ตอนที่ 238

เสน่ห์คมดาบ

กลุ่มอสูรปีศาจที่ว่านเฟิงหลิวพามาด้วยกลับยืนดูอยู่ด้านข้างราวกับเป็นเรื่องปกติ ชีอ้าวชวางเห็นกลุ่มอสูรปีศาจเหล่านั้นซุบซิบกันแล้วเอาเหรียญทองออกมา ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะพนันกันว่าใครจะชนะระหว่างเจ้านายของพวกเขากับเฮยหยู่ 

 

 

ส่วนไป๋ตี้ก็ยืนรอการต่อสู้ของพวกเขาอยู่ด้านข้างอย่างสงบ 

 

 

“จะปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กันแบบนี้หรือ?” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองสองคนที่ยังคงต่อสู้กันอยู่ 

 

 

“ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเขาหรอก” ไป๋ตี้พูดเบาๆ แต่คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย เมื่อนึกถึงสิ่งที่ว่านเฟิงหลิวเพิ่งพูดออกมา ตอนนี้โลกอสูรปีศาจกำลังตกอยู่ในความยุ่งเหยิง เกิดอะไรขึ้นในตอนแรกกันแน่? เขาปิดผนึกตัวเองจริงหรือ? ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็หายตัวไปด้วย หรือว่าที่เขาหายตัวไปเพราะผนึกตัวเอง? ส่วนผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ภักดีต่อเขามาก เรื่องนี้ไป๋ตี้รู้ดี 

 

 

แมวล่าสมบัติหาวและมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเบื่อหน่ายแล้วหมอบลงบนไหล่ของชีอ้าวชวาง 

 

 

ไม่รู้ว่าพวกเขาต่อสู้กันมานานแค่ไหนแล้ว ในที่สุดเฮยหยู่และว่านเฟิงหลิวก็หยุด ว่านเฟิงหลิวเก็บแส้ดอกกุหลาบไปอย่างสง่างามและพูดด้วยรอยยิ้ม “คนหยาบกระด้าง ดูเหมือนฝีมือเจ้าจะแย่ลงนะ” 

 

 

เฮยหยู่หน้านิ่งและกำอาวุธในมือของเขาแน่น 

 

 

“เอาเถอะ หยุดได้แล้ว ข้ายังมีคำถามอีกมากที่จะถามเจ้า” ไป๋ตี้หยุดคนทั้งสองที่กำลังจะสู้กันอีกครั้ง 

 

 

“ข้าก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก” ว่านเฟิงหลิวก้าวไปข้างหน้าในขณะที่ถือดอกกุหลาบสีสดใสอีกดอก เขายิ้มให้ชีอ้าวชวาง “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าทำไมผู้หญิงที่งดงามราวกับดอกกุหลาบผู้นี้ถึงไปรู้จักพวกเจ้าได้?” อันที่จริงสิ่งที่ว่านเฟิงหลิวประหลาดใจที่สุดก็คือการที่ไป๋ตี้และเฮยหยู่เดินมาด้วยกันอย่างสงบเช่นนี้ เมื่อก่อนสองคนนี้เป็นเหมือนน้ำกับไฟเลย แถมยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คล้ายกันอย่างน่าประหลาดใจ คือทั้งสองคนไม่เคยมีผู้หญิงเลย! 

 

 

“มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า!” เฮยหยู่ก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางชีอ้าวชวางไว้และก่นด่าอย่างไม่พอใจ 

 

 

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ไป๋ตี้ถามอย่างเย็นชา เขารู้จักนิสัยของว่านเฟิงหลิวดี หากไม่มีเรื่องอะไรเขาไม่มีทางออกมาในที่ห่างไกลเช่นนี้หรอก ถ้ามีเวลาเขาก็จะใช้เวลาอยู่กับเหล่าอสูรปีศาจสาวๆ และไวน์ของเขา 

 

 

