ตอนที่ 237

เสน่ห์คมดาบ

“อ๊าก…” เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความกลัวและสิ้นหวังดังขึ้น 

 

 

มันเป็นเสียงของอสูรปีศาจระดับต่ำที่ติดตามกลุ่มของอสูรปีศาจผมสีน้ำตาล เขามองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว ชายชุดดำผมดำคนนั้นฆ่ากลุ่มอสูรปีศาจของพวกเขาไปในเวลาไม่กี่วินาที! แถมพวกเขาไม่ได้ต่อต้านสักนิดเลยด้วย น่ากลัวเกินไปแล้ว! นี่เป็นเพียงแค่อสูรปีศาจระดับสูงอย่างที่อสูรปีศาจหิมะบอกจริงๆหรือ? อสูรปีศาจที่ติดตามอสูรปีศาจสีน้ำตาลวิ่งหนีสุดชีวิต ความคิดเดียวของเขาในตอนนี้คือการหนีจากสถานที่ที่น่ากลัวนี้และอยู่ให้ห่างจากกลุ่มอสูรปีศาจผมดำที่น่ากลัวผู้นั้น หางยาวๆ ของเขาลากไปบนพื้นจนเกิดเป็นรอยคดเคี้ยวขึ้น 

 

 

เฮยหยู่ส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา เขาลอยอยู่ด้านบนของพวกอสูรปีศาจผมสีน้ำตาลและโบกเคียวในมืออย่างไม่ลังเล จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังก้องไปทั่วป่า เคียวของเฮยหยู่ปักลงที่หางของอสูรปีศาจตนนั้นไว้กับพื้น 

 

 

“อ๊าก…ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่รู้อะไรเลย ยกโทษให้ข้าด้วย ไว้ชีวิตข้าเถอะ…” อสูรปีศาจตนนั้นร้องขอความเมตตา เขาบิดตัว พยายามให้หางหลุดเพื่อจะหนีไป 

 

 

แววตาของเฮยหยู่มีประกายเย็นชาเกิดขึ้น เขาโบกเคียวไปข้างหน้าและตัดหางของอสูรปีศาจตนนั้นออกครึ่งหนึ่ง จากนั้นของเหลวสีแดงๆ เขียวๆ ก็ไหลออกมาเต็มพื้น ดูน่ากลัวมาก 

 

 

แต่เฮยหยู่กลับยังคงสีหน้าเย็นชาและไม่แสดงท่าทีอะไร 

 

 

ยังไม่ทันที่ชีอ้าวชวางจะเรียกสติกลับมาได้ การต่อสู้ข้างหน้าก็จบสิ้นลงแล้วโดยที่นางและไป๋ตี้ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย 

 

 

เฮยหยู่เก็บอาวุธแล้วเดินกลับมาด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น จากนั้นเขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา “ไป” 

 

 

ชีอ้าวชวางเหลือบศพบนพื้นและหรี่ตาเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรแล้วตามหลังเฮยหยู่ไป 

 

 

สีหน้าของไป๋ตี้นิ่งลงและมองแผ่นหลังของเฮยหยู่โดยไม่พูดอะไร เขารู้จักเฮยหยู่ดีกว่าใคร เฮยหยู่กำลังโกรธ…เขาโกรธเรื่องอะไร? เพราะอสูรปีศาจพวกนั้นพูดจาดูถูกชีอ้าวชวางงั้นหรือ? 

 

 

ไป๋ตี้คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ขมวดคิ้ว ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ล่ะก็… 

 

 

ไป๋ตี้มองแผ่นหลังของเฮยหยู่และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเฮยหยู่ หรือว่าเจ้าจะ… 

 

 

………………….. 

