ชุ่ยเวยค้อมตัวขานรับ แล้วพาน้าตู้ซานถอยออกไป
เหยาเหยียนอี้เปรยด้วยเสียงเรียบ “พรุ่งนี้จะไปดูการแข่งขันเรือมังกรที่ทะเลสาบซีซิน น้องสาวก็ไปด้วยกันเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ข้าต้องพิจารณาความผิดในบ้านนา จะไปไหนมาไหนอย่างเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร”
“อะไรคือพิจารณาความผิดในบ้านนา!” เหยาเหยียนอี้ยิ้มอย่างไม่สนใจ “หากจนปัญญาแล้วจริงๆ เจ้าก็ปลอมตัวเป็นบุรุษเหมือนเช่นเคยสิ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มและเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา พ่อบ้านของจวนข้าหลวงใหญ่ที่อยู่ข้างนอกพลันวิ่งมาอย่างเร่งรีบ แล้วค้อมตัวลงทำความเคารพ “คุณชายรองขอรับ! นายท่านสั่งให้คุณหนูรองเก็บของกลับจวนประเดี๋ยวนี้ ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศงานสมรสของคุณหนูรองขอรับ!”
เว่ยจางและเหยาเหยียนอี้สบตากัน ต่างคนต่างก็คลี่ยิ้ม
“เร็วเข้า! รีบช่วยคุณหนูรองเก็บข้าวเก็บของ กลับจวน!” เหยาเหยียนอี้พูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริง เขาอยู่อย่างกระวนกระวายใจมาสิบวัน ใกล้จะถูกเรื่องน่ารำคาญใจเหล่านั้นทำให้เครียดจนปางตายแล้ว! วันที่รอคอยมาถึงเสียที! ฮ่องเต้ทรงพระราชทานงานสมรส วันข้างหน้าผู้ใดจะกล้าข่มเหงเหยาเยี่ยนอวี่อีก
เว่ยจางผุดลุกขึ้น ฮ่องเต้ทรงพระราชโองการลงมาให้จวนข้าหลวงเหยา ก็ย่อมมีพระราชโองการให้ตนด้วย เขาจึงเดินทางกลับเข้าไปในเมืองพร้อมกับสองพี่น้องตระกูลเหยา จะได้ไม่ต้องให้ผู้ที่มาประกาศพระราชโองต้องเสียเวลาในการเดินทางมาหาเขาอีกที
สองพี่น้องตระกูลเหยานั่งรถม้าที่ขับเคลื่อนด้วยม้าสี่ตัวกลับเข้าเมืองด้วยความรวดเร็ว
หน้าประตูจวนข้าหลวงใหญ่มีทหารรักษาการณ์ยืนอยู่สองนาย
เหยาเหยียนอี้ลงจากรถม้าก่อน จากนั้นค่อยพยุงเหยาเยี่ยนอวี่ลงมา สองพี่น้องกลับเข้าไปในจวน พร้อมมุ่งหน้าไปยังโถงหน้าโดยตรง
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง สองสามีภรรยาเหยาหย่วนจือ สองสามีภรรยาเหยาเหยียนเอิน และฮูหยินน้อยหนิงก็ไปคอยอยู่ในโถงก่อนแล้ว หลังจากเหยาเหยียนอี้และเหยาเยี่ยนอวี่เข้าประตูมา ก็น้อมทำความเคารพกงกงที่มาประกาศพระราชโองการก่อน
กงกงผู้นั้นเห็นสองพี่น้องตระกูลเหยามาถึงอย่างเร่งรีบ จึงเอ่ยถาม “ท่านใดคือบุตรีคนรองเยี่ยนอวี่ของข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมือง”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันเดินหน้า พร้อมค้อมตัวลงอย่างช้า “เหยาเยี่ยนอวี่ขอคารวะกงกงเจ้าค่ะ”
“ฮ่องเต้ทรงมีพระโองการ!” กงกงสะบัดไม้ปัดฝุ่นในมือ พร้อมหันไปยืนตรงกลางโถงหลัก
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งนำทุกคนในครอบครัวหมอบกราบลงและน้อมรับพระราชโองการ
เว่ยจางที่ติดตามมาถึงโถงหน้าชะงักฝีเท้าลง ได้ยินข้างในมีเสียงประกาศพระโองการของบุรุษดังขึ้น เสียงแหลมนั้นราวกับส่งมาจากที่ไกลๆ ทำให้คนได้ยินอย่างชัดเจนก็รู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต “เหยาเยี่ยนอวี่ ธิดาคนรองของข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมือง เป็นกุลสตรีงดงามจิตใจเอื้ออารีมีคุณธรรมและมากความสามารถ…จึงพระราชทานงานพิธีมงคลสมรสให้กับแม่ทัพติ้งหย่วน นามเว่ยจาง ขอให้ตระกูลเหยาและตระกูลเว่ยกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันชั่วนิรันดร์…พระราชโองการเป็นไปดังนี้!”