“ข้ามารับพวกเจ้าโดยเฉพาะเลย” ว่านเฟิงหลิวโบกดอกกุหลาบในมือของเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ 

 

 

เฮยหยู่ส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความรังเกียจเขาไม่เชื่อคำพูดของว่านเฟิงหลิวหรอก 

 

 

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่?” ไป๋ตี้ถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง 

 

 

“อ๋อ สถานที่นี้เป็นถิ่นของข้า เมื่อเร็วๆ นี้เผ่าอสูรปีศาจที่นี่ได้มีการกลายพันธุ์ ก็เลยออกอาละวาดนิดหน่อยน่ะ” ว่านเฟิงหลิวหลุบตาลงดมกลิ่นดอกกุหลาบในมือแล้วยิ้ม “ดังนั้น ข้าจะมาทำลายพวกมันซะ การประลองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว จะให้มีปัญหาไม่ได้ อสูรปีศาจอาวุโสทั้งสี่ก็จะกลับมาเป็นเจ้าภาพด้วย แถมยังมีการมอบรางวัลอีก หลังจากที่รับรางวัลจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้นอีก” 

 

 

“หมายความว่าอย่างไร?” 

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” 

 

 

หลังจากฟังคำพูดของว่านเฟิงหลิวจบ สีหน้าของไป๋ตี้และเฮยหยู่ก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาก ทั้งคู่ขมวดคิ้วมองว่านเฟิงหลิว แต่ว่านเฟิงหลิวกลับเหลือบตามองและยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เขาโบกดอกกุหลาบในมือแล้วพูด “ไปแก้ปัญหาเรื่องอสูรปีศาจที่อาละวาดก่อนแล้วกลับไปที่คฤหาสน์ ข้าจะบอกรายละเอียดให้พวกเจ้าฟัง” 

 

 

ชีอ้าวชวางขมวดคิ้ว นางดูได้จากปฏิกิริยาของไป๋ตี้และเฮยหยู่ว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่ง่ายเลย และอสูรปีศาจอาวุโสที่ว่านเฟิงหลิวพูดถึงก็ดูจะไม่ธรรมดาเลยด้วย 

 

 

“อสูรปีศาจที่อาละวาด?” เฮยหยู่หรี่ตาลงและถามด้วยความสับสน “เจ้าลองให้ลูกน้องเจ้าไปดูข้างหน้านั่นว่าใช่ศพพวกนั้นหรือไม่…” 

 

 

ดอกกุหลาบที่แกว่งไปมาในมือของว่านเฟิงหลิวหยุดลงจากนั้นเขาก็กระตุกมุมปากหันไปตะโกนใส่ผู้ที่ติดตามข้างหลังเขา “ลองไปดูข้างหน้าสิ” 

 

 

“ครับ!” พวกอสูรปีศาจรับคำสั่งแล้วพวกเขาทั้งหมดก็วิ่งไปตรวจสอบ 

 

 

ว่านเฟิงหลิวมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว พวกอสูรปีศาจกลายพันธุ์พวกนั้นคงจะสิ้นชีพไปแล้วด้วยน้ำมือของเฮยหยู่ และคงไม่มีชีวิตใดเหลืออยู่แล้ว ว่านเฟิงหลิงมองชีอ้าวชวางด้วยหางตา ความประหลาดใจและความสงสัยในใจของเขายังไม่หายไป มนุษย์ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก นางมาอยู่กับไป๋ตี้และเฮยหยู่ได้อย่างไร? ทำไมนางถึงกลายเป็นคู่พันธะกับสองคนนั้นได้? อสูรปีศาจและมนุษย์กลายเป็นคู่พันธะกัน…หากเป็นพันธะระหว่างผู้รับใช้กับเจ้านายก็เป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่าอสูรปีศาจเป็นนายและมนุษย์เป็นผู้รับใช้ แต่ดูจากท่าทีของไป๋ตี้และเฮยหยู่แล้ว พันธะระหว่างพวกเขาอาจจะไม่ใช่พันธะระหว่างเจ้านายกับผู้รับใช้ มันแปลกมากจริงๆ! ความสัมพันธ์ระหว่างไป๋ตี้และเฮยหยู่เมื่อก่อนเป็นแบบนั้น…แต่ตอนนี้กลับมีคู่พันธะเป็นมนุษย์คนเดียวกัน! มนุษย์คนนี้คงไม่ธรรมดาขนาดนั้นแน่ๆ น่าสนใจ…ประกายที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นในแววตาของว่านเฟิงหลิว มันคือประกายในการมองเหยื่อ 