 

 

“ไอ้โง่!” เฮยหยู่เก็บอาวุธของเขาและพูดอย่างเย็นชาไปที่กลุ่มศพบนพื้นที่ไร้ชีวิตไปแล้ว 

 

 

ไป๋ตี้ถอนหายใจเบาๆ นี่คืออสูรปีศาจกลุ่มที่เท่าไหร่ที่โจมตีพวกเขากันนะ? กลุ่มที่เจ็ดหรือกลุ่มที่แปด? ทุกครั้งที่อสูรปีศาจเหล่านี้เห็นพวกเขา ดวงตาของพวกมันก็จะเป็นประกาย และเมื่อพวกมันเห็นชีอ้าวชวาง ดวงตาก็จะส่องประกายแต่มีน้ำลายไหลเพิ่มด้วย ไม่แปลกใจที่พวกอสูรปีศาจเหล่านี้จะมีท่าทีเช่นนี้กับชีอ้าวชวาง เพราะว่าจู่ๆ ก็มีมนุษย์มาปรากฏตัวอยู่ในโลกอสูรปีศาจ แถมยังเป็นมนุษย์ที่น่าทึ่งเช่นนี้อีก มันก็เป็นที่ต้องการของเหล่าอสูรปีศาจเป็นธรรมดา 

 

 

“ไม่จบสิ้นเสียที น่ารำคาญจริงๆ” เฮยหยู่ตะคอกอย่างไม่พอใจ ตอนแรกอสูรปีศาจหิมะคิดจะกินพวกเขาแล้วจับตัวชีอ้าวชวางไป แต่ต่อมาอสูรปีศาจพวกนี้มาเพื่อมุ่งเป้าไปที่ชีอ้าวชวางเลย ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดนี้ก็ต้องเจอกับการโจมตีอีกตั้งมากมาย จินตนาการไม่ออกเลยว่าต่อไปจะต้องเจอกับการโจมตีอีกกี่ครั้ง 

 

 

สถานการณ์แบบนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะว่าตัวตนของชีอ้าวชวางคือมนุษย์ และพวกอสูรปีศาจจมูกไวต่อลมหายใจของมนุษย์มาก อสูรปีศาจจึงค้นพบชีอ้าวชวางได้ในทันที อีกทั้งพวกอสูรปีศาจเหล่านั้นก็ไม่อาจรู้ถึงพลังของไป๋ตี้และเฮยหยู่ได้ด้วย พวกนั้นจึงบุกเข้ามาอย่างกล้าหาญ แต่ผลก็คือต้องตายไปตามๆ กัน  

 

 

เรื่องความแข็งแกร่งที่มีอยู่ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ถ้ามีเข้ามาก็จัดการได้ แต่มันมีมาเรื่อยๆ มันก็น่ารำคาญจริงๆ 

 

 

“ข้างหน้านั่นมาอีกแล้ว” เฮยหยู่ขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ 

 

 

ไป๋ตี้ครุ่นคิดและพูดเรียบๆ “มันเป็นพวกอสูรปีศาจกลุ่มหนึ่ง ไม่มีตนไหนที่อ่อนแอเลย” 

 

 

“มันมุ่งมาหาอ้าวชวางอีกสินะ” เฮยหยู่โบกมือเบาๆ แล้วอาวุธก็ปรากฎในมือของเขาอีกครั้ง 

 

 

“เดี๋ยวก่อน เหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นนะ” ไป๋ตี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกระซิบ 

 

 

เฮยหยู่เขย่งเท้าแล้วกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ข้างๆ และมองไปข้างหน้าจากนั้นก็กระโดดลงมาและพูดอย่างเหยียดหยาม “คนคุ้นเคย” 

 

 

“ใคร?” ไป๋ตี้แปลกใจเล็กน้อยกับการที่จะได้พบคนรู้จักในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ 

 

 

ชีอ้าวชวางก็เริ่มอยากรู้ขึ้นมาแล้ว ฟังจากคำพูดของไป๋ตี้และเฮยหยู่แล้ว พวกเขาน่าจะออกจากโลกอสูรปีศาจไปเป็นพันปีแล้ว และตอนนี้พวกเขาจะได้พบกับคนที่พวกเขารู้จัก 