หลังจากนั้น ทั้งตระกูลเหยาต่างก็ขอบพระทัยอย่างพร้อมเพรียง เว่ยจางได้ยิน กลับนิ่งงัน
ถังเซียวอี้ติดตามมาถึงอย่างเร่งรีบ กลับแม่ทัพของตนยืนอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย พลันเดินหน้าพลางเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ?”
“อืม?” เว่ยจางได้สติกลับมา พลางมองถังเซียวอี้ “มีเรื่องอะไร”
“ท่านกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ดึงสติกลับมาได้แล้ว” ถังเซียวอี้เตือนสติด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ” เว่ยจางแย้มยิ้ม พร้อมหันไปมองโถงหลักจวนข้าหลวงอีกแวบหนึ่ง แล้วไม่มากความอีก
ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการอีกหนึ่งฉบับให้เว่ยจาง อีกทั้งยังมีสาส์นกราบทูลลับหนึ่งฉบับที่เว่ยจางส่งจากสถานที่ที่ห่างจากเมืองหลวงนับแปดร้อยลี้ ข้างในเป็นกิจธุระลับทางการทหาร คนนอกมิอาจรู้ได้
จวนข้าหลวงใหญ่เคล้าด้วยบรรยากาศครึกครื้นทันที
พระราชโองการฉบับนี้ถวายลงบนแท่นบูชา กงกงที่มาเยือนถูกเชิญไปนั่งบนเก้าอี้แขกและต้อนรับด้วยน้ำชา ข้าหลวงเหยาทำหน้าชื่นบานพลางลูบจับเคราพลางนั่งเคียงข้างกงกง
เหล่าบ่าวไพร่ในจวนต่างมาร่วมแสดงความยินกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวางฮูหยิน สีหน้าที่ป่วยไข้ตอนวันวานของหวางฮูหยินก็หายไป กลับกลายเป็นสีหน้าที่มีชีวิตชีวาและเคล้าด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ในจวนเกิดเรื่องที่เป็นสิริมงคลเช่นนี้ ทุกคนได้รับอั่งเปาสองซอง!”
ฮูหยินน้อยเจียง และฮูหยินน้อยหนิงจับมือเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วพูดด้วยความปิติยินดี “ยินดีกับน้องรองด้วย”
สองพี่น้องเหยาเหยียนเอินและเหยาเหยียนอี้ล้วนมีสีหน้าชื่นบาน แล้วกำลังปรึกษาหารือกันว่าจะเฉลิมฉลองเรื่องมงคลนี้อย่างไร
ทั้งตระกูลเหยาต่างก็ดีใจกับข่าวดีที่คาดคิดไม่ถึง มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่ยิ้มอย่างฝืนทน อาการของซ่งเหยียนชิงยังไม่หายดี ได้ยินว่าตุ่มแดงนั้นลุกลามไปทั้งตัว หมอวินิจฉัยว่าอาจจะมีชีวิตรอดไม่พ้นสิ้นเดือนนี้ ตระกูลซ่งต้องเสียทายาทเพียงคนเดียวแล้วจริงๆ!
ทว่า ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกขมขื่นใจเพียงใด ก็ไม่ควรแสดงออกมาในเวลานี้ ทำได้เพียงฝืนยิ้มพลางนั่งบนตั่งไม้สูง แล้วกำลังมองผู้คนที่ทยอยกันเข้ามาแสดงความยินดี
ผู้คนที่มาร่วมแสดงความยินดีต้องไม่มีคุณหนูสามเหยาเชวี่ยหวารวมอยู่ในนั้นอยู่แล้ว
เหยาเชวี่ยหวาในตอนนี้ยังคงถูกผัวจื่อคนสนิทของหวางฮูหยินคอยเฝ้าระวังไม่ให้นางออกจากเรือนของนาง
ตั้งแต่เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้น สติของเหยาเชวี่ยหวาไม่ค่อยดี มักจะอารมณ์เสีย ขว้างของ และสบถหยาบคนอื่นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังด่าทอชุ่ยผิงและเหยาเยี่ยนอวี่อยู่ตลอดเวลา หลังจากถูกผัวจื่อตักเตือนอย่างโหดเหี้ยมไปหนึ่งครั้ง บอกว่าหากนางยังเป็นเช่นนี้ ก็จะส่งตัวนางไปรักษาอาการในอารามแม่ชี นางถึงจะหยุดโวยวาย หลายวันมานี้กลับอยู่อย่างเงียบงันทั้งวันทั้งคืน ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่
