เล่ม 8 เล่มที่ 8 ตอนที่ 229 ท่านอ๋อง ขอประจบท่านสักเรื่องได้หรือไม่

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“พี่จิ่นซี เข็มของท่าน! ”

ขณะที่ซูจิ่นซีจัดการกับบาดแผลของฮูหยินปี้ ซูอวี้ได้นำเข็มเหมันต์เทวะขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

ซูจิ่นซีรับมาและเก็บมันไว้ตามปกติ

ซูอวี้เม้มริมฝีปาก เขาลังเลเล็กน้อยทว่ายังเอ่ยปากถามออกมา “พี่จิ่นซี สิ่งนี้คือเข็มเหมันต์เทวะใช่หรือไม่? ”

“ใช่! ”

“พี่จิ่นซี ของล้ำค่าเช่นนี้ ท่านได้มาจากที่ใดหรือ? ” ใบหน้าของซูอวี้แสดงความประหลาดใจ อีกทั้งแววตายังปรากฏความอยากได้ออกมาอย่างชัดเจน

ผู้คนในวงการแพทย์ต่างรู้ดีว่าเข็มเหมันต์เทวะเป็นของล้ำค่า ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในวงการแพทย์ล้วนคลั่งไคล้ต้องการครอบครองสิ่งล้ำค่านี้

“สหายท่านหนึ่งให้มา! ”

“เช่นนั้น สหายของพี่จิ่นซีผู้นี้คงใส่ใจในตัวท่านมาก ใช่หรือไม่? ถึงได้มอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้กับท่าน! ”

ใส่ใจมาก?

เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีใช้คำนี้เมื่อพูดถึงจิ่วหรง

ดูเหมือนว่านานมาเเล้วที่นางไม่ได้พบกับจิ่วหรง

จิ่วหรง… บุรุษผู้นี้ สำหรับนางแล้วเป็นเทพสวรรค์ เป็นราวกับภาพฝัน การพบเจอระหว่างพวกเขาเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นจริง

จนกระทั่งปัจจุบันนี้ นางก็ยังไม่เชื่อว่า บนโลกใบนี้มีคนที่เพียบพร้อมเช่นนี้อยู่

หลายครั้งที่นางรู้สึกว่าจิ่วหรงไม่มีตัวตน เขาเป็นเพียงภาพฝันของนางเท่านั้น

“พี่จิ่นซี? ”

ซูอวี้แกว่งแขนซูจิ่นซีที่มีแววตาราวกับตกอยู่ในภวังค์ “พี่จิ่นซี ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่? ”

ซูจิ่นซีคืนสติ ใบหน้ากลับมาสงบนิ่งดังเดิม “ไม่มีอันใด ตอนนี้มารดาของเจ้าไม่เป็นอันใดมากแล้ว! ให้หญิงรับใช้มาดูแลเถิด! ข้าจะกลับไปที่เรือนฮั่นเซียงก่อน”

“ให้อวี้เอ๋อร์คอยดูแลท่านแม่ด้วยตนเองเถิด! ทางเดินตอนกลางคืนค่อนข้างลื่น พี่จิ่นซีเดินช้าๆ ! ”

“อืม! ”

ซูจิ่นซีพยักหน้าและเดินออกไป

ค่ำคืนอันแสนมืดมิด ซูจิ่นซีเดินอยู่ภายในเรือนของจวนสกุลซูเพียงลำพัง หลายวันก่อนหิมะตกหนัก ภายในแปลงดอกไม้มีหิมะที่ยังไม่ละลาย ภายใต้หิมะแข็งในฤดูหนาวเช่นนี้ ต้นหญ้าสีเขียวที่ยังไม่แห้งเหี่ยวได้ก่อเกิดทิวทัศน์ที่งดงามเช่นกัน

ทว่าความงามของทิวทัศน์จะมากเพียงใด ยังเทียบไม่ได้กับร่างของคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ภายใต้ดวงดาวระยิบระยับ

แสงจันทราสาดส่อง หมู่ดาวพร่างพราว คืนนี้ท้องฟ้าเปิด แผ่นฟ้ากว้างใหญ่ได้กลายเป็นภาพพื้นหลังที่แสนงดงามของเขา

จิ่วหรง!!!