 

 

ในตอนที่ว่านเฟิงหลิวกำลังงุนงงอยู่นั้น ไป๋ตี้และชีอ้าวชวางก็กำลังคุยกันอยู่ 

 

 

“ไป๋ตี้ อสูรปีศาจอาวุโสที่ว่านเฟิงหลิวพูดคืออะไร?” ชีอ้าวชวางถามด้วยความสงสัย 

 

 

ไป๋ตี้ชะงักไปชั่วขณะแล้วพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “พวกเขาคือผู้ที่สนับสนุนโลกอสูรปีศาจที่ไม่มีใครเห็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาเลย แม้แต่ราชาอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คนก่อนๆ ก็ไม่รู้รูปร่างที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขามักจะปรากฏตัวในโลกอสูรปีศาจเมื่อเวลาที่มีวิกฤตต่างๆ เพื่อมาแก้ไขวิกฤต ไม่มีใครรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขา อสูรปีศาจที่อยากรู้ความแข็งแกร่งของพวกเขาล้วนตายหมดแล้ว…” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของไป๋ตี้ก็ยิ่งดูแย่ลง ความหมายที่เขาแสดงออกมานั้นชัดเจนแล้วว่าเคยมีคนพยายามไปทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่ก็ไม่เคยรู้เลยและไม่มีทางได้รู้ด้วย 

 

 

คราวนี้ชีอ้าวชวางประหลาดใจจริงๆ เดิมทีนางคิดว่าผู้ปกครองสูงสุดของโลกอสูรปีศาจคือราชาอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเช่นนี้ 

 

 

“พวกเราทุกคนถือว่าพวกเขาเป็นที่ได้รับการเคารพสูงสุด พวกเขาเป็นพลังที่แท้จริงที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของโลกอสูรปีศาจและก็เป็นคำสั่งของโลกอสูรปีศาจด้วย ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้พวกเขาจะออกหน้าเอง สถานการณ์ของโลกอสูรปีศาจในตอนนี้มีปัญหาครั้งใหญ่แล้วจริงๆ ”แม้ว่าน้ำเสียงของเฮยหยู่จะไม่พอใจนัก แต่ในดวงตาของเขาไม่ได้มีท่าทีรุนแรงเลย เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจนักแต่เขาก็ไม่ปฏิเสธ 

 

 

ผ่านไปสักพัก พวกอสูรปีศาจที่ว่านเฟิงหลิวสั่งให้ออกไปตรวจสอบก็กลับมาทีละคนและทุกคนก็รายงานเหมือนกันทั้งหมดว่ามีซากศพของพวกอสูรปีศาจกลายพันธุ์อยู่ทุกที่ พวกมันถูกจัดการไปหมดแล้ว 

 

 

ว่านเฟิงหลิวเลิกคิ้วและหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เดินไปหาไป๋ตี้และเฮยหยู่แล้วพูด “ดูท่าทางคราวนี้พวกเจ้าจะช่วยข้าจัดการธุระแล้ว ไปกันเถอะ ไปที่คฤหาสน์ของข้า แล้วข้าจะบอกพวกเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น” 

 

 