 

 

“เจ้างี่เง่าว่านเฟิงหลิว” เฮยหยู่ยิ้มเยาะ 

 

 

ทันทีที่คำพูดของเฮยหยู่จบลงก็มีเสียงแผ่วเบาที่ตรงหน้าเขาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “เฮยหยู่ เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ ข้าคิดว่าเจ้าตายไปตั้งนานแล้วเสียอีก” 

 

 

ต่อมา ชีอ้าวชวางก็รู้สึกได้ถึงลมกระโชกแรงและกลิ่นหอมก็ลอยมาปะทะหน้าของนาง ที่ตรงหน้าของทั้งสามก็มีชายหนุ่มรูปงามปรากฏตัวขึ้น ชายผู้นั้นถือดอกกุหลาบไว้ในมือและค่อยๆ ยกขึ้นมาที่ใบหน้าของเขา เขามีดวงตาดอกท้อเปี่ยมเสน่ห์ สายตาคู่นั้นปรือตามองไปที่เฮยหยู่ เส้นผมสีบลอนด์นุ่มสลวยพาดอยู่ด้านหลังของเขา เขาสวมเสื้อผ้าหรูหราพร้อมกับลมหายใจที่ดูหยิ่งยโส ดูแล้วมีเสน่ห์น่าหลงใหล แต่เกิดอะไรขึ้นกับกุหลาบข้างหลังเขาล่ะ? พอชีอ้าวชวางมองดีๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้ กลุ่มดอกกุหลาบงดงามที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ดูเหมือนจะใช้เวทมนตร์อะไรบางอย่างเพื่อจะออกมาจากเขา ชีอ้าวชวางเข้าใจในทันทีเลยว่าอสูรปีศาจหยิ่งผยองใช้เวทมนตร์มาทำอะไรแบบนี้นี่เอง 

 

 

“ไป๋ตี้เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ฮ่าๆ” ว่านเฟิงหลิวยิ้มเบาๆ แล้วสายตาของเขาเคลื่อนไปที่ร่างของชีอ้าวชวางและสายตาของเขาก็เป็นประกาย 

 

 

ชีอ้าวชวางรู้สึกเพียงว่ามีดอกไม้มาอยู่ตรงหน้านางแล้ว ว่านเฟิงหลิวก็มาปรากฏตัวตรงหน้านางเลย ชีอ้าวชวางประหลาดใจกับพลังของอสูรปีศาจตนนี้มาก 

 

 

“โอ้ มนุษย์สาวสวย ข้าขอเลี้ยงชาหอมๆ เจ้าสักถ้วยได้หรือไม่?” ว่านเฟิงหลิวถามอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ “ข้าชื่อว่านเฟิงหลิว เจ้าเรียกข้าว่าเฟิงหลิวก็ได้” 

 

 

ชีอ้าวชวางกระตุกที่มุมปากเล็กน้อย อสูรปีศาจตนนี้ไม่ธรรมดาเลย! 

 

 

“ไปตายซะไป!” เคียวสีดำขนาดใหญ่ของเฮยหยู่เตรียมลงไปที่หลังของว่านเฟิงหลิวอย่างแรง 

 

 

ว่านเฟิงหลิวหันไปและยื่นสองนิ้วออกไปจับอาวุธของเฮยหยู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “เฮยหยู่ ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน นี่เป็นวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อเพื่อนเก่าของเจ้างั้นหรือ?” 