เขาสวมชุดสีขาวราวหิมะ กำลังเยื้องย่างอยู่บนหลังคา ค่ำคืนในฤดูหนาวเช่นนี้ ท้องฟ้ากลับแจ่มใส สายลมพัดพาให้ ต้นไม้ภายในเรือนของจวนสกุลซูพลิ้วไหวไปมา ทว่าเขายังคงเยื้องย่างอยู่บนที่สูงด้วยท่าทีนิ่งขรึม เสื้อผ้าบนร่างกายกับเส้นผมดำขลับของเขาให้ความรู้สึกดี มันไม่ได้รับผลกระทบจากลมหนาวแม้แต่น้อย ยังคงเป็นระเบียบ ไม่ไหวติง

ท้ายที่สุด จิ่วหรงก็หยุดนิ่งอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าดั่งภาพฝันราวกับออกมาจากเทพนิยาย เผยรอยยิ้มรักใคร่และเอ็นดู เขาทำเพียงมองตามด้านหลังของซูจิ่นซี

หากเวลานี้ซูจิ่นซีหันหลังกลับไป นางจะต้องเห็นจิ่วหรงที่มีท่วงท่าดั่งเทพเซียนเป็นแน่

ทันใดนั้นเสียง ‘จี๊ดจี๊ด’ ก็ดังขึ้น สุนัขจิ้งจอกหิมะตัวน้อยลอยมาอยู่ด้านหลังของจิ่วหรง มันลอยอยู่รอบๆ ตัวเขาและพุ่งทะยานไปทางซูจิ่นซี

ร่างของเจ้าตัวน้อยลอยอยู่กลางอากาศ มันร่อนลงจากหลังคา จู่ๆ จิ่วหรงก็โบกมืออย่างแผ่วเบา ทว่าไม่เห็นถึงรัศมีของพลังภายในหรือพลังยุทธ์ใดๆ ทันใดนั้น ร่างของเจ้าตัวน้อยก็หายไปในพริบตาราวกับเวทมนตร์ มันถูกจิ่วหรงเก็บเข้าไปไว้ในแขนเสื้อ

“จี๊ดจี๊ดจี๊ดจี๊ด! ”

เจ้าตัวน้อยแสดงอาการขุ่นเคืองและขัดใจเล็กน้อย มันพยายามมุดออกจากแขนเสื้อของจิ่วหรงสุดชีวิต และวิ่งตามหลังซูจิ่นซีพลางร้องเรียกไม่หยุด

จิ่วหรงยื่นสองนิ้วไปคว้าหางเจ้าตัวน้อยไว้และยกมันขึ้นมากลางอากาศ “เจ้าเองก็รู้ใช่หรือไม่ ว่านางคือนางผู้นั้น? ”

“จี๊ดจี๊ดจี๊ด! ”

เจ้าตัวน้อยขยับเท้าทั้งสี่ดิ้นรนสุดชีวิต ดวงตาน้อยๆ ที่ฉายแววดีใจพลันแดงระเรื่อ

“น่าเสียดาย พวกเรามาช้าเกินไป! ” จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย

จู่ๆ เจ้าตัวน้อยก็ไม่ดีดดิ้นอย่างตื่นเต้นอีก มันเหยียดขาทั้งสี่และปีนขึ้นไปบนไหล่ของจิ่วหรง

จิ่วหรงคลายมือออก เจ้าตัวน้อยจึงกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเขา จากนั้นมันก็ค่อยๆ ปีนไปบริเวณหน้าผากของจิ่วหรงด้วยความระมัดระวัง มันใช้มืออันน้อยนิดนวดคลึงหน้าผากของจิ่วหรงไม่หยุด เหมือนต้องการนวดให้รอยย่นระหว่างคิ้วหายไป

องค์ชายงดงามเช่นนี้ เหตุใดต้องขมวดคิ้วด้วยเล่า?

ในใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่องค์ชายทำไม่ได้ ดังนั้นองค์ชายอย่าได้ขมวดคิ้วอีกเลย!