หลังจากตามว่านเฟิงหลิวออกจากป่าก็เห็นม้าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดถูกล่ามไว้ที่ชายป่า จมูกของพวกมันเป็นรูปยาวๆ ม้วนๆ นอกจากจุดนี้แล้วทุกอย่างก็ดูเหมือนม้าของโลกมนุษย์ ผู้ติดตามของว่านเฟิงหลิวสามคนยอมสละม้าให้ชีอ้าวชวาง ไป๋ตี้ และเฮยหยู่ได้ขึ้นขี่แล้วตามหลังว่านเฟิงหลิวไป 

 

 

“ช่วงนี้ดินแดนของข้าอยู่ภายใต้การควบคุมพิเศษ ไม่อนุญาตให้นั่งพาหนะที่ต้องขึ้นไปบนท้องฟ้า แน่นอนว่าข้าก็ต้องเคารพกฎ” ว่านเฟิงหลิวถือดอกกุหลาบไว้ในมือข้างหนึ่งที่กระดกนิ้วก้อยอยู่และอธิบายด้วยรอยยิ้มอย่างมีเสน่ห์ 

 

 

“เพราะว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในกองกำลังทั้งสามนี้เลย ดังนั้นเพื่อความยุติธรรม การประลองนี้จึงถูกจัดขึ้นในดินแดนของเจ้าสินะ? และเจ้าก็เป็นเจ้าภาพของการประลองนี้ด้วยใช่หรือไม่?” ไป๋ตี้เหลือบตามองและพูดการคาดเดาของตัวเองออกมา 

 

 

“เหอะๆ ไป๋ตี้ก็คือไป๋ตี้” ว่านเฟิงหลิวหรี่ตาสีพีชของเขาแล้วยิ้มอย่างชมเชย “เจ้าพูดถูกแล้ว การประลองใหญ่ของโลกอสูรปีศาจในครั้งนี้จะจัดขึ้นในดินแดนของข้า และข้าจะเป็นผู้จัดการทุกอย่าง” 

 

 

“เจ้าต่ำต้อย เจ้าได้ผลประโยชน์มาเยอะใช่หรือไม่?” เฮยหยู่บีบเสียงพูด 

 

 

“เฮยหยู่ เจ้ากำลังใส่ร้ายข้านะ” ว่านเฟิงหลิวพูดอย่างเจ็บใจ 

 

 

“ราคาต่อรองของกองกำลังหลักทั้งสามเป็นอย่างไรบ้าง?” จู่ๆ ไป๋ตี้ก็พูดออกมาแบบนี้ 

 

 

“ฮ่าๆ ข้าได้วิเคราะห์ไว้อย่างแม่นยำแล้ว โดยธรรมชาติแล้วก็คือ…” หลังจากที่ว่านเฟิงหลิวพูดคำเหล่านี้อย่างภาคภูมิใจ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและเขาก็หยุดทันที เฮยหยู่แสดงสีหน้าดูถูก ส่วนไป๋ตี้ทำหน้าเย็นชา จากนั้นว่านเฟิงหลิวก็กระตุกมุมปากแอบดุตัวเองว่าประมาทจนไป๋ตี้จับทางได้ง่ายๆ เช่นนี้ 

 

 

พวกเขาเดินทางไปตามถนน ระหว่างทางนั้นชีอ้าวชวางก็ประหลาดใจเล็กน้อยเพราะโลกอสูรปีศาจดูเหมือนจะมีรูปแบบคล้ายกับโลกมนุษย์มาก อสูรปีศาจในเมืองดูมีชีวิตที่มั่นคงและเป็นระเบียบ แม้ว่าอสูรปีศาจบางตัวจะดูประหลาดใจที่เห็นชีอ้าวชวางซึ่งเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเห็นว่านางอยู่กับพวกของว่านเฟิงหลิวก็ไม่รู้สึกแปลกใจและสงบกันไป ในสายตาของพวกเขา การที่อสูรปีศาจที่มีตัวตนอย่างว่านเฟิงหลิวจะมีมนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงถือเป็นเรื่องปกติ ม้าของพวกเขามีความอดทนที่ดีและมีความเร็วมาก พวกเขาเดินทางข้ามเมืองไปบนถนนใหญ่อย่างรวดเร็วและมาถึงเมืองของว่านเฟิงหลิวภายในเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น 