 

 

“เจ้ายังคงไร้ยางอายอยู่เลยนะเซี่ยหลิว (สถุล)” เฮยหยู่ตะคอกด้วยใบหน้าเย็นชา 

 

 

“เอ้ย ข้าชื่อเฟิงหลิว ไม่ใช่เซี่ยหลิว” ว่านเฟิงหลิวยิ้มอย่างมีเสน่ห์ พุ่มดอกกุหลาบด้านหลังดูสดใสมากยิ่งขึ้น ทำให้ว่านเฟิงหลิวยิ่งงดงามและน่าหลงใหล 

 

 

“ต่ำ” ไป๋ตี้พูดออกมาด้วยสีหน้าสงบ หลังจากพูดจบ ใบหน้ารูปงามของไป๋ตี้ก็นิ่งสงบราวกับว่าเขาไม่ได้พูดคำพูดเมื่อครู่นี้ออกมา 

 

 

ชีอ้าวชวาง…นางมองออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามคนนี้ไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็เป็นคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีและค่อนข้างรู้ทันกันด้วย… 

 

 

“จะว่าไปแล้ว ทำไมเจ้าสองคนถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ล่ะ? ทำไมสาวสวยผู้นี้ถึงอยู่กับพวกเจ้าได้?” ดอกกุหลาบในมือของว่านเฟิงหลิวแกว่งไปมาเบาๆ จากนั้นเขาก็ถามคำถามนี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

“เกิดอะไรขึ้นในโลกอสูรปีศาจ? เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่พวกเราจากไป?” ไป๋ตี้ขมวดคิ้วและถามผู้ที่ติดตามว่านเฟิงหลิวมาในวันนี้ 

 

 

“คำถามนี้…” ว่านเฟิงหลิวดมกลิ่นดอกกุหลาบในมือแล้วเลี่ยงที่จะตอบ จากนั้นเขาก็มองชีอ้าวชวางด้วยรอยยิ้ม 

 

 

ไป๋ตี้และเฮยหยู่แสยะมุมปากแล้วไป๋ตี้ก็พูด “นางชื่อชีอ้าวชวาง เป็นผู้ร่วมพันธะกับพวกเรา” 

 

 

“อ้าวชวาง นี่คือว่านเฟิงหลิวผู้ต่ำต้อย” เฮยหยู่หันไปแนะนำกับชีอ้าวชวาง 

 

 

ชีอ้าวชวางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางจึงแค่พยักหน้าให้ว่านเฟิงหลิวและพูด “สวัสดี” 

 

 

“อ่า คนสวย แม้แต่เสียงของนางก็ไพเราะมาก คุณหนูอ้าวชวาง ถ้าเจ้าไม่รังเกียจข้าก็ให้เกียรติไปดื่มชาหอมๆ ที่คฤหาสน์ของข้าสักถ้วยเถอะ” ว่านเฟิงหลิวยิ้มและยื่นดอกกุหลาบในมือของเขาออกไป 

 

 

ชีอ้าวชวางมองสายตาของไป๋ตี้และรับดอกกุหลาบมา 

 

 

“เหอะๆ เรื่องราวมันเป็นเช่นนี้” ว่านเฟิงหลิวเห็นว่าชีอ้าวชวางรับดอกกุหลาบไปก็ยิ้มแล้วพูด “หลังจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่แล้ว พวกเจ้าทั้งสองก็หายตัวไป ราชาอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ก็ปิดผนึกตัวเองอยู่เงียบๆ ไม่มีใครพบเขาเลย ลมหายใจของโลกอสูรปีศาจเริ่มยุ่งเหยิงอย่างแปลกประหลาด ผู้พิทักษ์ก็หายตัวไปพร้อมกับราชาอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ราชาอสูรปีศาจทั้งแปดมีการต่อสู้กันภายใน มีการแบ่งกองกำลังออกเป็นหลายฝ่ายและต่อสู้กันเป็นเวลานาน ทุกคนอยากเป็นราชาอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีใครยอมใคร สงครามศักดิ์สิทธิ์ใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นพวกเขาเลยต้องนัดวันประลองกัน ผู้ชนะจะกลายเป็นราชาอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่และเป็นผู้นำโลกอสูรปีศาจเข้าร่วมในสงครามศักดิ์สิทธิ์” 

 

 

เฮยหยู่และไป๋ตี้เงียบลง พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในโลกอสูรปีศาจมากขนาดนี้หลังจากที่พวกเขาจากไป 

 

 

“ตอนนี้แบ่งกันออกเป็นกี่ฝ่าย?” เฮยหยู่ถามอย่างเย็นชา “เจ้าอยู่ฝ่ายไหน?” 