แม้ยามที่องค์ชายขมวดคิ้วจะแลดูงดงาม ทว่าหากไม่ขมวดคิ้วจะดูดีกว่า

องค์ชาย…

เมื่อคิดถึงองค์ชาย เจ้าตัวน้อยก็เคลิบเคลิ้ม

ทว่าการกระทำของเจ้าตัวน้อยยังดูอ่อนโยนมาก มันไม่ต้องการทำให้เส้นผมขององค์ชายต้องรกรุงรัง และไม่ต้องการทำให้เสื้อขององค์ชายสกปรก ยิ่งไปกว่านั้น มันกลัวว่าจะทำให้องค์ชายได้รับบาดเจ็บ

ลวี่หลียืนรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อนางมองเห็นซูจิ่นซีกลับมาถึงเรือนฮั่นเซียงก็ราวกับมองเห็นดาวนำโชคที่มาช่วยชีวิต นางรีบวิ่งเข้าไปหาซูจิ่นซีทันที

“คุณหนู ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว! ”

“เหตุใดถึงมายืนอยู่ที่หน้าประตู? ”

ด้านนอกอากาศหนาวมาก แม่นางผู้นี้เหตุใดถึงไม่เข้าไป?

“คุณหนู… ”

ลวี่หลีอยากจะร้องไห้ นางมองเข้าไปที่ห้องด้านในด้วยใบหน้าเขินอาย

ซูจิ่นซีเข้าใจในทันที ลวี่หลีหวาดกลัวเยี่ยโยวเหยา!

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด! ” ซูจิ่นซียิ้มให้เล็กน้อย

“คุณหนูไม่ให้บ่าวอยู่ปรนนิบัติหรือเจ้าคะ? ก่อนหน้านี้ฮูหยินปี้ได้สั่งให้บ่าวรับใช้นำน้ำร้อนและน้ำแกงร้อนๆ มาให้แล้ว บ่าวกำลังอุ่นอยู่บนเตาเล็กเจ้าค่ะ! ”

“เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ปรนนิบัติข้าอาบน้ำก่อนก็แล้วกัน! ”

“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปเตรียมเดี๋ยวนี้! ” ลวี่หลีตอบรับและรีบวิ่งเข้าไปยังห้องด้านในทันที

ซูจิ่นซีมองร่างที่วิ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม พลางส่ายศีรษะด้วยท่าทีจนใจ

ความจริงแล้ว ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีเพิ่งเข้าไปอยู่ที่จวนโยวอ๋อง นางก็หวาดกลัวเยี่ยโยวเหยาเช่นนี้ นางตั้งตารอที่จะได้พบเขา ทว่านางก็หวาดกลัวเขา อารมณ์เช่นนั้นช่างแปลกประหลาดนัก

ทว่าในเวลานี้… นางไม่ได้หวาดกลัวเช่นนั้นอีกแล้ว

ภายในห้องโถงกลางสว่างไสวไปด้วยแสงเทียน

ซูจิ่นซีหันไปมองเงาคนที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่างด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้อง

เยี่ยโยวเหยากำลังนั่งอยู่บนตั่งผ้าไหมและจัดการกับจดหมายที่องครักษ์เงาส่งมา เมื่อเห็นซูจิ่นซีเดินเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงไปสะสางจดหมายอีกครั้ง

ซูจิ่นซีรู้ดีว่า ในเวลานี้ เรื่องที่เขาต้องสะสางนั้นสำคัญมาก นางจึงไม่คิดจะเข้าไปรบกวน จากนั้นซูจิ่นซีก็เดินเข้าไปในห้องของตนเอง

หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้ว ซูจิ่นซีก็ปล่อยให้ลวี่หลีไปนอน ส่วนนางก็ยกน้ำแกงร้อนๆ ที่ฮูหยินปี้จัดเตรียมไว้ให้ไปที่ห้องโถงกลาง เยี่ยโยวเหยายังคงสะสางจดหมายอยู่