 

 

‘เมืองเฟิงหลิว’ ประตูเมืองสลักตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวที่ดูสวยงาม 

 

 

ไป๋ตี้และเฮยหยู่ไม่จำเป็นต้องบอก ชีอ้าวชวางก็รู้ว่าตรงไหนคือคฤหาสน์ของเจ้าเมือง ความอลังการและดอกกุหลาบที่อยู่ตรงประตูใหญ่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเจ้าของแล้ว สิ่งก่อสร้างเช่นนี้ดูสอดคล้องกับสไตล์ของว่านเฟิงหลิวมาก 

 

 

เมื่อเดินเข้าประตูไป อสูรปีศาจหญิงที่ดูโดดเด่นก็มายืนเรียงจนแน่นสองแถวอย่างเรียบร้อยทั้งสองข้าง ทุกคนสวมเครื่องแต่งกายที่เซ็กซี่และเปิดเผยแล้วแสดงความเคารพอย่างสุภาพ ชีอ้าวชวางมองไปไม่เห็นมีผู้ดูแลที่เป็นผู้ชายเลย กลุ่มอสูรปีศาจที่ติดตามอยู่ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างหยุดอยู่ที่ประตู สถานที่แห่งนี้เป็นฮาเร็มขนาดใหญ่ของว่านเฟิงหลิวต่างหาก 

 

 

คฤหาสน์เจ้าเมืองของว่านเฟิงหลิวไม่ใช่ความหรูหราแบบธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นความตระการตาเลยทีเดียว แต่ในทุกๆ ที่กลับมีตรากุหลาบขนาดใหญ่อยู่เต็มไปหมด ผนังของทางเดินเรียงรายไปด้วยภาพเหมือนของว่านเฟิงหลิว และในแต่ละภาพ ว่านเฟิงหลิวจะถือดอกกุหลาบโดยที่กระดกนิ้วก้อยของเขาออก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจะแสดงรอยยิ้มที่เขาคิดว่าสง่างามสูงส่งและมีเสน่ห์อยู่ 

 

 

เมื่อมาถึงห้องหนังสือ สาวใช้คนสวยก็ยกน้ำชามาให้ หลังจากเสิร์ฟชาเสร็จนางก็ถอยออกไป 

 

 

ว่านเฟิงหลิวเหลือบตามองไป๋ตี้และเฮยหยู่ในขณะที่เขากำลังดื่มชาแล้วพูดเบาๆ “พูดตามตรงนะ ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกเจ้าจะมาปรากฏตัวที่นี่” 

 

 

“พูดเข้าเรื่องเลย” เฮยหยู่ขัดจังหวะว่านเฟิงหลิวอย่างไม่สบอารมณ์ 

 

 

“ก็ได้ อันที่จริงไป๋ตี้ก็พอจะเดาได้แล้ว ก็คือโลกอสูรปีศาจจะจัดงานประลองครั้งใหญ่ขึ้น ผู้ชนะก็จะได้เป็นราชา ทุกคนก็เข้าร่วมได้ สุดท้ายพวกอสูรปีศาจอาวุโสจะออกหน้ามาช่วยเหลือผู้ชนะ ปรับปรุงความแข็งแกร่งให้กลายเป็นราชาอสูรปีศาจที่แท้จริง พอพวกเขามายืนยันตัวตนของผู้ชนะเองก็จะไม่มีใครต่อต้านและต่อต้านไม่ได้ด้วย ส่วนข้าไม่เข้าอยู่กับฝ่ายใด จึงแน่นอนว่าข้าต้องจัดการเรื่องสถานที่” ว่านเฟิงหลิวหรี่ตามองไปที่ชีอ้าวชวางแล่วจิบชา “ตอนนี้พวกเจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงสวยคนนี้และพวกเจ้า?”