และวันนี้มีเรื่องมงคลเยี่ยงนี้ หวางฮูหยินไม่ปล่อยให้นางออกมาก่อกวนเป็นเรื่องธรรมดา จึงสั่งให้คนไปเฝ้านางเพิ่มอีกสองคน ห้ามให้นางออกจากเรือนของตนแม้แต่ก้าวเดียว หากนางยังพูดจาเหลวไหล ก็ให้นางดื่มยาสลบเพื่อให้นอนหลับไปแต่โดยดี
ขณะเดียวกัน ไม่เพียงแต่เหยาเชวี่ยหวาที่ใกล้จะเป็นบ้าเนื่องด้วยงานสมรสของเหยาเยี่ยนอวี่เท่านั้น
ในเมืองหลวงอวิ๋น ณ จวนเฉิงอ๋อง ข้าวของในเรือนจวิ้นจู่ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี
อวิ๋นเหยาร้องไห้จนตาแดง แล้วกำลังนอนอยู่บนตั่งไม้ ไม่ได้กินอะไรไปสองวันแล้ว
ตั้งแต่ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้เว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่สมรสกัน อวิ๋นเหยาก็เริ่มโวยวาย ตอนแรกที่เฉิงอ๋องอยู่ในจวน นางก็ไม่กล้าโวยวายอะไรมากนัก เฉิงอ๋องเฟยก็ปิดบังแทนนาง บอกว่าบุตรีไม่สบาย หลายวันมานี้เฉิงอ๋องถูกฮ่องเต้รับสั่งให้ไปตรวจสอบธุระทางการทหารที่ค่ายทหารภูเขาซี อวิ๋นเหยาจึงโวยวายจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ภายในใจของอวิ๋นคุนรู้ดี แค่ตอนนี้เขาเองก็มีเรื่องเคร่งเครียด จึงไม่มีกะจิตกะใจไปขบคิดถึงเรื่องของน้องสาว คิดว่าสตรีอายุน้อยก็คงโวยวายได้ไม่กี่วันเท่านั้น
เฉิงอ๋องเฟยกังวลใจจนต้องเช็ดน้ำตา กลับไม่มีวิธีคลายปัญหานี้ นางก็ไม่มีปัญญาไปให้ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนพระราชโองการ แม้กระทั่งไม่กล้าให้เฉิงอ๋องทราบเรื่องของบุตรี ทำได้เพียงเข้าวังหลวงไปปรึกษาหารือเรื่องนี้ของเฟิงฮองเฮา
แม้นฮองเฮาทรงเป็นพระมารดาของแคว้น ก็ไม่มีทางขัดขืนพระบัญชาของฮ่องเต้เพราะจวิ้นจู่เพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น พระราชโองการก็ลงไปแล้ว หรือจะปรับเปลี่ยนได้? หากเป็นเช่นนั้น ฮ่องเต้จะมีความสำคัญอะไรอีก
เฉิงหวังเฟยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากฮองเฮา หลังจากกลับมาก็เห็นบุตรีที่ยิ่งอยู่ยิ่งซูบผอม ดวงใจดวงนี้รู้สึกปวดร้าว
เฟิงฮองเฮากับเฉินหวังเฟยมีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งนัก แม้นนางจะเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาบ้าง ทว่าพอเห็นสีหน้าที่บูดบึ้งของนาง ก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน บังเอิญคืนนั้น หลังจากที่ร่วมเสวยสำรับกับฮ่องเต้เสร็จ เฟิงฮองเฮาจึงเปรยเรื่องเศร้าใจของเฉิงหวังเฟยกับฮ่องเต้ “อวิ๋นเหยาก็มีอายุไม่น้อยแล้ว ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยในคุณชายตระกูลใด ไม่เช่นนั้นก็พระราชทานพิธีสมรสให้นางเถอะเพคะ”
ฮ่องเต้ได้ยินจึงแย้มพระสรวลอันเย็นยะเยือก “อวิ๋นเหยากลับอยากจะสมรสกับเว่ยจางกระนั้นหรือ”
เฟิงฮองเฮาพลันตรัส “นางก็แค่ทำตัวเอาแต่ใจไปไม่กี่วันเท่านั้นแหละเพคะ”
“กลับไปเจ้าลองเสวนากับน้องสะใภ้เจ็ดดู ยัยหนูคนนี้วางอำนาจเกินไปแล้ว! ก่อนหน้านี้บนโต๊ะทรงพระอักษรมีสาส์นกราบทูลหลายฉบับ ล้วนทูลเจิ้นเกี่ยวกับจวนเฉิงอ๋องที่ไม่เข้มงวดต่อการสั่งสอนบุตรี นางจึงทำลายผู้อื่นจนปางตาย เจิ้นยังไม่เคยไต่สวนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลย พระธิดาของราชวงศ์มีนิสัยเอาแต่ใจก็เป็นเรื่องธรรมดา ทว่าไม่ควรวางอำนาจเกินไป! นางมีนิสัยเฉกเช่นนี้ หากยังให้สมรสกับขุนนางฝ่ายบู๊อีก ภายภาคหน้าจะไปไหวได้อย่างไร”