ซูจิ่นซีเดินยกน้ำแกงซุปร้อนๆ เข้ามาวางไว้ด้านหน้าของเยี่ยโยวเหยา

ครั้งนี้เยี่ยโยวเหยาวางจดหมายในมือลง

“นี่คือน้ำแกงร้อนๆ ที่ฮูหยินปี้ใช้ให้บ่าวรับใช้เตรียมไว้เพคะ” ซูจิ่นซียกขึ้นมาชามหนึ่งและยื่นให้กับเยี่ยโยวเหยา

“ข้ายังไม่หิว! ”

“ลองชิมดูเพคะ ความจริงแล้วฝีมือการทำอาหารในจวนสกุลซูก็ไม่เลวนักเพคะ”

เยี่ยโยวเหยายกน้ำแกงขึ้นมาชิมคำหนึ่ง ราวกับไม่มีอันใดน่าสนใจจึงไม่ดื่มต่อ เขาวางถ้วยน้ำแกงไว้ด้านข้าง

“มีอันใดหรือ? ”

“เรื่องของจงอู่โหว ท่านคิดจะจัดการเช่นไร? ”

จงอู่โหวเป็นคนของแคว้นจงหนิง ทว่ากลับเป็นทูตซ้ายแห่งสำนักห้าพิษของแคว้นศัตรู เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องนำมาใส่ใจ” เยี่ยโยวเหยาหยิบจดหมายขึ้นมาดูอีกหนึ่งฉบับ

“หม่อมฉันไม่ใช่จงอู่โหว แต่รู้สึกได้ว่า หากทำตามกฎหมายบ้านเมือง จงอู่โหวทั้งตระกูลต้องพลอยติดร่างแหไปด้วยเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านแม่จะต้องออกหน้าปกป้องเหม่ยเจียอย่างแน่นอน”

เรื่องที่เว่ยเหม่ยเจียเป็นพระธิดาแท้ๆ ของเฉินไท่เฟย ซูจิ่นซีไม่ได้บอกแก่เยี่ยโยวเหยา นางเกรงว่าหากถึงเวลานั้น เฉินไท่เฟยอาจคิดแผนการอันใดเพื่อปกป้องเว่ยเหม่ยเจีย จนนำความเดือดร้อนมาสู่เยี่ยโยวเหยา

“ปกป้องอย่างไรก็ไร้ประโยชน์! ” เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เมื่อเยี่ยโยวเหยาพูดเช่นนี้ ซูจิ่นซีก็ทราบดีว่า เขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะจัดการกับจวนจงอู่โหว

ซูจิ่นซีจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก

ทันใดนั้นนางก็แย้มยิ้มด้วยท่าทีประจบประแจง “โยวอ๋องเพคะ หม่อมฉันขอประจบท่านสักเรื่องได้หรือไม่เพคะ? ”

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีใช้คำพูดหวานๆ หว่านล้อมเยี่ยโยวเหยา

ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาแสดงอาการผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขายังมีท่าทีสุขุมนุ่มลึก “มีเรื่องอันใด? ”

“แม้หอโอสถทั้งเจ็ดแห่งของสกุลซูจะเปิดทำการแล้ว ทว่ากิจการยังดำเนินไปได้ไม่ดีนัก เนื่องจากขาดแคลนหมอฝีมือดีมาทำการรักษา เป็นไปได้หรือไม่หากหม่อมฉันจะขอยืมตัวหมอเทวดาหวาที่เป็นคนของท่าน! ”

เมื่อซูจิ่นซีเอ่ยถึงหมอเทวดาหวา แววตาของเยี่ยโยวเหยาที่เดิมทีมีประกายน้อยนิดอยู่แล้ว ทันใดนั้นก็ยิ่งดำมืดขึ้นไปอีก

ซูจิ่นซีเห็นเยี่ยโยวเหยาไม่ตอบรับ นางจึงขมวดคิ้วมุ่นพลางบ่นไปหนึ่งค่ำ “คนใจแคบ! ”

“พรุ่งนี้จะให้คำตอบเจ้า! ”

พรุ่งนี้?

เหตุใดต้องให้คำตอบพรุ่งนี้???