 

 

“ตอนนี้แบ่งออกเป็นสามฝ่ายโดยที่ทั้งหมดอ้างตัวว่าเป็นราชาอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่” ดอกกุหลาบอีกดอกปรากฏขึ้นในมือของว่านเฟิงหลิว และกลุ่มดอกกุหลาบสีสดใสที่ด้านหลังก็หายไป ว่านเฟิงหลิวมองไปที่ชีอ้าวชวางด้วยความเสน่หา “ข้าไม่ได้อยู่กับฝ่ายไหน คนที่แข็งแกร่ง หล่อเหลาและโรแมนติกอย่างข้าย่อมตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังหลายฝ่ายมาแย่งชิงกันอยู่แล้ว แต่ข้าไม่ชอบเลย คุณหนูอ้าวชวาง หากเจ้าอยู่กับข้า เจ้าจะปลอดภัยอยู่ในโลกอสูรปีศาจนี้นะ…อ๊า” คำว่า อ๊า ท้ายประโยคนั้นเป็นเสียงลากยาวเพราะเคียวขนาดใหญ่ของเฮยหยู่แทงเข้าที่หัวของเขาจนเขาเกือบจะกระโดดหนีจากความเจ็บปวดโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เลย 

 

 

“เจ้าอยากตายหรือ? เฮยหยู่ เจ้ากล้าทำผมของข้าเสียทรงหรือ” ใบหน้ารูปงามของว่านเฟิงหลิวไม่ได้มีท่าทีรุนแรงมากนัก แต่สายตาบูดบึ้งและน้ำเสียงต่ำนั้นแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขากำลังโกรธมากๆ 

 

 

“เจ้านั่นแหละที่อยากตาย” เฮยหยู่พูด 

 

 

“หึ!” ว่านเฟิงหลิวยิ้มและโคลงดอกกุหลาบในมือเบาๆ แล้วดอกกุหลาบกลายเป็นแส้ดอกกุหลาบยาวในพริบตา จากนั้นดูเหมือนเขาจะกระตุกเบาๆ แต่มันสั่นอย่างรุนแรงและมุ่งไปทางเฮยหยู่ 

 

 

เฮยหยู่ยิ้มเยาะและโบกมือเอาอาวุธไปรับ 

 

 

ทั้งสองคนต่อสู้กันทันทีแบบทีต่างคนต่างไม่ยอมกัน ท้องฟ้ามืดสลัวและฝุ่นก็กระจายเต็มไปหมด 

 

 

การเคลื่อนไหวของว่านเฟิงหลิวนั้นงดงามมาก เขามีกลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระจายในอากาศทุกครั้งที่แส้ถูกสะบัดไป มันสวยงามจนน่าทึ่ง อีกทั้งในขณะต่อสู้อยู่ว่ านเฟิงหลิวก็ยังคงยิ้มอย่างสง่างามอยู่เลย “เจ้ามันเป็นพวกหยาบกระด้างไม่เคยเปลี่ยนเลยนะถึงได้ทำหยาบคายเช่นนี้ ดูแส้กุหลาบของข้าสิ ดูสายฝนกุหลาบของข้าสิ” ว่านเฟิงหลิวพูดและหันไปมอบรอยยิ้มมีเสน่ห์ให้ชีอ้าวชวาง จากนั้นสิ่งที่เขาได้รับต่อมาก็คือการโจมตีที่รุนแรงกว่าเดิมจากเฮยหยู่นั่นเอง