุดไฟขึ้นมาพร้อมกันก็สว่างไสวราวกับแสงอาทิตย์

แม้ซูอวี้จะห้ามเลือดให้กับฮูหยินปี้แล้ว ทว่าสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการจัดการกับบาดแผล แม้ซูอวี้จะมีอายุเพียงแปดปี ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ ไม่สะดวกเท่าใดนัก ซูจิ่นซีจึงต้องเป็นผู้ลงมือทำ

ซูจิ่นซีต้องการยาที่ใช้รักษาบาดแผลบางส่วน บ่าวรับใช้จึงรีบไปนำมาให้

ในไม่ช้า บ่าวรับใช้ก็นำยาที่จำเป็นมาให้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีรีบตัดเสื้อผ้าบนร่างกายของฮูหยินปี้ออก นางมองเห็นบาดแผลเหวอะหวะตรงหน้า

กระบี่ของฉินเทียนแทงเข้าบาดแผลเดิมที่เพิ่งสมานของฮูหยินปี้อย่างพอดิบพอดี

แผลเดิมรวมกับแผลใหม่ เหตุการณ์นี้อันตรายมาก หากฮูหยินปี้ไม่เข้ามาขวางไว้ คนที่นอนอยู่ตรงนี้คงเป็นซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีเก็บความซาบซึ้งทั้งหมดไว้ในใจ นางรีบจัดการกับบาดแผลของฮูหยินปี้ทันที

รอจนจัดการกับบาดแผลแล้วเสร็จ ซูจิ่นซีจึงเรียกหญิงรับใช้เข้ามาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับฮูหยินปี้ จากนั้นนางก็เดินออกมาจากห้องด้านใน

ซูอวี้รีบเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเป็นห่วง

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางพูดว่า “วางใจได้ มารดาเจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว ทว่าตั้งแต่นี้ต่อไปห้ามประมาท บาดแผลเกิดที่จุดเดียวกันถึงสองครั้ง มีโอกาสเกิดแผลเป็นสูง ข้าคงไม่ต้องเขียนใบสั่งยาเพื่อพักฟื้นแล้ว เรื่องนี้เจ้ารู้ดีกว่าข้ามากนัก”

“ขอบคุณท่านมาก พี่จิ่นซี”

ซูจิ่นซีไม่ได้พูดตอบอันใด นางทำเพียงลูบศีรษะของซูอวี้ด้วยความเคยชิน

นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก เนื่องจากซูอวี้ไม่คิดหลบหนี

เขาเพียงแสดงท่าทางไม่คุ้นชินเท่านั้น